ตอนที่ 243 นิทานอันไกลพ้น

พันธกานต์ปราณอัคคี

เห็นหลัวอวี้เฉิงก้มหน้ากำลังเขียนบนกระดาษ มั่วชิงเฉินบอกความรู้สึกในใจไม่ถูก เพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ อย่างงงงัน

 

 

กระดาษแผ่นหนึ่งบินมาที่นาง ได้ยินเพียงเสียงไพเราะของหญิงสาวว่า “นางหนูน้อย ที่ข้านี่มีวิชายุทธ์ชุดหนึ่ง หากเจ้าได้ฝึกแล้วไม่เพียงแต่สามารถรักษาความสาวไว้ตลอดกาล รูปโฉมยังจะสวยขึ้นตามตบะที่เพิ่มขึ้น หากเจ้าฆ่าเขาแล้ว ข้าก็จะถ่ายทอดวิชายุทธ์ชุดนี้ให้เจ้า เป็นเช่นไร?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงมือหยุดชะงัก

 

 

ทั้งสองคนมองไปที่หญิงที่งามดุจชาวสวรรค์พร้อมกัน

 

 

หญิงสาวยิ้มได้ประทับใจยิ่งขึ้น “พวกเจ้าไม่ต้องตกตะลึง เขียนทางเลือกของตนไว้บนกระดาษโดยตรงก็พอแล้ว ทว่าข้าขอเตือนพวกเจ้า หากคนหนึ่งเลือกเห็นด้วย อีกคนหนึ่งเลือกไม่เห็นด้วย เช่นนั้นข้าต้องทำให้คนที่เลือกเห็นด้วยสมหวังแน่นอน”

 

 

พูดถึงตรงนี้หญิงสาวกวาดประกายตาแวววาวมา หมุนเวียนอยู่บนใบหน้าทั้งสองคนชั่วครู่แล้วมองไปทางอื่น ไม่ออกเสียงอีก

 

 

มั่วชิงเฉินมองกระดาษสีขาวแล้วชะงักงัน เห็นหลัวอวี้เฉิงเขียนเสร็จแล้วถึงเม้มปาก เขียนลงไปไม่กี่ตัวอย่างรวดเร็ว

 

 

กระดาษสองแผ่นบินช้าๆ ไปหาหญิงสาวพร้อมกัน มาถึงตรงหน้าหญิงสาวยื่นมือรับมากวาดมองปราดหนึ่ง สีหน้ากลับไม่สะดุ้งสะเทือน เพียงแต่ยกตามองมาที่ทั้งสองคน ปากเอ่ยว่า “มีคนหนึ่งเลือกเห็นด้วยตามคาด”

 

 

เมื่อพูดออกไป พวกมั่วชิงเฉินกลับไม่ได้มองอีกฝ่าย ตรงกันข้ามกลับมองไปที่หญิงสาวแล้วเอ่ยพร้อมกันว่า “ท่านผู้อาวุโส ท่านพูดเล่นอยู่กระมัง”

 

 

หญิงสาวชะงักงัน สายตาฉ่ำวาวเลื่อนผ่านหน้าทั้งสองคนช้าๆ ใบหน้างามเลิศกลับฉายแววอาดูรขึ้นแวบหนึ่ง ถอนใจเบาๆ ว่า “ระหว่างพวกเจ้าช่างเชื่อใจกันดีเหลือเกิน…”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียงหญิงสาวก็หายตัวไปทันที ฉากทั้งหมดเปลี่ยนไปในพริบตา โถงใหญ่หรูหราอะไร ระเบียงกลางถ้ำอะไรล้วนหายไป เป็นเพียงโถงศิลาธรรมดาที่หนึ่งบนพ้นมีกระดาษสองแผ่นหล่นอยู่อย่างเงียบๆ

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนรีบเดินไปในไม่กี่ก้าว ก้มตัวลงพร้อมกันต่างคนต่างเก็บกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง

 

 

กวาดจิตตระหนักผ่าน กระดาษในมือมั่วชิงเฉินเขียนอักษรไว้แถวหนึ่งความว่า “ข้ามีภรรยาแล้ว”

 

 

อีกด้านหนึ่งหลัวอวี้เฉิงกวาดจิตตระหนักผ่านเช่นกัน เห็นเพียงกระดาษแผ่นนั้นมีคำพูดประโยคหนึ่งเช่นกันความว่า “ข้าสวยพอแล้ว…”

 

 

“หึๆ” หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาอย่างหาได้ยาก เห็นมั่วชิงเฉินเบิกตามาอย่างดุดัน จึงรีบกระแอมสองที

 

 

“มีอะไรน่าขันหรือไร?” มั่วชิงเฉินหน้าดำแล้วถามขึ้น

 

 

หลัวอวี้เฉิงตั้งใจพิจารณามั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าว่า “พูดตรงๆ ข้าดูไม่ออกจริงๆ…”

 

 

มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “เช่นกันๆ”

 

 

หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินพลางเก็บรอยยิ้มขึ้นในทันใด ชะงักครู่หนึ่งถึงว่า “ข้าไม่ได้พูดปดหรอกนะ”

 

 

มั่วชิงเฉินฟังแล้วชะงักงัน แล้วเลิกคิ้วอย่างตกใจเล็กน้อยว่า “เจ้ามีภรรยาจริงหรือ?”

 

 

เห็นสีหน้าไม่อยากเชื่อของมั่วชิงเฉิน หลัวอวี้เฉิงเม้มปากว่า “ไยข้าจะมีไม่ได้?”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างเก้อเขิน ในใจแอบว่าเพราะเจ้ายังแรงเยอะสู้ข้าไม่ได้น่ะสิ…

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินเอาแต่ยิ้มแต่ไม่พูด หลัวอวี้เฉิงเสริมประโยคหนึ่งว่า “เป็นคู่หมั้น…”

 

 

ในใจมั่วชิงเฉินแม้รู้สึกอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้างว่าชายที่สติปัญญาไร้เทียมทานเช่นนี้คู่หมั้นจะเป็นเช่นไร กลับรู้สึกว่าไม่เหมาะจะคุยในสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่พูดอะไรอีก สายตาเพ่งมองไปทั่ว

 

 

บนพื้นหินเขียวที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไร วางเบาะรองนั่งไว้เพียงอันเดียวอย่างอ้างว้าง เบาะรองนั่งยังไม่ใช่เบาะรองนั่งผ้าที่พวกเขาใช้กันตามปกติ หากแต่สานจากกก สีกลายเป็นสีเหลืองตั้งนานแล้ว

 

 

หรือว่าท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่โอรสศักดิ์สิทธิ์พูดถึงก็พำนักอยู่ในสถานที่ทรุดโทรมเช่นนี้? เช่นนั้นโถงใหญ่หรูหราที่เห็นก่อนหน้านี้มันเรื่องอะไรกัน?

 

 

มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงสบตากันปราดหนึ่ง ในตาต่างฉายแววสงสัย

 

 

ดูอยู่ครึ่งค่อนวันทั้งสองคนไม่พบเงื่อนงำอะไรจริงๆ ในโถงศิลานี้นอกจากทางที่มาดูเหมือนไม่มีทางออกอื่นอีก มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้วพูดตรงๆ ให้รู้แล้วรู้รอดไปว่า “ท่านผู้อาวุโสเซียนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ทราบว่าท่านอยู่ที่นี่หรือไม่?”

 

 

เสียงกังวานสะท้อนอยู่ในโถงศิลาที่ไม่ใหญ่นี้ กลับยิ่งทำให้ดูเปล่าเปลี่ยว

 

 

“ท่านผู้อาวุโสเซียนศักดิ์สิทธิ์ พวกเราเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากดินแดนเทียนหยวน หลงเข้ามาที่นี่โดยบังเอิญจึงมากราบคารวะโดยเฉพาะ ขอให้ท่านผู้อาวุโสปรากฏตัวมาพบกันหน่อยเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินตะโกนอย่างไม่ตายใจ

 

 

“ไม่ต้องตะโกนแล้ว ข้าคิดว่าที่นี่น่าจะมีกลไกอะไรไม่ได้ถูกแตะต้อง หรือว่ามีการทดสอบบางอย่างที่พวกเรายังไม่ลุล่วง ท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นเกรงว่าคงไม่ออกมาก่อนหน้านั้นแล้วล่ะ” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยนิ่งเรียบ

 

 

“ยังมีการทดสอบอีก?” มั่วชิงเฉินแอบขมวดคิ้ว ท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ดูแล้วมาดใหญ่โตเหลือเกิน

 

 

หลัวอวี้เฉิงพยักหน้าว่า “เจ้าดูสิ ของหรูหราพวกนั้นที่เห็นยามที่เราเพิ่งเข้ามา น่าจะเป็นการทดสอบการควบคุมตนเองของเรา ทดสอบจิตใจละโมบของเรา หญิงสาวเมื่อครู่งามดุจชาวสวรรค์ เหยื่อล่อที่โยนให้ไม่ว่าข้าที่เป็นชายหรือว่าเจ้าที่เป็นหญิงแทบจะเป็นความยั่วยวนที่ยากจะปฏิเสธ กลับเสนอเงื่อนไขให้เราเข่นฆ่ากันเองอีก นี่ก็คือทดสอบเราว่าจะทรยศสหายเพื่อผลประโยชน์มหาศาลหรือไม่”

 

 

“นางให้เราต่างคนต่างเขียนการตัดสินใจไว้บนกระดาษ หลังจากเห็นคำตอบแล้วกลับบอกว่ามีคนหนึ่งเลือกเห็นด้วย ยามนั้นหากเราสงสัยซึ่งกันและกันการทดสอบนั้นต้องพ่ายแพ้เป็นแน่ การทดสอบนี้ก็คือ…ความเชื่อใจกันระหว่างสหาย” มั่วชิงเฉินเอ่ยเพิ่มเติม

 

 

หลัวอวี้เฉิงสายตามองตามมั่วชิงเฉิน ยิ้มแผ่วเบาว่า “ถูกต้อง เช่นนั้นเจ้าลองคิดดู หากยังมีด่านสุดท้าย ท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นจะทดสอบอะไรเราล่ะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว สายตาตกลงไปที่เบาะรองนั่งขาดๆ เก่าๆ บนพื้นหินเขียว แสงแวบขึ้นในสมองทันที สายตาเป็นประกายมองไปที่หลัวอวี้เฉิง เอ่ยอย่างแน่ใจว่า “ข้าคิดว่าเป็นความสามารถ”

 

 

หลัวอวี้เฉิงกระดกมุมปากขึ้น รอมั่วชิงเฉินพูดต่อไป

 

 

“หากท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นเป็นคนหงายไพ่ตามหลักทั่วไป เขาตั้งการทดสอบต่างๆ รอคอยผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากข้างนอก เช่นนั้นก็อธิบายได้เพียงสิ่งเดียว ก็คือเขามีเรื่องขอให้ช่วย เขามีเรื่องจะวานให้ผู้บำเพ็ญเพียรจากข้างนอกไปทำ ดังนั้นถึงทดสอบความละโมบของผู้ที่มา ทดสอบว่าจะฆ่าสหายเพื่อผลประโยชน์หรือไม่ ทดสอบว่าสหายจะพร้อมใจร่วมมือกันหรือไม่ มีความเชื่อใจกันอย่างแท้จริงหรือไม่ ทว่าต่อให้ผ่านการทดสอบแต่ละอย่างแล้ว หากผู้ที่มาความสามารถงั้นๆ เช่นนั้นทุกอย่างล้วนไม่ต้องคุยแล้ว” มั่วชิงเฉินคลี่คิ้วออก วิเคราะห์อย่างมั่นใจ

 

 

ยากที่จะเห็นรอยยิ้มของหลัวอวี้เฉิงไม่เจือปนสิ่งอื่น มองมั่วชิงเฉินว่า “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เจ้าเดาว่าท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นอยากทดสอบความสามารถอะไรของเรา?”

 

 

มั่วชิงเฉินมองตอบหลัวอวี้เฉิง จู่ๆ ก็หัวเราะว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรรับศิษย์แล้ว”

 

 

หลัวอวี้เฉิงชะงัก จากนั้นถลึงตาใส่นางปราดหนึ่งว่า “พูดเรื่องจริงจัง!”

 

 

มั่วชิงเฉินยักคิ้ว “ย่อมเป็นจิตตระหนักอยู่แล้ว อยู่ในแดนไร้วิญญาณนี้เขายังสามารถทดสอบของอย่างอื่นได้อีกหรือไร?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะว่า “เช่นนั้นยังรออะไรอีก”

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนปล่อยจิตตระหนักออกค้นโถงศิลาทั้งโถงอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปเนิ่นนานสายตาตกลงพร้อมกันบนเบาะรองนั่งบนพื้น

 

 

“ทำพร้อมกันเถอะ” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยขึ้นว่า

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนผลักเบาะรองนั่งด้วยจิตตระหนัก ไม่รู้ใช่เพราะระยะนี้การฝึกฝนจิตตระหนักได้ผลหรือไม่ ไม่คิดว่าจะไม่เปลืองแรงอย่างที่คิด เบาะรองนั่งก็ถูกจิตตระหนักของทั้งสองคนดันขึ้นลอยอยู่กลางอากาศอย่างง่ายดาย จากนั้นตกไปข้างๆ

 

 

ที่ที่ถูกเบาะรองนั่งบังไว้ในทีแรกมีแสงสีขาววาบผ่าน ยังไม่รอทั้งสองคนดูให้แน่ชัดว่าคือสิ่งใด ทันใดนั้นในโถงศิลาก็มีชายคนหนึ่งยืนอยู่

 

 

“สหายน้อยทั้งสองโดดเด่นเกินใครจริงๆ สามารถมาถึงหุบเขาไร้วิญญาณเป็นความโชคดีของข้า” ชายมองมาที่สองคนด้วยสายตาอ่อนโยน จู่ๆ ก็พูดขึ้น

 

 

ผู้ชายแม้ใบหน้าหนุ่มแน่น ทว่าไม่ว่าสายตาหรือเสียงล้วนเผยให้เห็นถึงการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เห็นชัดว่าอายุที่แท้จริงไม่น้อยแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินรีบก้มหน้าลง ชายผู้นี้เจิดจรัสไร้เทียมทาน ในบรรดาชายที่นางเคยพบมีเพียงฮวาเชียนซู่ที่ได้ความสง่างามของเขาห้าส่วน กิริยากลับห่างจนเทียบไม่ติด

 

 

ในเวลาสั้นๆ หนึ่งวันได้พบคนโดดเด่นเหนือคนคู่หนึ่ง ก็นับว่าเป็นบุญตาแล้ว

 

 

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ชื่นชม” พวกมั่วชิงเฉินสองคนเอ่ยพร้อมกัน

 

 

“หึๆๆ พวกเจ้าไม่ต้องเก้ๆ กังๆ ข้าก็เป็นเพียงแค่จิตตระหนักสายหนึ่งเท่านั้น อยู่ที่นี่มาตลอด ก็เพื่อรอคนมีวาสนาสามารถช่วยข้าบรรลุความปรารถนาที่ยังค้างคาอยู่ได้” ผู้ชายหัวเราะเสียงเบา

 

 

“ไม่ทราบท่านผู้อาวุโสมีอะไรจะสั่ง?” พวกมั่วชิงเฉินสองคนถามพร้อมกัน

 

 

ผู้ชายนิ่งเงียบครู่หนึ่ง แล้วหันหลังไป ผ่านไปเนิ่นนานถึงหันกลับมา สะบัดแขนเสื้อจู่ๆ แสงสองสายก็พุ่งใส่ทั้งสองคน

 

 

แสงสองสายเร็วดุจสายฟ้า ต่อให้พวกมั่วชิงเฉินสองคนไม่กล้าประมาทตลอดเวลายังคงหลบไม่ทัน แสงหายเข้าไปในหว่างคิ้วของทั้งสองคนในพริบตา

 

 

“ท่านผู้อาวุโส ท่านหมายความว่าเช่นไร?” หลัวอวี้เฉิงสีหน้าเย็นชาลง มั่วชิงเฉินสีหน้าโกรธเช่นกัน

 

 

ผู้ชายมองไปที่ทั้งสองคน ถอนใจเบาๆ ว่า “พวกเจ้าอย่าเพิ่งโมโห ฟังข้าพูดให้จบก่อน พวกเจ้าสองคนสามารถมาถึงที่นี่ได้ ไม่ว่าจะความแน่วแน่ นิสัยหรือว่าความสามารถล้วนดีเยี่ยม ข้ารออยู่ที่นี่มานับพันปีเต็มๆ แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่หลงเข้ามาในนี้ไม่เกินสิบกว่าคน คนที่ผ่านการทดสอบมีเพียงพวกเจ้าสองคนเท่านั้น ข้าไม่อยากรอต่อไปแล้วจริงๆ”

 

 

“ต่อให้เป็นเช่นนี้ ท่านผู้อาวุโสก็ไม่ควรไม่แม้แต่จะพูดให้รู้เรื่อง ก็ใช้กำลังบังคับพวกเราแล้ว นี่มิใช่ไม่ให้โอกาสในการต่อรองหรอกหรือ พวกเราไม่ทำตามที่ท่านขอไม่ได้?” น้ำเสียงหลัวอวี้เฉิงแข็งขึ้น

 

 

ท่าทีของผู้ชายยังคงอ่อนโยนว่า “ข้าฝืนใจคนอื่นแล้วจริงๆ ทว่าพวกเจ้าสองคนฟังข้าพูดให้รู้เรื่องก่อนเป็นเช่นไร?”

 

 

เรื่องมาถึงขั้นนี้พวกมั่วชิงเฉินสองคนไม่มีวิธีอื่น ได้แต่ฟังอย่างสงบ

 

 

ผู้ชายเผยอริมฝีปาก ดูเหมือนไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน ผ่านไปเนิ่นนานถึงเอ่ยช้าๆ ว่า “พวกเจ้าจำหน้าตาของหญิงเมื่อครู่ได้หรือไม่?”

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนพยักหน้าอย่างแรง

 

 

“นางชื่อวุนหนิง…เป็นภรรยาของข้า” ผู้ชายพูดถึงตรงนี้สีหน้าอ่อนโยนขึ้นมา แล้วเอ่ยต่อว่า “สองพันกว่าปีก่อน พวกเราที่อยู่ระดับก่อแก่นปราณเช่นกันจัดพิธีบำเพ็ญเพียรคู่ กลายเป็นสามีภรรยาอย่างเป็นทางการ พวกเราเป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่ต่อเต๋าทั้งคู่ แม้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรแล้วยังคงมีวิถีของตนเอง ออกเดินทางฝึกตนผจญภัยก็เกิดขึ้นตามอารมณ์เช่นกัน ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา เป็นเช่นนี้ไม่ถึงร้อยปีก็ต่างเลื่อนขั้นเข้าระดับก่อกำเนิด พริบตาเดียวพันปีผ่านไป ชีวิตค่อยๆ นิ่งเรียบ ตบะหยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ หนิงเอ๋อร์ที่ในที่สุดก็เบื่อหน่ายต่อการออกไปท่องเที่ยวฝึกตน กักตนบำเพ็ญเพียรไม่หยุดตัดสินใจจะให้กำเนิดบุตร หลังจากนั้นไม่นานพวกเรามีบุตรคนแรก ผ่านไปหลายปียามที่ข้าออกไปท่องเที่ยวฝึกตนอีกครั้งนั้น ไม่คิดว่าหนิงเอ๋อร์ตั้งครรภ์อีกครั้ง พูดได้ว่าการตั้งครรภ์ครั้งนี้เป็นจุดพลิกผันในชีวิตของพวกเรา…ครรภ์ของนางเป็นครรภ์หลบ!”

 

 

มั่วชิงเฉินมองหลัวอวี้เฉิง นางไม่เข้าใจความหมายของครรภ์หลบ

 

 

ดีที่ผู้ชายอธิบายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “อันว่าครรภ์หลบ เป็นปรากฏการณ์พิเศษที่มีเฉพาะในผู้บำเพ็ญเพียรเท่านั้น หลังจากที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงมีครรภ์ เพราะสาเหตุพิเศษบางอย่างเป็นผลให้พลังวิญญาณห่อหุ้มเด็กในครรภ์ไว้ จำกัดการพัฒนาการของเด็กในครรภ์ การตั้งครรภ์อาจผ่านไปหลายปีหรือกระทั่งหลายสิบปีถึงปรากฏอาการออกมา ยามนั้นข้าออกท่องเที่ยวฝึกตนไม่รู้ว่าหนิงเอ๋อร์ตั้งครรภ์ รอยามที่ข้าท่องเที่ยวฝึกตนสิบกว่าปีกลับมาพบหนิงเอ๋อร์ กลับพบว่านางตั้งครรภ์…”