ตอนที่ 245 วิธีออกจากหุบเขา

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินแอบกระตุกมุมปาก หลัวอวี้เฉิงกลับเก็บม้วนคัมภีร์หยกเข้าในอกอย่างไม่รู้สึกรู้สา แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณของขวัญล้ำค่าของท่านผู้อาวุโสขอรับ”

 

 

ผู้ชายยิ้มนิ่งเรียบว่า “บัดนี้ข้าจะบอกวิธีออกจากหุบเขาและข้อมูลของค่ายเคลื่อนย้ายโบราณบางส่วนให้พวกเจ้า พวกเจ้านั่งลง ตั้งใจฟังให้ดี”

 

 

มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงนั่งขัดสมาธิลงมาพร้อมกัน

 

 

แล้วก็ได้ยินผู้ชายเอ่ยว่า “พวกเจ้ามาถึงหุบเขาไร้วิญญาณนี่ คิดว่าคงตกลงมาในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์สินะ?”

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนพยักหน้าพร้อมกัน

 

 

“ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์นั่น เป็นสถานที่ที่ข้าสั่งให้ชาวบ้านในหุบเขานี้รักษาไว้ให้ดีก่อนดับขันธ์โดนเฉพาะ คิดว่าพวกเจ้าตกลงไปในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ คงลำบากมาไม่น้อยสินะ?” ผู้ชายยิ้มพูดอย่างอ่อนโยน

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างขมขื่น

 

 

ผู้ชายเอ่ยต่อว่า “ข้าถูกกักอยู่ในหุบเขาไร้วิญญาณนี่มาเกือบพันปีกลับหาทางออกจากหุบเขาไม่เจอ มีเพียงหน้าผาที่ลื่นชันที่หนึ่งทางด้านตะวันตกของหุบเขา หากจะพูดว่าเป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียว เกรงว่าก็คงจะเป็นที่นี่แล้ว เพียงแต่น่าเสียดายในหุบเขานี้ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนไหนก็ไม่อาจใช้คาถาได้ ต่อให้ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดร่างกายสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ กลับไม่อาจออกห่างจากการค้ำจุนของปราณวิญญาณจากฟ้าดินได้ ทุกครั้งที่แหงนมองหน้าผา ก็ได้เพียงปลงอนิจจังเท่านั้น อาจเพราะโชคชะตากลั่นแกล้ง ในปีที่ข้าอายุขัยใกล้สิ้นนั่นเอง กลับพบหญ้าเซียนต้นหนึ่งในซอกหินใต้ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์!”

 

 

“หญ้าเซียน?” มั่วชิงเฉินอุทานออกเสียง นางค้นคว้าทางแห่งการหลอมโอสถมาตั้งแต่เยาว์วัย รู้เรื่องสมุนไพรหญ้าทิพย์พวกนี้มากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปมาก

 

 

ผู้ชายมองมาที่มั่วชิงเฉินว่า “สหายน้อยก็รู้จักหญ้าเซียนเช่นนั้นหรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้มพยักหน้าว่า “หญ้าเซียนหายากยิ่งนัก พูดได้ว่าเป็นหญ้าทิพย์ที่อยู่ในตำนาน ไม่ กระทั่งพูดได้ว่าเป็นหญ้าของเซียนชนิดหนึ่งก็ไม่เกินไป ผู้น้อยเคยเห็นการบรรยายเกี่ยวกับหญ้าเซียนท่อนหนึ่งในม้วนคัมภีร์หยกม้วนหนึ่งโดยบังเอิญ ว่าเมล็ดของหญ้าเซียนห้าร้อยปีถึงโผล่พ้นดิน ภายในร้อยปีโตขึ้นออกผลไม้เซียน คนทั่วไปหากโชคดีได้กินผลไม้เซียน ก็จะตัวเบาดังปักษา พลิ้วไหวเหมือนบินได้ ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรที่ผ่านการบำเพ็ญเพียรมาก่อนหากกินผลไม้เซียนเข้าไป เช่นนั้นก็สามารถเหาะเหินเดินอากาศ ได้สัมผัสอิทธิฤทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดล่วงหน้า”

 

 

“สหายน้อยสามารถกล่าวประสิทธิภาพประโยชน์ใช้สอยทีละอย่างๆ ของหญ้าทิพย์เช่นหญ้าเซียนนี้ได้ ก็หาได้ยากแล้ว คิดว่าสหายน้อยคงเชี่ยวชาญทางแห่งการหลอมโอสถทีเดียวสินะ?” ผู้ชายพูดพลางเหลือบหลัวอวี้เฉิงปราดหนึ่ง ใจคิดว่าสหายน้อยสองคนนี้ก็เป็นคนงามที่เหมาะสมกันดังกิ่งทองใบหยกคู่หนึ่ง ต้องเป็นคนที่โดดเด่นในรุ่นเดียวกันแน่นอน ก็เหมือนเขาและหนิงเอ๋อร์ในยามนั้น…นึกถึงตรงนี้กลับรู้สึกเศร้าใจอีก

 

 

มั่วชิงเฉินถ่อมตนว่า “ท่านผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ผู้น้อยเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน จะเรียกว่าเชี่ยวชาญวิชาหลอมโอสถได้อย่างไรกัน เพียงแต่มีความสนใจในสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เด็กก็เท่านั้นเอง”

 

 

ผู้ชายไม่รับและไม่ปฏิเสธ เอ่ยต่อว่า “สหายน้อยทั้งสองน่าจะรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเหาะเหินเดินอากาศได้กระมัง?”

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนพยักหน้า นี่ก็เป็นหนึ่งในอิทธิฤทธิ์ที่พวกเขาชื่นชม

 

 

“ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเหาะเหินเดินอากาศได้ ต้องอาศัยสองสิ่ง หนึ่งคือพลังวิญญาณในร่างตน สองคือปราณวิญญาณในฟ้าดิน นี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้ายากจะหลุดออกจากหุบเขาไร้วิญญาณ ทว่าผลไม้เซียนกลับต่างกัน ผู้บำเพ็ญเพียรที่กินผลไม้เซียนเข้าไปร่างกายจะเบาหวิวไม่มีสิ่งใดเทียบได้ ต่อให้ไม่มีพลังวิญญาณคอยค้ำจุน อย่างมากก็คือความเร็วในการเหินหาวถูกจำกัด กลับไม่เป็นอุปสรรคต่อการเหาะเหินเดินอากาศ ปีนั้นข้าพบหญ้าเซียนนี้โดยบังเอิญแล้วประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก น่าเสียดายที่ผลไม้เซียนที่เกิดมายังไม่สุก แต่ร่างกายของข้ากลับรอไม่ไหวแล้ว” ผู้ชายพูดถึงตรงนี้แล้วรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนนิ่งเงียบพูดไม่ออก ไม่ได้รับคำ เวลาเช่นนี้ไม่ว่าพูดอะไร ก็เหมือนกับพวกเขาเก็บผลประโยชน์ของคนอื่นไปเป็นของตนอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ผู้ชายเก็บสีหน้าผิดหวังขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงเปลี่ยนว่า “บัดนี้ผลไม้เซียนกำลังจะสุกแล้ว คิดว่าพวกเจ้ารออีกไม่กี่ปีก็เด็ดได้แล้ว ทว่าใกล้ๆ หญ้าเซียนมีปลาดุกตัวหนึ่งคอยเฝ้า หากพวกเจ้าคิดจะเด็ดผลไม้เซียนอย่างราบรื่น เกรงว่ายังต้องเสียแรงสักครา”

 

 

เป็นไปตามคาด ในโลกนี้ไม่มีอาหารกลางวันที่ให้เปล่า เพียงแต่การมีโอกาสเช่นนี้ก็หายากมากแล้ว อย่างไรก็โชคดีกว่าท่านผู้อาวุโสตรงหน้านี้มาก มั่วชิงเฉินแอบคิดคนเดียว

 

 

“เอาล่ะ วิธีออกจากหุบเขาไร้วิญญาณก็คือสิ่งนี้ คิดว่าด้วยพลังความสามารถของสหายน้อยทั้งสอง ยังมีโอกาสเด็ดผลไม้เซียนได้มาก ส่วนค่ายเคลื่อนย้ายโบราณนั่น… หากสหายน้อยทั้งสองได้ผลไม้เซียนแล้ว ก็มาคุยกับข้าที่ถ้ำอีกครั้ง ถึงเวลาข้าย่อมบอกพวกเจ้าเอง” ผู้ชายลุกขึ้นยืน แสดงออกถึงการส่งแขก

 

 

“ผู้น้อยขอตัว” หลัวอวี้เฉิงลุกขึ้นยืน แล้วกอบหมัด

 

 

มั่วชิงเฉินลุกขึ้นยืนตาม ในใจกลับดิ้นรนอยู่ การสันนิษฐานของตนตกลงถูกหรือไม่ จะยืนยันกับคนผู้นี้สักทีดีหรือไม่ ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรื่องที่หลัวอวี้เฉิงรู้ก็จะมากเกินไป…ยิ่งกว่านั้น โลกกว้างใหญ่มีเรื่องมหัศจรรย์มากมาย คนที่คล้ายกันก็ใช่ว่าจะไม่มี หากผิดขึ้นมาจะทำเช่นไรดี?

 

 

มั่วชิงเฉินในใจกำลังกลัดกลุ้ม หันหลังตามหลัวอวี้เฉิงออกไปโดยไม่รู้ตัว กลับได้ยินเสียงผู้ชายด้านหลังลอยมานิ่งเรียบว่า “ใช่แล้ว ยังมิได้บอกสหายน้อยทั้งสอง สมญาเต๋าข้าคือฝูเฟิงเจินจวิน ชื่อทางโลกชื่อว่าหลิ่วเฉินเฟิง”

 

 

มั่วชิงเฉินชะงักทันที หันกลับมาว่า “ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยมีเรื่องอยากหารือกับท่านสักหน่อย”

 

 

“เอ่อ ไม่ทราบสหายน้อยมีสิ่งใดจะกล่าว?” ฝูเฟิงเจินจวินถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

 

 

มั่วชิงเฉินเหลือบมองหลัวอวี้เฉิงอย่างไม่รู้ตัว

 

 

หลัวอวี้เฉิงกระตุกมุมปากว่า “ข้าออกไปก่อนแล้ว” พูดจบก็เดินสวบๆ หันหลังจากไป

 

 

มั่วชิงเฉินถอนใจ ฝูเฟิงเจินจวินแซ่ทางโลกแซ่หลิ่ว ส่วนตนเองแม้ไม่รู้ว่ามารดาชื่ออะไร กลับรู้ว่าน้าชายชื่อหลิ่วต้าเฉิง หากบอกว่าเพราะหน้าตาคล้ายกันยังสามารถบอกว่าเป็นความบังเอิญ ทว่าแม้แต่แซ่ก็ตรงกัน นางไม่อาจทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้จริงๆ

 

 

จู่ๆ ตนก็เสนอขึ้นเองว่ามีเรื่องหารือ ด้วยความฉลาดของหลัวอวี้เฉิงเกรงว่าจะคาดเดาเรื่องออกมาได้ไม่น้อย ทว่าเช่นนี้ก็ดี พวกเขาสองคนถูกฝูเฟิงเจินจวินตั้งข้อจำกัดไว้ ถูกบังคับให้รับปากเงื่อนไขสองข้อแรกของเขา

 

 

ต่อไปออกจากหุบเขาไร้วิญญาณ หลัวอวี้เฉิงต้องไปตามหาที่อยู่วุนหนิงพร้อมตน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หาไปหามามิหาไปถึงหน้าบ้านตนเองหรอกหรือ

 

 

เปรียบเทียบกันแล้ว ยังไม่สู้ให้เขารู้โดยตรงว่าสองเรื่องแรกนี้ไม่ต้องไปทำแล้วดีกว่า ส่วนเรื่องที่สาม ก็รออนาคตค่อยว่ากันแล้วกัน

 

 

“สหายน้อยมีเรื่องอันใดพูดตรงๆ ได้แล้ว” ฝูเฟิงเจินจวินยิ้มอย่างอ่อนโยน 

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก เรื่องนี้ยังไม่รู้จะเปิดปากเช่นไรดีจริงๆ จะรับบรรพบุรุษดื้อๆ เลยก็คงไม่ได้กระมัง

 

 

“สหายน้อย?” เห็นมั่วชิงเฉินไม่พูดเสียที ฝูเฟิงเจินจวินออกเสียงเรียก 

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟัน หันหลังไปให้รู้แล้วรู้รอด ยื่นมือทัดผมหน้าที่หนาเตอะไว้หลังหู แล้วใช้ดอกไม้มุกบนศีรษะติดไว้ ถึงหมุนตัวกลับมาช้าๆ

 

 

ในชั่วขณะที่เห็นใบหน้าของมั่วชิงเฉิน ฝูเฟิงเจินจวินเหมือนถูกฟ้าผ่าในทันใด รีบก้าวขึ้นหน้าไปสองก้าวจับมือของนางไว้โดยพลัน แล้วเอ่ยเสียงสั่นว่า “หนิงเอ๋อร์…”

 

 

มั่วชิงเฉินดึงมือกลับอย่างอักอ่วน ไม่คิดว่าจิตตระหนักเพียงสายเดียวของฝูเฟิงเจินจวินตรงหน้า ยามที่มือแตะถูกกันจะไม่แตกต่างอะไรกับคนจริงๆ ช่างอัศจรรย์พันลึกเหลือเกิน

 

 

ดีที่อย่างไรเสียฝูเฟิงเจินจวินก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ท่ามกลางความปั่นป่วนของจิตวิญญาณแม้เสียกิริยาไปบ้างแต่ก็ใจเย็นลงมาอย่างรวดเร็ว ตายังคงไม่ห่างจากใบหน้ามั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินไม่พูดสักแอะ เอาเป็นว่าบัดนี้ให้เขาดูให้ชัดเจน ถึงเวลามีอะไรก็ปล่อยให้อีกฝ่ายมาถามแล้วกัน ตนจะได้ไม่ต้องลำบากใจ

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าตนดูเหมือนนับวันจะยิ่งเจ้าเล่ห์ขึ้นแล้ว เอ่อ คงไม่ใช่คนใกล้หมึกดำ[1]หรอกนะ

 

 

ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดฝูเฟิงเจินจวินก็เอ่ยว่า “เด็กน้อย เจ้า…เจ้าชื่ออะไร?”

 

 

“ผู้น้อยชื่อมั่วชิงเฉิน” มั่วชิงเฉินตอบอย่างนอบน้อม

 

 

“แซ่มั่ว?” ฝูเฟิงเจินจวินขมวดคิ้วขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินรีบเอ่ยว่า “มารดาของผู้น้อยแซ่หลิ่ว”

 

 

ฝูเฟิงเจินจวินมือสั่น ยากจะปิดบังความตื่นเต้นในดวงตา “แซ่หลิ่วจริงหรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ ว่า “ผู้น้อยไม่กล้าพูดเหลวไหล”

 

 

“หนิงเอ๋อร์…สุดท้ายเจ้าก็ยังนึกถึงข้า…” ฝูเฟิงเจินจวินบ่นพึมพำ จากนั้นสายตาไม่ออกห่างจากมั่วชิงเฉิน “เด็กน้อย มานั่งตรงนี้ เล่าเรื่องของตระกูลมารดาให้ข้าฟังได้หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปนั่งลงอย่างว่าง่ายว่า “ข้าน้อยถือกำเนิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ ไม่รู้ชื่อแห่งหนึ่ง มารดาจากโลกนี้ไปนานแล้ว ตั้งแต่เด็กใช้ชีวิตมากับครอบครัวของน้าชาย ยามอายุหกขวบปีนั้นถูกท่านอาจากตระกูลบิดารับกลับเข้าตระกูล จนถึงบัดนี้ก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย”

 

 

ฝูเฟิงเจินจวินกลับหัวเราะขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้ารู้ว่าหนิงเอ๋อร์อยู่นี่จริงๆ อีกทั้งมีทายาทสืบสกุล เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”

 

 

เดิมทีเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด อารมณ์ความรู้สึกความปรารถนาแบบปุถุชนทั่วไปจางแล้ว จากจงหลางมาถึงทวีปแห่งเทพ จนตายก็ไม่เคยกลับไปสักครั้ง สำหรับบุตรคนโตที่ทิ้งไว้ที่จงหลางกลับไม่ได้ห่วงอะไรมากนัก ที่ห่วงใยบุตรที่ไม่เคยเห็นหน้าคนนั้นถึงเพียงนี้ สาเหตุสำคัญเพราะความเสียใจที่เกิดกับวุนหนิง ถึงได้กลายเป็นปมในใจ

 

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่คิดว่าความปรารถนาสองข้อแรกของข้าก็บรรลุเป้าหมายแล้ว ดูท่าสุดท้ายสวรรค์ก็ดีกับข้าไม่น้อย เด็กน้อย บัดนี้เจ้าน่าจะไม่เกินห้าสิบปีกระมัง?” ฝูเฟิงเจินจวินถาม

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาตอบว่า “ผู้น้อยปีนี้อายุสามสิบหกเจ้าค่ะ”

 

 

“สามสิบหกปี?” ฝูเฟิงเจินจวินชะงัก อายุสามสิบหกปีบำเพ็ญเพียรถึงยอดระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ต่อให้ในจงหลางก็นับว่าเป็นคนเก่งที่น่าตะลึงแล้ว เด็กคนนี้ เป็นชนรุ่นหลังของข้าและหนิงเอ๋อร์นะ

 

 

เมื่อฝูเฟิงเจินจวินมองไปที่มั่วชิงเฉินอีกครั้ง สายตาก็ยิ่งอ่อนโยนขึ้นมา

 

 

“ยามที่ผู้น้อยออกจากบ้านน้าชายอายุยังน้อย ทว่าจำได้ว่าในหมู่บ้านที่แซ่หลิ่วมีเพียงครอบครัวน้าชายครอบครัวเดียวเท่านั้น มีลูกผู้น้องคนหนึ่งชื่ออาฝู หากผู้น้อยสามารถออกจากหุบเขาไร้วิญญาณได้ จะกลับไปลองดูที่หมู่บ้าน หากในบรรดาทายาทของลูกผู้น้องมีคนที่มีรากวิญญาณ ก็จะชักนำเขาสู่เส้นทางเซียนเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างอ่อนโยน

 

 

แม้ตนก็นับว่าเป็นชนรุ่นหลังของคนตรงหน้า ทว่าอย่างไรเสียก็ห่างกันชั้นหนึ่ง อีกอย่างหมู่บ้านนั้นเป็นสถานที่ที่มารดาเกิด ก็ควรกลับไปดูเสียหน่อยแล้ว

 

 

ฝูเฟิงเจินจวินหัวเราะว่า “พวกนี้ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะ ได้รู้ว่าหนิงเอ๋อร์อยู่ที่ใด ข้าก็ไม่เสียใจแล้ว”

 

 

จากนั้น ฝูเฟิงเจินจวินถามสถานที่ที่หมู่บ้านตั้งอยู่และประสบการณ์การบำเพ็ญเพียรบางส่วนของมั่วชิงเฉินอีก ทั้งสองคนคุยกันเกือบหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงหยุดลง

 

 

“เอาล่ะ ชิงเฉิน เจ้ารีบออกไปเถอะ สหายน้อยคนนั้นเกรงว่าจะรอจนร้อนใจแล้ว” ฝูเฟิงเจินจวินอมยิ้มเอ่ย

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างจำใจ แน่นอนหลัวอวี้เฉิงต้องรอจนร้อนใจ เพียงแต่ไม่ใช่สถานการณ์เช่นที่ฝูเฟิงเจินจวินเข้าใจ

 

 

“ใช่แล้ว ชิงเฉิน สหายน้อยคนนั้นชื่ออะไร?” ฝูเฟิงเจินจวินถาม

 

 

“เขาชื่อหลัวอวี้เฉิงเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินตอบ

 

 

ฝูเฟิงเจินจวินพยักหน้า “เช่นนั้นชิงเฉินหลังจากเจ้าออกไปแล้วก็ให้อวี้เฉิงเข้ามาอีกสักครั้ง”

 

 

เห็นสายตาประหลาดใจของมั่วชิงเฉิน ฝูเฟิงเจินจวินหัวเราะว่า “ข้าต้องเตือนเจ้าหนุ่มนั่นเสียหน่อย ว่าวันหลังจะรังแกเจ้าไม่ได้”

 

 

มั่วชิงเฉิน…

 

 

 

 

——

 

 

[1] คนใกล้หมึกดำ คำเต็มคือ คนใกล้ชาดแดง คนใกล้หมึกดำ เป็นการเปรียบเปรยว่า สภาพแวดล้อม คนรอบกายเราล้วนมีผลกระทบต่อตัวเราทั้งนั้น ถ้าเราอยู่ใกล้คนดี เราจะก็เปลี่ยนเป็นคนดี ถ้าเราอยู่ใกล้คนเลว เราก็จะทำตัวเองคนเลวเหมือนกัน