ตอนที่ 244 ความปรารถนาที่ไม่สมหวัง

พันธกานต์ปราณอัคคี

พูดถึงตรงนี้ผู้ชายหยุดลง ถอนใจเบาๆ แล้วถึงเอ่ยว่า “สหายน้อยทั้งสอง พวกเจ้าว่าระหว่างสามีภรรยาสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดคือสิ่งใด?”

 

 

มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงนิ่งเงียบ พวกเขายังไม่มีคู่บำเพ็ญเพียรทั้งคู่ ต่อให้รู้หลักการมากมายแต่ไม่ได้สัมผัสรสชาติในนั้นด้วยตนเอง ต่อหน้าผู้อาวุโสเช่นนี้กลับไม่มีคุณสมบัติพูดอะไรได้

 

 

ผู้ชายก็ดูเหมือนไม่ได้อยากฟังคำตอบ พูดเองเออเองต่อไปว่า “ข้าและหนิงเอ๋อร์ยามที่เพิ่งแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน เวลานั้นอายุน้อยหุนหันพลันแล่น คิดว่าระหว่างสามีภรรยาสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดก็คือการรักกันอย่างจริงใจ โดยที่มิใช่เพื่อการบำเพ็ญเพียร เพื่อกลายเป็นเซียนถึงบำเพ็ญเพียรคู่ ยิ่งกว่านั้นชีวิตต่อจากนั้นก็คิดเช่นนี้เสมอมา จนกระทั่งเรื่องนี้พัฒนามาถึงขั้นที่หวนกลับคืนไม่ได้ ถึงในที่สุดก็เข้าใจ ระหว่างสามีภรรยาสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดคือความเชื่อใจ!”

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง ต่างนึกขึ้นอย่างไม่รู้ตัวถึงการทดสอบต่อพวกเขาสองคนที่แปลงเป็นหญิงสาวหน้าตาเหมือนวุนหนิง

 

 

“หนิงเอ๋อร์เป็นหญิงสาวทระนงที่ไม่มีใครเทียบได้ ต่อให้ข้าไม่ได้แสดงอะไรออกมา ทว่าอาจเพราะความสงสัยแวบหนึ่งที่แสดงออกมาในแววตาในชั่วพริบตาที่พบหน้ากันทิ่มแทงให้นางเจ็บปวด ไม่คิดเลยว่านางจะเย็นชาต่อข้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่วนข้าเดิมทีก็เกิดสงสัยอยู่แล้ว อีกทั้งพบว่าสามีภรรยาไม่พบกันสิบกว่าปีนางกลับปฏิบัติอย่างเย็นชากับข้าเช่นนี้ จิตใจจึงยิ่งว้าวุ่นขึ้น ก็เป็นเช่นนี้จนถึงต่อมา ไม่คิดว่านางจะจากไปโดยไม่ร่ำลาแล้ว” ผู้ชายพูดถึงตรงนี้น้ำเสียงโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก

 

 

ความผูกพันของสามีภรรยานับพันปี สู้ความสงสัยแวบนั้นในแววตาไม่ได้ มั่วชิงเฉินแอบรำพึงรำพัน แล้วอดถามไม่ได้ว่า “ท่านผู้อาวุโส หรือว่าเวลานั้นท่านก็ไม่ได้นึกถึงครรภ์หลบเลยหรือเจ้าคะ?”

 

 

ผู้ชายมองไปที่มั่วชิงเฉิน รอยยิ้มจางๆ ดังลมเย็นพัดผ่าน สง่างามไร้ผู้เทียมทาน “สหายน้อยทั้งสองเคยได้ยินครรภ์หลบมาก่อนหรือไม่?”

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนส่ายศีรษะ

 

 

“สหายน้อยทั้งสองคิดว่าบัดนี้ยังไม่มีคู่ครอง สำหรับเรื่องนี้ย่อมต้องไม่รู้เป็นธรรมดาอยู่แล้วใช่หรือไม่?” ผู้ชายอมยิ้มถาม

 

 

มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงสบตากันปราดหนึ่ง แล้วเบือนหน้าไปพร้อมกัน

 

 

ผู้ชายกลับนึกว่าทั้งสองคนพึงใจต่อกัน เพียงแต่ถูกคนนอกพูดออกมาจึงเกิดเขินอาย จึงเอ่ยต่อว่า “อันว่าครรภ์หลบ แม้มีมาแต่โบราณกลับหายากยิ่งนัก ดังนั้นอย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย ต่อให้เป็นข้าที่แต่งงานเกือบพันปีสำหรับการนี้ก็รู้น้อยนัก ยามนั้นในชั่วขณะที่เห็นหนิงเอ๋อร์ตั้งครรภ์ยิ่งไม่ได้คิดไปในแง่นั้น จนกระทั่งหนิงเอ๋อร์จากไปด้วยความโมโหข้าตามหาไปทั่ว ถึงได้นึกถึงข้อนี้ด้วยโอกาสบังเอิญครั้งหนึ่ง น่าเสียดายในยามนั้น กลับหาร่องรอยของหนิงเอ๋อร์ไม่พบแล้ว”

 

 

ผู้ชายพูดจบก็นิ่งเงียบขึ้นมา

 

 

“ท่านผู้อาวุโส เช่นนั้นต่อมาท่านมาถึงหุบเขาไร้วิญญาณนี่ได้อย่างไรกัน เพราะตามหาภรรยาของท่านหรือเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินถามเสียงเบา ในใจกลับแอบปั่นป่วน

 

 

สถานที่ที่หุบเขาไร้วิญญาณตั้งอยู่นี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองลั่วหยาง ส่วนมารดาของร่างกายตนเองนี้ถือกำเนิดในหมู่บ้านเล็กๆ ห่างจากเมืองลั่วหยางไม่ถึงพันลี้ ระยะพันลี้ในสายตาคนธรรมดาดูเหมือนไกลจนเอื้อมไม่ถึง ทว่าในสายตาผู้บำเพ็ญเพียรกลับไม่เท่าไร กระทั่งพูดได้ว่านี่ก็คือสถานที่เดียวกันแล้ว!

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สามารถสันนิษฐานได้ว่าปีนั้นวุนหนิงตั้งครรภ์แล้วหลบมาถึงที่นี่ตามคาด จากนั้นให้กำเนิดทายาทที่นี่ หรือก็คือบรรพบุรุษของมารดาตนเองใช่หรือไม่?

 

 

ผู้ชายมองมั่วชิงเฉินแล้วพยักหน้าช้าๆ “สหายน้อยเดาได้ถูกต้อง ข้ามาถึงที่นี่ก็เพราะสืบได้ว่าหนิงเอ๋อร์เคยพักอยู่ที่นี่ น่าเสียดายที่สถานที่ที่ข้าอยู่ไกลจากที่นี่จนเอื้อมไม่ถึง รอยามที่ข้าหามาถึงที่นี่ก็หาร่องรอยของหนิงเอ๋อร์ไม่พบอีกแล้ว”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียง จู่ๆ หลัวอวี้เฉิงก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านผู้อาวุโสเป็นเจินจวินระดับก่อกำเนิด ต่อให้อยู่ดินแดนอื่นนอกจากดินแดนเทียนหยวน ก็ไม่นับว่าไกลจากที่นี่จนเอื้อมไม่ถึงกระมัง?”

 

 

ผู้ชายยิ้มว่า “สหายน้อยคิดว่าสถานที่ที่ห่างไกลจากที่นี่ที่สุดคือที่ใด?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ทวีปแห่งเทพแบ่งเป็นห้า สถานที่นี้นับเป็นสถานที่ตัดกันของดินแดนเทียนหยวนและดินแดนไท่ไป๋ หากพูดถึงสถานที่ที่ห่างจากที่นี่ที่สุด เช่นนั้นย่อมต้องเป็นดินแดนแห่งสิบทวีปภาคตะวันออก” พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงเปลี่ยนว่า “ทว่าฟ้าดินกว้างใหญ่หาใช่สิ่งที่เราจะตัดสินได้ไม่ ไม่แน่นอกทวีปแห่งเทพยังมีฟ้าดินที่อื่นอีกก็ไม่อาจรู้ได้”

 

 

ผู้ชายในตาฉายแววชื่นชมว่า “สหายน้อยฉลาดจริงๆ ข้ามาจากจงหลาง”

 

 

“จงหลาง?” มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงพึมพำขึ้นพร้อมกัน

 

 

“จงหลางและทวีปแห่งเทพห่างกันไกลนัก ไกลถึงขนาดต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหากอาศัยเพียงสมบัติวิเศษเหินหาวหรือเหินมาด้วยตนเองคิดจะมาถึงที่นี่เกรงว่าก็ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรในจงหลางที่รู้ว่ายังมีทวีปแห่งเทพจึงมีไม่กี่คน ปีนั้นข้าตามหาภรรยาอย่างยากลำบากไม่เป็นผล ก็เพราะคาดไม่ถึงว่านางจะตัดใจมาถึงทวีปแห่งเทพได้ลงคอ ไม่คิดว่านางกะจะไม่พบข้าชั่วชีวิตแล้ว” ผู้ชายพูดถึงตรงนี้ความเจ็บปวดสายหนึ่งวาบผ่านใบหน้า

 

 

มั่วชิงเฉินฟังแล้วแอบถอนใจ หญิงที่ชื่อวุนหนิงผู้นั้นงามเหนือมนุษย์ อีกทั้งยังบำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่น ดูท่าตั้งแต่เล็กจนโตต้องได้รับการเอาอกเอาใจรักใคร่จากคนนับไม่ถ้วนเป็นแน่ จนมีนิสัยดื้อรั้นเย่อหยิ่งทระนงก็เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อน้อยใจสามีจึงกระทำการเช่นนี้ก็ไม่แปลก น่าเสียดายกลับทำลายบุพเพหนึ่งชาติของสามีภรรยาไป เรื่องนี้ใครถูกใครผิดก็พูดยากแล้ว

 

 

“ท่านผู้อาวุโสสามารถมาถึงทวีปแห่งเทพ เพราะผ่านค่ายเคลื่อนย้ายโบราณใช่หรือไม่?” หลัวอวี้เฉิงถามนิ่งเรียบ

 

 

ผู้ชายยิ้มว่า “สหายน้อยความรู้กว้างขวาง ถูกต้อง ข้ามาถึงที่แห่งนี้ได้ก็เพราะอาศัยค่ายเคลื่อนย้ายโบราณ ปีนั้นข้ารู้ว่าหนิงเอ๋อร์มาที่นี่ จึงขอร้องศิษย์พี่ใหญ่อนุญาตให้ข้าเคลื่อนค่ายเคลื่อนย้ายโบราณ น่าเสียดายจงหลางห่างไกลจากทวีปแห่งเทพมากเหลือเกิน ต่อให้ข้าอาศัยค่ายเคลื่อนย้ายโบราณมาถึงทวีปแห่งเทพก็ยังคงใช้เวลาไปสิบกว่าปี มาถึงทวีปแห่งเทพ ข้าเดินทางไปทั่วสุดหล้าฟ้าเขียว ในที่สุดก็ได้เบาะแสบางอย่างจึงหามาถึงที่นี่ น่าเสียดายยังคงหาเงาของหนิงเอ๋อร์ไม่พบ อีกทั้งโชคไม่ดีตกลงมาในหุบเขาไร้วิญญาณนี้อีก”

 

 

“ใจในการตามหาภรรยาของท่านผู้อาวุโส น่าเลื่อมใสนัก” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเบา

 

 

ผู้ชายยิ้มอย่างจำใจอยู่บ้างว่า “เรื่องราวในโลก บางทีกลับไม่ใช่อาศัยเพียงใจที่เข้มแข็งดวงเดียวก็สามารถสำเร็จได้ ส่วนใหญ่ยังต้องการโชคส่วนหนึ่งด้วย ข้าตกลงมาในหุบเขาไร้วิญญาณนี้ ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดกลับสูญเสียสิ่งพึ่งพิงทุกอย่างไปจนหมด ตลอดหลายร้อยปีคิดมาทุกวิธีก็ออกไปไม่ได้ ในที่สุดก็หมดอายุขัยลงเมื่อสามร้อยปีก่อน เหลือเพียงจิตตระหนักสายนี้รอคอยผู้มีวาสนามาทำความปรารถนาของเข้าให้เป็นจริงต่อไป”

 

 

“ไม่ทราบท่านผู้อาวุโสมีความปรารถนาใดที่ยังไม่สมหวัง?” แม้มั่วชิงเฉินรู้ว่าความปรารถนาของเขาต้องไม่หลุดจากวุนหนิงเป็นแน่ แต่ยังคงถามออกมา

 

 

ผู้ชายกวาดสายตาผ่านใบหน้าของพวกมั่วชิงเฉินสองคนช้าๆ เอ่ยว่า “แม้ข้ามีเบาะแสรู้ว่าหนิงเอ๋อร์มาถึงที่นี่ ทว่าเมื่อไม่ได้พบนางอย่างไรก็ยากจะแน่ใจ ดังนั้นความปรารถนาข้อแรกของข้า ก็คือหวังว่าหลังจากสหายน้อยสองท่านออกจากหุบเขาไร้วิญญาณแล้วจะตามหาที่อยู่ของภรรยาเพื่อข้าได้”

 

 

“ท่านผู้อาวุโสอยู่ที่นี่มาเกือบพันปีก็หาทางออกไม่ได้ สุดท้ายจากโลกนี้ไปด้วยความเสียใจ แล้วจะแน่ใจได้เช่นไรว่าพวกเราสองคนสามารถออกไปได้?” หลัวอวี้เฉินถามขึ้นทันที ในใจกลับคาดการณ์ว่าชายผู้นี้ต้องมีวิธีออกไปเป็นแน่

 

 

แล้วก็ได้ยินชายผู้นี้เอ่ยขึ้นตามคาดว่า “เมื่อครู่ข้าก็พูดแล้ว ที่ข้าขาดก็คือโชคส่วนหนึ่ง ยามที่ข้าเหลืออายุขัยไม่มาก กลับได้วิธีออกจากหุบเขาไร้วิญญาณอย่างไม่คาดคิด น่าเสียดายยามนั้นอาศัยเพียงร่างกายข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้แล้ว ดังนั้นขอเพียงสหายน้อยทั้งสองรับปากว่าจะช่วยข้าตามหาที่อยู่ของภรรยา ข้าก็จะบอกวิธีออกจากที่นี่ให้พวกเจ้า”

 

 

“ข้อนี้พวกเราย่อมรับปากอยู่แล้ว ขอให้ท่านผู้อาวุโสพูดต่อขอรับ” หลัวอวี้เฉิงเอ่ย

 

 

“หากพวกเจ้าสามารถตามหาที่อยู่ของวุนหนิงจนพบ เกรงว่านางก็ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ความปรารถนาข้อที่สองของข้า ก็คือหวังให้พวกเจ้าดูสักหน่อยว่าวุนหนิงได้ทิ้งทายาทไว้หรือไม่ หากยังมีทายาทอยู่ในโลกนี้ ก็ทดสอบสักหน่อยว่าพวกเขามีรากวิญญาณหรือไม่ หากมีรากวิญญาณละก็ ถ่ายทอดวิชายุทธ์ชุดนี้ให้เขา ก็ไม่จำเป็นต้องชี้แนะเป็นพิเศษ ทุกอย่างปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะ” ผู้ชายพูดพลางสะบัดแขนเสื้อในทันใด ม้วนคัมภีร์หยกสองม้วนก็บินไปหาทั้งสองคน

 

 

เห็นทั้งสองคนรับม้วนคัมภีร์หยกไว้ ผู้ชายเอ่ยต่อว่า “ม้วนคัมภีร์หยกสองม้วนนี้ ม้วนหนึ่งข้างในบันทึกความรู้ทั่วไปในการบำเพ็ญเพียรและเรื่องราวของพวกเราบางส่วน อีกม้วนหนึ่งข้างในสลักวิชายุทธ์ไว้ชุดหนึ่ง เนื่องจากไม่รู้คุณลักษณะของรากวิญญาณของทายาทวิชายุทธ์นี้จึงไม่แยกตามห้าธาตุ ด้วยเหตุนี้แม้เป็นวิชายุทธ์ชั้นยอดความเร็วในการบำเพ็ญเพียรกลับเร็วสู้วิชายุทธ์ในระดับเดียวกันไม่ได้ หากสหายน้อยสองท่านตามทายาทของข้าไม่พบ ก็จัดการตามอำเภอใจได้”

 

 

“ผู้น้อยจะพยายามสุดความสามารถแน่นอน” พวกมั่วชิงเฉินสองคนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

 

 

ในตาผู้ชายวาบแววยิ้มพาดผ่าน แล้วเอ่ยต่อว่า “สำหรับความปรารถนาข้อที่สาม… หากเป็นไปได้ หวังว่าพวกเจ้าจะนำศพของข้าและภรรยากลับจงหลางไปได้”

 

 

“อะไรนะ?” พวกมั่วชิงเฉินสองคนตกใจ

 

 

ผู้ชายยิ้มว่า “สหายน้อยทั้งสองไม่ต้องตกใจ แสงที่ข้าซัดเข้าหว่างคิ้วพวกเจ้าก่อนหน้านี้คือความคิดสายหนึ่ง ความปรารถนาสองข้อแรกหากพวกเจ้าไม่พยายามทำให้เต็มที่กลับต้องลำบากเล็กน้อย แน่นอนขอเพียงทั้งสองท่านทำสุดกำลังแล้ว ต่อให้หาที่อยู่ของภรรยาข้าไม่พบ ข้าก็ไม่ทำให้พวกเจ้าต้องลำบากใจ ส่วนความปรารถนาข้อที่สาม ก็แล้วแต่ความเต็มใจของพวกเจ้าแล้ว”

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนโล่งอก

 

 

“ทว่า ข้าไม่จำกัดเวลา ขอเพียงพวกเจ้ารับปากว่าต่อไปหากมีโอกาสละก็จะไปจงหลางสักครา เช่นนั้นข้าก็จะมอบวิชาฝึกจิตตระหนักชุดหนึ่งและสมบัติวิเศษติดตัวให้พวกเจ้าสองคน ยามเดียวกันก็มอบวิชาบำเพ็ญเพียรคู่ให้สหายน้อยทั้งสองชุดหนึ่งด้วย สองท่านว่าเป็นเช่นไร?” ผู้ชายถามอย่างอ่อนโยน

 

 

หลัวอวี้เฉิงมองไปที่มั่วชิงเฉินอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม มั่วชิงเฉินสีหน้าแดงเรื่อย ถลึงตาใส่เขาอย่างดุดันปราดหนึ่ง

 

 

“ท่านผู้อาวุโส เรื่องนี้เกรงว่าพวกเราต้องปรึกษากันสักหน่อย” หลัวอวี้เฉิงเอ่ย

 

 

“แน่นอน” ผู้ชายพูดพลางหันหลังไป

 

 

“สหายเต๋ามั่ว คำขอสองข้อแรกเราไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว คำขอข้อที่สามนี่ เจ้าคิดจะเอาเช่นไร?”

 

 

มั่วชิงเฉินคิดอย่างรอบคอบแล้ว ตอบว่า “ข้ารู้สึกว่ารับปากก็ใช่ว่าไม่ได้ ไหนๆ ก็ไม่ได้จำกัดเวลาของพวกเรา ต่อไปหากเราก่อแก่นปราณหรือกระทั่งก่อกำเนิด ไปเปิดหูเปิดตาที่จงหลางสักครั้งกลับมีประโยชน์ใหญ่หลวง”

 

 

ความคิดของหลัวอวี้เฉิงและมั่วชิงเฉินไม่ต่างกันเท่าไร ทั้งสองคนความเห็นเป็นเอกฉันท์ จึงเอ่ยว่า “ท่านผู้อาวุโส พวกเราสองคนยอมรับปาก”

 

 

ผู้ชายหันกลับมา สีหน้าปีติว่า “เช่นนั้นก็ขอขอบคุณสหายน้อยทั้งสองแล้ว” พูดพลางในมือมีคัมภีร์หยกเพิ่มมาสองม้วนและกระบี่เล็กๆ สีขาวเล่มหนึ่ง

 

 

“สิ่งที่บันทึกในม้วนคัมภีร์หยกสีขาวนี้ก็คือวิชาฝึกจิตตระหนัก ข้าเห็นสหายน้อยท่านนี้พรสวรรค์ด้านจิตตระหนักโดดเด่น ม้วนคัมภีร์หยกนี้ก็ขอมอบให้สหายน้อยเถอะนะ” พูดพลางม้วนคัมภีร์หยกบินไปหามั่วชิงเฉิน

 

 

ผู้ชายดีดกระบี่เล็กสีขาวเบาๆ ยกมือขวาขึ้นแล้วพันกระบี่เล็กไว้บนข้อมือตน จากนั้นสะบัดข้อมือกระบี่ยาวหลุดร่วงออกมาอย่างคล่องแคล่วบินไปหาหลัวอวี้เฉิง “กระบี่รอบนิ้วนี้แม้ไม่ใช่สมบัติวิเศษเจ้าชะตาของข้า กลับเป็นกระบี่อ่อนที่หาได้ยากในบรรดาสมบัติวิเศษประเภทกระบี่ ข้าถึงระดับก่อกำเนิดแล้วยังคงใช้อยู่ รอสหายน้อยเจ้าก่อแก่นทอง คิดว่ากระบี่รอบนิ้วนี้ก็จะช่วยเจ้าได้อีกแรงหนึ่ง”

 

 

จากนั้นผู้ชายยกมือขึ้น ม้วนคัมภีร์หยกสีมรกตอีกม้วนหนึ่งก็บินไปหาหลัวอวี้เฉิง มุมปากอมยิ้มว่า “ม้วนคัมภีร์หยกนี้ ถือว่าข้ามอบให้สหายน้อยทั้งสองเป็นการอวยพรล่วงหน้าก็แล้วกัน”