ตอนที่ 246 ทุ่มเทใจเพื่อฟ้าดิน

พันธกานต์ปราณอัคคี

ข้างทะเลสาบ มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงนั่งเคียงกัน สายตาเพ่งพิศผิวทะเลสาบที่สงบราบเรียบอย่างไม่มีจุดหมาย

 

 

“วันนั้น…” นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ทั้งสองคนมองไปที่อีกฝ่ายแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกัน แล้วก็หยุดลงมาพร้อมกันอีก

 

 

“เจ้ามีเรื่องจะถามข้าหรือ?” หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้ว

 

 

สายตามั่วชิงเฉินตกลงบนผิวทะเลสาบ เอ่ยอย่างสงบว่า “ก็ไม่มีอะไร เพียงแต่อยากถามว่าคิดหาวิธีอะไรกำจัดปลาดุกตัวนั้นได้หรือยัง”

 

 

ที่จริงนางอยากถามว่าวันนั้นหลังจากออกจากถ้ำของฝูเฟิงเจินจวินจวบจนวันนี้ เหตุใดจู่ๆ เขาก็นิ่งเงียบไป ทว่าก็รู้สึกอีกว่าคำพูดนี้จะลึกซึ้งเกินไปสำหรับการรู้จักกันเพียงผิวเผินเช่นนี้จึงเบนหัวข้อออก

 

 

หลัวอวี้เฉิงได้ยินดังนั้นแล้วก็หัวเราะ ทันใดนั้นยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อล้วงม้วนคัมภีร์หยกออกมาม้วนหนึ่งว่า “อ้าว ของกลับคืนเจ้าของเดิม”

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือรับไป ถามว่า “ฝูเฟิงเจินจวินบอกเจ้าหมดแล้วหรือ?”

 

 

“บอกอะไรข้า?” หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม

 

 

มองสายตาเปื้อนยิ้มของหลัวอวี้เฉิง มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก “เจ้าหลอกข้า?”

 

 

สวรรค์ คนคนนี้ช่างผิดมนุษย์มนาจริงๆ ขอเพียงเขาอยาก ในโลกนี้ก็ไม่มีเรื่องปิดบังเขาได้ใช่หรือไม่? มั่วชิงเฉินเกิดความรู้สึกอยากหนีไปให้ไกลๆ ขึ้นมาทันที

 

 

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะหึๆ ขึ้นมาว่า “บอกตรงๆ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ข้าไม่แน่ใจที่สุด”

 

 

“เพราะอะไร?” มั่วชิงเฉินถามอย่างไม่รู้ตัว

 

 

หลัวอวี้เฉิงไม่พูด สายตากวาดผ่านหน้ามั่วชิงเฉิน

 

 

“หลัวอวี้เฉิง!” มั่วชิงเฉินกัดฟันตะโกน นางก็ไม่ใช่คนโง่ ย่อมเข้าใจความหมายในสายตาเขา

 

 

ระหว่างกำลังโกรธอยู่ก็เห็นอีกฝ่ายโยนม้วนคัมภีร์มรกตมาอีกม้วนหนึ่งทันที เสียงนิ่งเรียบอมยิ้มดังขึ้นว่า “เกือบลืมสิ่งนี้แล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินมองม้วนคัมภีร์มรกตที่บันทึกวิชาบำเพ็ญเพียรคู่ หน้าแดงก่ำขึ้นทันที แล้วโยนกลับไปเหมือนหัวมันร้อนลวกมือ “สหายเต๋าหลัว ม้วนคัมภีร์หยกนี้ก็ถือว่าเป็นของขวัญแสดงความยินดีที่ข้ามอบให้เจ้าและคู่หมั้นล่วงหน้าก็แล้วกัน คิดว่าวันแต่งงานของเจ้า เกรงว่าข้าก็ไปไม่ได้แล้ว”

 

 

สีหน้าหลัวอวี้เฉิงกลับจู่ๆ ก็เย็นชาขึ้นมา แล้วยัดม้วนคัมภีร์มรกตกลับเข้าอกเสื้อ สายตามองไปที่ผิวทะเลสาบว่า “สหายเต๋ามั่ว เกรงว่าเราต้องอยู่ในหุบเขานี่อีกหลายปี คิดว่าต่อไปจะทำเช่นไรจะดีกว่านะ”

 

 

มั่วชิงเฉินก็กลัดกลุ้มขึ้นมา

 

 

วันก่อนพวกเขาสองคนลงน้ำไปด้วยกัน หาหญ้าเซียนต้นนั้นเจอตามคาด ที่โชคดีคือไม่คิดว่าข้างบนจะงอกผลไม้เซียนแล้วสามผล เพียงแต่น่าเสียดายที่ผลไม้ยังไม่สุกดี ดูท่าทางยังต้องอีกหลายปี

 

 

แม้มั่วชิงเฉินมีขวดน้ำเต้าเซียนอยู่ในมือสามารถเร่งผลไม้ทิพย์ได้ ทว่ามีหลัวอวี้เฉิงอยู่จึงไม่กล้าคิดทำเช่นนี้เด็ดขาด ยอมรออีกหลายปีค่อยว่ากันดีกว่า

 

 

ที่ยิ่งทำให้ทั้งสองคนจำใจคือ ปลาดุกที่เฝ้าหญ้าเซียนลื่นไหลมาก พวกเขาสองคนมาถึงใกล้ๆ หญ้าเซียนไม่คิดว่าจะไม่โผล่แม้แต่หน้าออกมา จนกระทั่งลงน้ำครั้งที่สองยามจงใจแสร้งทำเป็นจะเด็ดผลไม้เซียน ถึงมีอสูรยักษ์ตัวหนึ่งโผล่มา พุ่งมาหาพวกเขาอย่างเกรี้ยวกราด รอพวกถอยออกไประยะหนึ่ง ก็ไม่ไล่ตาม ไม่รู้มุดกลับไปทางไหนอีก ไร้ซึ่งร่องรอย

 

 

“ปลาดุกตัวนั้น ไม่กำจัดโดยเร็วสุดท้ายจะเป็นภัย หากยามที่ผลไม้เซียนสุกงอมแล้วมันมาแลกชีวิตกับพวกเรา ทำให้พลาดเวลาในการเด็ดผลไม้เซียนเราก็ต้องติดตายอยู่ในนี้จริงๆ แล้ว” มั่วชิงเฉินถอนใจว่า

 

 

หลัวอวี้เฉิงพยักหน้า “สหายเต๋ามั่ว ในเมื่อเจ้าคุ้นเคยกับธรรมชาติของหญ้าทิพย์สมุนไพรทิพย์ สามารถคาดคะเนเวลาสุกงอมอย่างเป็นรูปธรรมของผลไม้เซียนได้หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินค้อนตาคว่ำว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้ายกย่องข้าเกินไปแล้ว ในโลกนี้เกรงว่าจะมีนักหลอมโอสถเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นหญ้าเซียนกระมัง ทว่าฝูเฟิงเจินจวินบอกว่า ผลไม้เซียนกำลังจะสุกแล้ว อย่างน้อยสามปี อย่างมากห้าปีก็สามารถเด็ดได้แล้ว”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็แอบกลุ้ม หากต้องรออยู่ที่นี่สักห้าปีจริง ตนก็อายุสี่สิบเอ็ดปีแล้ว ส่วนสัญญากับหัวหน้าตระกูลหวังแห่งทะเลขนาบใจก็คือยามที่ตนอายุสี่สิบสองปี เวลาจะเร่งรีบเกินไปแล้ว

 

 

หลัวอวี้เฉิงกลับไม่รู้สิ่งที่มั่วชิงเฉินคิด ลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ ทีหนึ่งว่า “ไม่สู้พวกเราก็สร้างบ้านสักสองหลังที่ริมทะเลสาบนี่เถอะ เวลาสามปีห้าปีหากกักตนบำเพ็ญเพียรแม้ไม่นับว่ายาวนาน ทว่าด้วยสภาพบัดนี้ของเรากลับทนได้ยากนัก อย่างไรเสียก็นอนกลางดินกินกลางทรายเช่นนี้ตลอดไม่ได้กระมัง”

 

 

มั่วชิงเฉินพิจารณาหลัวอวี้เฉิงปราดหนึ่ง แล้วหัวเราะว่า “สหายเต๋าหลัว หุบเขาไร้วิญญาณนี่ไร้ปราณวิญญาณหล่อเลี้ยง ต้นไม้ใบหญ้าบางเบา หากเราจะสร้างบ้านเกรงว่าต้องใช้ก้อนหิน เจ้ายกไหวหรือ? คงไม่ใช่ถึงสุดท้าย… กลายเป็นข้าสร้างคนเดียวหรอกนะ?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงหน้าดำทันที ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างดุดันทีหนึ่งแล้วก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า

 

 

เห็นหลัวอวี้เฉิงหยุดลงที่ที่แห่งหนึ่งแล้วเริ่มขนก้อนหิน มั่วชิงเฉินยิ้มละไมแล้วลุกขึ้นยืน เดินขึ้นหน้าไปขนย้ายด้วยกัน

 

 

พริบตาเดียวผ่านไปสิบกว่าวัน มองกองหินที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างแล้ว สองคนสบตากันยิ้มระทม ตามระดับความเร็วเช่นนี้ คิดจะสร้างบ้านสองหลังเกรงว่าต้องใช้เวลาสักครึ่งปีแล้ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่สามารถร่ายคาถาได้ ยังสู้ช่างอิฐช่างปูนธรรมดาสองสามคนไม่ได้เลยจริงๆ

 

 

ในเวลานี้เอง โอรสศักดิ์สิทธิ์พาชายกำยำที่ใช้เพียงหนังสัตว์ผืนหนึ่งห่อหุ้มร่างกายกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา

 

 

เห็นภาพคนกลุ่มหนึ่งเดินมาอย่างรวดเร็วจนพื้นสะเทือนฝุ่นตลบ มั่วชิงเฉินแอบส่งเสียงทางจิตว่า “พวกเขามาทำอะไร?”

 

 

“ใครจะไปรู้ ไม่แน่อาจมาช่วยพวกเราสร้างบ้านก็ได้” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างขี้เกียจ ยุ่งมาครึ่งค่อนวันแล้ว เขาไม่มีแรงแล้ว

 

 

ใครจะรู้ว่าถูกหลัวอวี้เฉิงเดาถูกจริงๆ คนกลุ่มนั้นมาถึงตรงหน้า โอรสศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงกลางก็เอ่ยว่า “ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉนกวาดมองกลุ่มคนปราดหนึ่ง เห็นส่วนสูงเฉลี่ยของคนกลุ่มนี้มีเจ็ดฉื่อเล็กน้อย แต่ละคนไหล่กว้างเอวใหญ่รูปร่างบึกบึน มีเพียงโอรสศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกห้อมล้อมอยู่ตรงกลางรูปร่างขนาดกลาง หน้าตาหมดจด ไม่แตกต่างจากเด็กหนุ่มทั่วไปนอกหุบเขา

 

 

ทว่าชายกำยำข้างหลังเขาดันไม่มีใครไม่เคารพ กิริยานอบน้อม ว่าไปก็ประหลาด

 

 

“โอรสศักดิ์สิทธิ์ยอมช่วย เราสองคนซาบซึ้งนัก” หลัวอวี้เฉิงยิ้มนิ่งเรียบ ถือโอกาสพูดขึ้น

 

 

โอรสศักดิ์สิทธิ์ได้ยินแล้วสีหน้าปีติ หันหน้าไปว่า “พวกเจ้ารีบเข้ามา ทำตามที่ท่านปราชญ์ทั้งสองสั่ง”

 

 

ท่านปราชญ์? พวกมั่วชิงเฉินสองคนมองหน้ากัน

 

 

ยามนี้ชายกำยำกลุ่มนั้นล้อมเข้ามาหมดแล้ว มองกองหินสร้างบ้านที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างของทั้งสองคนเหมือนไม่เคยเห็น

 

 

“พวกเราไม่เคยสร้างสิ่งนี้มาก่อน ต้องทำเช่นไรพวกท่านบอกพวกเขาก็พอ วางใจได้ พวกเขาแรงเยอะมาก” โอสถศักดิ์สิทธิ์บอกทั้งสองคน

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกมั่วชิงเฉินสองคนก็ไม่เกรงใจแล้ว สั่งชายกำยำกลุ่มนั้นขนก้อนหินเป็นก้อนๆ มา แล้วเริ่มก่อสร้างภายใต้การชี้แนะของพวกเขา

 

 

ชายกำยำพวกนี้ดูเหมือนสติปัญญาไม่สูง แทบจะต้องให้พวกมั่วชิงเฉินสองคนพูดก้าวหนึ่งพวกเขาถึงเดินก้าวหนึ่ง ดีที่พละกำลังกลับเป็นของจริงแท้แน่นอน ขนก้อนหินแล้วเดินเร็วดุจบินได้ อีกทั้งเชื่อฟังยิ่งนัก ใช้เวลาไม่นานเท่าไร ก็มีรูปร่างของบ้านแล้ว

 

 

เห็นหลัวอวี้เฉิงสอนชายกำยำพวกนั้นสร้างบ้านอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย มั่วชิงเฉินตบๆ มือ แล้วนั่งลงข้างทะเลสาบ

 

 

ไม่นานนัก โอรสศักดิ์สิทธิ์ก็เดินเข้ามา

 

 

รู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มตั้งใจผ่อนฝีเท้า มั่วชิงเฉินยังคงหันหน้ามา มองเด็กหนุ่มแล้วยิ้มว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ มีธุระหรือ?”

 

 

เด็กหนุ่มชะงักแผ่วเบา ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยว่า “ข้านั่งลงข้างๆ ท่านได้หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินอึ้ง แล้วยิ้มทันทีว่า “ได้สิ นั่นตรงนี้เถอะ” พูดพลางตบก้อนหินที่อยู่ข้างๆ

 

 

เด็กหนุ่มนั่งลงด้วยสีหน้าดีใจ มองไปที่มั่วชิงเฉินอย่างประหม่าเล็กน้อย

 

 

มั่วชิงเฉินก็ไม่เร่ง เพียงแต่ยิ้มมองเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน

 

 

ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงได้ยินเด็กหนุ่มว่า “ท่านได้พบท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ

 

 

สีหน้าของเด็กหนุ่มตื่นเต้นขึ้นมาทันที เสียงยกสูงขึ้นเล็กน้อยว่า “ท่านได้พบท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ? ท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์หน้าตาเป็นเช่นไรกันแน่?”

 

 

“ท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ท่าน…ก็ดั่งเทพยดาบนสวรรค์ก็ไม่ปาน ทำให้คนได้พบแล้วลืมสิ้นสิ่งอื่น” มั่วชิงเฉินจะใช้คำพูดอื่นบรรยายหนึ่งในบรรพบุรุษของตนก็รู้สึกไม่ดี จึงได้แต่เอ่ยอย่างคลุมเครือ

 

 

เด็กหนุ่มกลับพยักหน้าอย่างพอใจเป็นพิเศษ ตาเป็นประกายว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ เหล่าโอรสศักดิ์สิทธิ์เมื่อก่อนก็พูดเช่นนี้” พูดถึงตรงนี้สีหน้ามืดมนลง “น่าเสียดายข้าไม่เคยเห็นท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์มาก่อน โอรสศักดิ์สิทธิ์ก่อนข้าหลายรุ่นก็ไม่เคยพบมาก่อน…”

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นท่าทางหดหู่ของเด็กหนุ่มแล้ว อดไม่ได้ว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าเจ้ากลายเป็นโอรสศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นไร ท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์และพวกเจ้าเหล่าโอรสศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกันเช่นไรอีก?”

 

 

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น สายตามองผิวทะเลสาบแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ

 

 

ที่แท้ปีนั้นฝูเฟิงเจินจวินตกลงมาในหุบเขาไร้วิญญาณ ก็พบว่าที่นี่มีชาวพื้นเมืองอยู่ เพียงแต่เวลานั้นคนในหุบเขาสติปัญญายังต่ำกว่าบัดนี้อีก พูดได้ว่าไม่ต่างอะไรกับคนป่า

 

 

ยามแรกเริ่มฝูเฟิงเจินจวินคิดแต่จะจากไป ย่อมไม่มีกะจิตกะใจเสวนากับชาวพื้นเมืองพวกนี้ ทว่าพริบตาเดียวผ่านไปร้อยปีหาทางออกไม่พบ ต่อให้เขาในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็ใจเกิดอ้างว้างได้ อย่างช้าๆ ก็ไปมาหาสู่กับชาวพื้นเมืองที่นี่ขึ้นมา

 

 

ที่ทำให้มั่วชิงเฉินเลื่อมใสก็คือ ฝูเฟิงเจินจวินสอนวิธีล่าสัตว์ให้พวกเขา อีกทั้งยังสอนวิธีรักษาโรคภัย อาการบาดเจ็บภายนอกอย่างง่ายๆ กระทั่งยังเลือกคนที่สติปัญญาสูงสักหน่อยในบรรดาชาวพื้นเมืองออกมา สอนหนังสือให้พวกเขา!

 

 

เป็นเช่นนี้มารุ่นต่อรุ่น ไม่คิดว่าในบรรดาชาวพื้นเมืองจะปรากฏคนที่จิตวิญญาณสติปัญญาค่อนข้างสูงออกมาสายหนึ่งจริงๆ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด คนในตระกูลของสายนี้ตั้งแต่เด็กก็ต่างจากตระกูลอื่นในหุบเขา เกิดมารูปร่างเล็กกะทัดรัด หลังจากที่โตเป็นผู้ใหญ่ส่วนสูงเรี่ยวแรงยิ่งเทียบกับคนอื่นไม่ได้

 

 

ฝูเฟิงเจินจวินสงสารการเอาตัวรอดอย่างลำบากของชาวพื้นเมืองสายนี้ นอกจากนี้พวกเขารูปร่างหน้าตาคล้ายกับตนมากกว่า จึงให้อยู่ข้างกายสั่งสอนด้วยตนเองขึ้นมา นี่ก็คือประวัติความเป็นมาของโอรสศักดิ์สิทธิ์ในสมัยแรกสุดแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินล่วงรู้จากเรื่องที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเล่า ฝูเฟิงเจินจวินถ่ายทอดวิธีฝึกฝนจิตตระหนักอย่างง่ายๆ ให้โอรสศักดิ์สิทธิ์รุ่นแรก โอรสศักดิ์สิทธิ์บันทึกวิธีนี้ในหนังสัตว์ผืนหนึ่งแล้วสืบทอดลงมาในฐานะสมบัติตกทอด ทุกครั้งที่โอรสศักดิ์สิทธิ์ชราภาพ ก็จะเลือกเด็กอายุน้อยในตระกูล เด็กที่มีความสามารถในการเรียนรู้สามารถฝึกจิตตระหนักได้ก็จะถูกฟูมฟักอย่างดีให้กลายเป็นโอรสศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไป

 

 

ทุ่มเทใจเพื่อฟ้าดิน ทุ่มเทชีวิตเพื่อประชา สืบต่อความรู้เพื่อปราชญ์ผู้ล่วงลับ ริเริ่มสันติสุขเพื่อทั่วหล้า

 

 

ยามที่ฝูเฟิงเจินจวินทำเรื่องเหล่านี้อาจเพียงเพราะทำตามจิตใต้สำนึกปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ กลับไม่ต่างจากการนำเชื้อไฟแห่งอารยธรรมมาสู่หุบเขาไร้วิญญาณนี้ ทำให้พวกเขาไม่ต้องเสียเวลาคลำทางอย่างช้าๆ นับร้อยนับพันปี มองจากมุมบางมุมแล้ว พูดได้ว่าเป็นการสร้างบุญอย่างมหาศาลแล้ว

 

 

มองดูสีหน้าเด็กหนุ่มที่เปี่ยมด้วยความจริงใจ ชายกำยำกลุ่มหนึ่งขนย้ายก้อนหินสร้างบ้านอย่างขมัดเขม้น บนใบหน้าคือรอยยิ้มบริสุทธิ์ที่ไม่เจือปนปัจจัยใดๆ จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา ผู้บำเพ็ญเพียรเช่นพวกเขาวันๆ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญเพียร เพื่อผลประโยชน์แล้วแย่งกันจนหัวร้างข้างแตก กุมพลังที่สามารถทำลายฟ้าดินในสายตาคนธรรมดา ทว่าเคยคิดจะใช้พลังที่ตนกุมไว้ไปทำประโยชน์อะไรบ้างหรือไม่?

 

 

เห็นหญิงสาวตรงหน้าจู่ๆ ก็สีหน้าเหม่อลอยขึ้นมา เด็กหนุ่มเกาศีรษะอย่างสงสัย ผ่านไปเนิ่นนานถึงเอ่ยอย่างเจี๋ยมเจี้ยมว่า “ท่านมาจากข้างนอก ต้องรู้หนังสือแน่นอนสินะ?”

 

 

แววตามั่วชิงเฉินกลับมาใสกระจ่าง ในรอยยิ้มมีความอบอุ่นที่ตนก็ไม่สังเกตเห็นเพิ่มมาสายหนึ่ง “อืม”

 

 

เด็กหนุ่มเลิกคิ้วว่า “เช่นนั้นท่านสอนหนังสือข้าได้หรือไม่?” พูดถึงตรงนี้หน้าแดงเรื่อเล็กน้อย “มีโอรสศักดิ์สิทธิ์รุ่นหนึ่งเสียไปตั้งแต่เนิ่นๆ ยังไม่ทันได้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดที่เรียนมาให้โอรสศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไป ทว่ายามนั้นท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ในถ้ำไม่ออกมาข้างนอกหลายปีแล้ว และก็ไม่อนุญาตให้พวกเราเข้าไปรบกวนอีก ดังนั้นนับแต่นั้น ความรู้ที่โอรสศักดิ์สิทธิ์แต่ละรุ่นต่อจากนั้นกุมไว้ล้วนไม่ครบครัน

 

 

“ได้แน่นอน” มั่วชิงเฉินยิ้มว่า

 

 

เด็กหนุ่มตาเป็นประกาย รีบล้วงหนังสัตว์ที่ถูจนเก่าใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อทันที แล้วเปิดออกอย่างระมัดระวังชี้ตัวอักษรที่อยู่ชิดกันสองคำว่า “สองคำนี้อ่านว่าอะไร?”

 

 

มั่วชิงเฉินกวาดมองไป เอ่ยเสียงเบาว่า “ตัวนี้หรือ อ่านว่า ‘เฉียนคุน’ เฉียนคุนน่ะ เป็น ‘สองทิศ’ ในแปดทิศ เป็นตัวแทนของฟ้าดิน และแตกออกเป็นหยินหยาง ชายหญิง…”

 

 

มั่วชิงเฉินพูดพลางยื่นนิ้วมือออกวาดแผนฝังแปดทิศไว้บนพื้น แล้วเอ่ยต่อว่า “เฉียนคือฟ้า คุนคือดิน ทิศเฉียนผ่านการเปลี่ยนแปลงเพื่อแสดงถึงสติปัญญา ทิศคุนผ่านความเรียบง่ายเพื่อแสดงถึงพลังความสามารถ ควบคุมการเปลี่ยนแปลงและความเรียบง่าย ก็คือควบคุมทางแห่งสรรพสิ่งในฟ้าดิน…”

 

 

“ซับซ้อนจังเลย ข้าฟังไม่เข้าใจ” เด็กหนุ่มย่นจมูกอย่างกลัดกลุ้ม

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วอธิบายต่ออย่างอดทน

 

 

“คนข้างนอกร้ายกาจเช่นนี้เหมือนท่านหมดหรือไม่? เหตุใดเราอายุห่างกันไม่เท่าไร ท่านกลับรู้มากถึงเพียงนี้ล่ะ?” พูดถึงสุดท้าย เด็กหนุ่มมองไปที่มั่วชิงเฉินอย่างเลื่อมใส

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มแล้ว “โอรสศักดิ์สิทธิ์ ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?”

 

 

เด็กหนุ่มก้มหน้าลงต่ำอย่างเขินอายว่า “ข้าอายุสิบสี่แล้ว”

 

 

“ทว่าข้าอายุสามสิบหกแล้ว แก่กว่าเจ้ามากว่าสองเท่าเต็มๆ นะ” มั่วชิงเฉินเอ่ย

 

 

เด็กหนุ่มลืมตาโตทันที “หา ท่านอายุสามสิบหกแล้ว? ทว่าท่านดูแล้วไม่ต่างกับข้าเท่าไรชัดๆ นี่นา”

 

 

ที่แท้สภาพแวดล้อมในหุบเขาย่ำแย่ ชาวบ้านในหุบเขาอายุขัยเฉลี่ยไม่เกินสี่สิบกว่าปี นี่ยังเป็นความดีความชอบของฝูเฟิงเจินจวินเมื่อพันปีก่อนที่ถ่ายทอดการล่าสัตว์ วิชาการแพทย์ให้พวกเขา เวลานั้นอายุขัยเฉลี่ยของพวกเขายังไม่ถึงสามสิบปี!

 

 

“ข้ารู้แล้ว พวกท่านเป็นเหมือนท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ เป็นอมตะหมดเลยใช่หรือไม่?” นัยน์ตาเด็กหนุ่มส่องประกายวิบวับ

 

 

มั่วชิงเฉินทำใจทำให้เด็กหนุ่มผิดหวังไม่ได้ จึงอธิบายเรื่องบำเพ็ญเพียรอย่างง่ายๆ ทว่าไม่ได้ลงลึก อย่างไรเสียเด็กหนุ่มนี่ต้องอยู่ในหุบเขาตลอดชีวิต รู้มากไปกลับเป็นการเพิ่มความกลัดกลุ้มเสียเปล่าๆ

 

 

ต่อให้เป็นเช่นนี้ เรื่องราวที่มั่วชิงเฉินเล่าก็เพียงพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มหลงใหลแล้ว

 

 

นับแต่วันนั้น เด็กหนุ่มนำคนในหุบเขามาทุกวัน หลัวอวี้เฉิงสั่งการชายกำยำกลุ่มหนึ่งสร้างบ้าน มั่วชิงเฉินสอนหนังสือให้เด็กหนุ่ม ไม่เกินสิบวัน บ้านสองหลังก็สร้างเสร็จอย่างเหนือความคาดหมาย

 

 

มองดูบ้านที่แข็งแรงเรียบร้อย มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิงยิ้มหน้าบาน

 

 

เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนเงียบๆ เรียกชาวเผ่าก็จะจากไป

 

 

“โอรสศักดิ์สิทธิ์” มั่วชิงเฉินเรียก

 

 

เด็กหนุ่มหันหน้ามา

 

 

มั่วชิงเฉินเดินขึ้นไป ตบไหล่ของเด็กหนุ่มว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ ต่อไปยามบ่ายของทุกวันเจ้ามาหาข้าเรียนหนังสือได้”

 

 

“จริงหรือ?” เด็กหนุ่มตาเป็นประกาย

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าอมยิ้ม

 

 

เด็กหนุ่มแย้มยิ้ม พาชาวเผ่าหันหลังจากไป แม้แต่เดินก็เบาหวิวขึ้นมา

 

 

“เจ้าช่างใจดี” หลัวอวี้เฉิงเย้ยหยันอย่างเย็นชา

 

 

มั่วชิงเฉินเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง “ไยเจ้าต้องปากแข็ง เหตุใดข้าได้ยินเจ้าพูดกับชาวบ้านพวกนั้นว่า พรุ่งนี้เจ้าจะไปช่วยพวกเขาสร้างบ้านศิลาที่พวกเขาโน่นล่ะ?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงแบะปาก “นั่นเพราะพวกเขาโง่เกินไป สร้างบ้านมานานปานนี้แล้วยังไม่รู้ว่าต้องสร้างอย่างไรอีก!” พูดพลางหน้าก็ไม่หันกลับมาแล้วเดินเข้าบ้านศิลาที่สร้างขึ้นใหม่