ตอนที่ 247 สิ่งอัศจรรย์นำเคราะห์อัสนี

พันธกานต์ปราณอัคคี

เวลาสามปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

 

หมูป่าตัวหนึ่งนอนอาบแดดอย่างขี้เกียจ กึ่งหรี่ตาจะหลับมิหลับแหล่

 

 

ทันใดนั้น มันกระโดดขึ้นมาโดยพลัน ร้องอู๊ดๆ พุ่งไปข้างหน้า

 

 

หากมีคนอยู่ที่นี่ ต้องคิดว่าหมูป่าตัวนี้เกิดคลั่งขึ้นมากะทันหันเป็นแน่ ทว่าหากเขาใส่ใจสักนิด ก็จะเห็นก้อนหินที่มุมแหลมคมก้อนหนึ่งไล่ตามหมูป่าไปดังฟิ้ว

 

 

ว่ากันตามหลักแล้วหากก้อนหินนี่ถูกคนโยนออกไป ความเร็วน่าจะยิ่งนานยิ่งช้า ทว่าความเร็วของก้อนหินนี้ไม่เพียงแต่ไม่ลดลง ยังมีท่าทียิ่งนานยิ่งเร็วขึ้นอีกต่างหาก ที่ยิ่งประหลาดคือ ยามที่หมูป่าข้างหน้าเลี้ยวโค้ง ก้อนหินยังเลี้ยวตามด้วย!

 

 

อาจเพราะสัญชาตญาณของสัตว์รู้สึกได้ว่าชีวิตได้รับการคุกคาม หมูป่ายิ่งบ้าคลั่งขึ้นมา สี่ขาวิ่งทะยานชนไม่ดูตาม้าตาเรือ กระทั่งชนต้นไม้เล็กล้มต้นหนึ่ง

 

 

ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานที่หมูป่าผ่อนความเร็วลงนี่เอง ก้อนหินที่ไล่ตามอย่างไม่ลดละในที่สุดก็ไล่มาทัน ซัดลงบนหัวหมูป่าอย่างแม่นยำ

 

 

หัวหมูป่าแตกเป็นรูทันที เลือดทะลักออกมา

 

 

พุ่งไปข้างหน้าอีกสิบกว่าจั้ง หมูป่าก็ล้มลงโดยพลัน ได้ยินเพียงเสียงตึ้งดังสนั่น ฝุ่นตลบไปหมด

 

 

หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งถึงเดินเข้ามาอย่างเอ้อระเหย

 

 

มองดูหมูป่าที่ยังชักเบาๆ อยู่ หลัวอวี้เฉิงยักคิ้วหัวเราะว่า “สหายเต๋ามั่ว ดูท่าเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาของเจ้าสำเร็จผลเล็กน้อยแล้ว ยินดีด้วย”

 

 

มั่วชิงเฉินกลับเพียงแค่หัวเราะ เดินไปถึงหมูป่าในไม่กี่ก้าวว่า “อะไรสำเร็จผลเล็กน้อยสำเร็จผลมาก ข้ารู้เพียงว่าวันนี้เรามีเนื้อหมูป่ากินแล้ว”

 

 

ไม่รู้เป็นเพราะสูญเสียการค้ำจุนจากพลังวิญญาณหรือไม่ แม้พวกเขาเลี่ยงธัญพืชแล้ว ความอยากในด้านปากท้องกลับรุนแรงกว่าเมื่อก่อน หากไม่กินอาหารทางโลกเป็นเวลานาน ก็จะรู้สึกหมดแรงไปทั้งตัว

 

 

เริ่มแรกหลัวอวี้เฉิงยังฝืนข่มใจไว้ กลัวกินอาหารที่ไม่มีปราณวิญญาณพวกนี้เป็นเวลานานจะส่งผลร้ายต่อร่างกาย มั่วชิงเฉินกลับไม่สนใจพวกนี้ เมื่อก่อนยามนางอยู่ข้างนอก ขอเพียงเงื่อนไขอำนวยก็จะกินข้าว โดยเฉพาะที่เขาป่าไผ่ ต้องกินข้าวเย็นกับอาจารย์แทบทุกวันไม่ว่าฝนตกแดดออก

 

 

ยามที่หลัวอวี้เฉิงพูดความกังวลออกมา มั่วชิงเฉินกลับหัวเราะว่า “การบำเพ็ญเพียรเดิมทีก็เพื่อให้มีชีวิตอยู่อย่างอิสระยิ่งขึ้น ก็เฉกเช่นอาหารนี้ ตอนนั้นในระหว่างทางที่เรามาหุบเขาไร้วิญญาณไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอะไรทั้งนั้น เมื่อไม่มีของกินก็ไม่จำเป็นต้องไปคิด ทว่าบัดนี้ในเมื่อมีแล้ว ขืนยังคิดไม่ตกว่าจะกินดีหรือไม่กินดีก็ดูเหมือนหาเรื่องใส่ตัวไปสักหน่อยแล้วกระมัง”

 

 

พูดจนหลัวอวี้เฉิงก็โยนความกังวลทิ้งไป กินอย่างสบายอุราขึ้นมา

 

 

หลัวอวี้เฉิงเดินเข้ามา ก้มโค้งจับขาหน้าสองข้างของหมูป่าขึ้นมา ยิ้มเช่นกันว่า “ไปเถอะ”

 

 

สองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ยกหมูป่าขนาดเท่าภูเขาย่อมๆ เดินไปที่ข้างทะเลสาบอย่างช้าๆ

 

 

มองแผ่นหลังของหลัวอวี้เฉิง มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างไม่มีเสียง

 

 

พริบตาเดียวเวลาผ่านไปสามปี ตอนนั้นคนที่ถูกลมพัดทีก็ล้มไม่คิดว่าบัดนี้จะมีรูปร่างดีเช่นนี้ ดูท่าชีวิตเช่นนี้สำหรับร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรแล้วกลับเป็นการฝึกฝนที่ดีมากแบบหนึ่ง

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ต่อให้ตนไม่อาจฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา เวลาสามปีนี้ก็ไม่นับว่าเสียเปล่า ก็ดังเช่นหลัวอวี้เฉิง

 

 

มาถึงข้างทะเลสาบ พวกมั่วชิงเฉินสองคนกำลังเตรียมจัดการหมูป่าด้วยกัน ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งทะยานมาแต่ไกล

 

 

“ท่านอาจารย์ปราชญ์…” ชายหนุ่มที่ยังมีความละอ่อนเล็กน้อยเรียกพลางหอบแฮ่กๆ ยกรวงข้าวสีเหลืองทองในมือว่า “ท่านอาจารย์ปราชญ์ ท่านดูสิ เช่นนี้ก็สุกงอมแล้วใช่หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปที่รวงข้าว จากนั้นยิ้มว่า “ใช่”

 

 

ชายหนุ่มยิ้มหน้าบานทันที มองมั่วชิงเฉินแล้วคิดจะพูดอะไรแต่กลับเจี๋ยมเจี้ยมไม่พูดอีก

 

 

“โอรสศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าสามารถเก็บเกี่ยวตามวิธีที่ข้าสอนได้แล้ว รอโม่แป้งสาลีออกมา ข้าค่อยสอนพวกเจ้าทำหมั่นโถวเซาปิ่ง” มั่วชิงเฉินหน้าตายิ้มแย้ม ในใจก็ยินดีเช่นเดียวกัน

 

 

ตั้งแต่สามปีก่อนนางสอนหนังสือให้โอรสศักดิ์สิทธิ์วันละหนึ่งชั่วยาม เวลาที่เหลือก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา นานๆ ทีก็คุยเคล็ดลับการบำเพ็ญเพียรกับหลัวอวี้เฉิง

 

 

หลัวอวี้เฉิงไม่มีวิชายุทธ์ให้ฝึก แรกเริ่มตั้งใจฝึกฝนร่างกาย ถึงตอนหลังไม่คิดว่าจะตามชาวบ้านในหุบเขาไปล่าสัตว์เป็นระยะ ร่างกายก็บึกบึนขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

 

 

เป็นเช่นนี้ผ่านไปครึ่งปี มั่วชิงเฉินไม่มีอะไรจะสอนให้โอรสศักดิ์สิทธิ์แล้ว หนังสือเขาแทบจะรู้หมดแล้ว กระทั่งข่าวคราวของโลกภายนอกก็บอกเขาไปไม่น้อย ส่วนวิธีการบำเพ็ญเพียร กลับไม่มีความจำเป็นต้องพูด จู่ๆ ก็มีเวลาว่างขึ้นมาหนึ่งชั่วยามกลับทำให้มั่วชิงเฉินไม่ชินขึ้นมา

 

 

ในการล่าสัตว์ครั้งหนึ่งชาวบ้านในหุบเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่มั่วชิงเฉินเอาโอสถออกมาไม่น้อยตั้งแต่ก่อนนี้ ในนั้นก็มียามังกรเหลืองด้วย ทาเพียงเบาๆ ก็รักษาชีวิตของสองคนนั้นได้แล้ว ทำให้ชาวบ้านในหุบเขายกย่องให้เป็นชาวสวรรค์ในทันใด

 

 

มองดูชาวบ้านในหุบเขาที่ซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหล จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็เกิดความคิด การหลอมโอสถในหุบเขาไร้วิญญาณต้องทำไม่ได้แน่นอน ทว่าในหุบเขานี้กลับมีสมุนไพรไม่น้อย หากตนลองเดินดูให้ทั่ว รวบรวมสมุนไพรที่รู้จักขึ้นมา สอนคนของที่นี่รู้จักแยกแยะชื่อสมุนไพร ฤทธิ์ยาและวิธีใช้ กลับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง

 

 

ก็เป็นเช่นนี้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาทุกวันมั่วชิงเฉินจะใช้เวลาชั่วยามกว่าเดินดูรอบๆ ไปทั่ว เจอสมุนไพรก็ขุดออกมานำกลับไป โอรสศักดิ์สิทธิ์พาชาวบ้านที่ความคิดละเอียดอ่อนสองสามคนศึกษาวิธีแยกแยะสมุนไพรด้วยกัน

 

 

พูดไปก็ให้บังเอิญ หนึ่งปีก่อนยามที่มั่วชิงเฉินหาสมุนไพรพบต้นกล้าข้าวสาลีป่าไม่กี่ต้นโดยบังเอิญ จึงรีบนำกลับบ้านศิลาอย่างดีใจ ปลุกบนพื้นที่โล่งหน้าบ้านคอยดูแลตลอดเวลา แล้วแอบรดสุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าที่ผสมน้ำจนเจือจางมากลงบนต้นกล้าข้าวสาลีป่า แม้ต้นกล้าข้าวสาลีป่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน กลับต้นอวบขึ้นมาทันที ต่อมาเวลาออกรวงข้าวอย่างไรก็เร็วกว่าข้าวสาลีปกติเล็กน้อย

 

 

หลัวอวี้เฉิงแม้ฉลาดล้ำเลิศ สำหรับการนี้กลับไม่มีความรู้เลย แม้แต่หน้าตาของต้นกล้าข้าวสาลีที่มั่วชิงเฉินนำกลับมาทีแรกเป็นเช่นไรก็จำไม่ได้ ย่อมไม่พบเงื่อนงำใดๆ เป็นธรรมดา

 

 

มั่วชิงเฉินกลับพบว่าพันธุ์ข้าวที่งอกจากต้นกล้าข้าวสาลีป่า อวบอิ่มทุกเม็ด เห็นชัดว่าดีกว่าของข้างนอกไม่น้อย ไม่รู้เพราะธรรมชาติของข้าวสาลีป่าเป็นเช่นนี้อยู่แล้วหรือเพราะเคยรดสุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าเซียนมาก่อน

 

 

มั่วชิงเฉินมอบพันธุ์ข้าวที่เก็บเกี่ยวได้ให้โอรสศักดิ์สิทธิ์ ชี้แนะให้พวกเขาปลุกข้าวสาลี สอนวิธีดูแลให้พวกเขา

 

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวข้าวสาลีก็สุกงอมแล้ว

 

 

“ท่านอาจารย์ปราชญ์ ขอบคุณท่านมาก เช่นนั้นข้ากลับไปก่อนแล้ว” ชายหนุ่มก้มโค้งคำนับหนึ่งที ก็จะหันหลังจากไป

 

 

“ช้าก่อน” มั่วชิงเฉินเรียก

 

 

ชายหนุ่มหยุดเดินทันที เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ท่านอาจารย์ปราชญ์ ยังมีเรื่องอะไรขอรับ?”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างจำใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เด็กหนุ่มคนนี้ก็ยืนยันจะเรียกตนและหลัวอวี้เฉิงเป็นอาจารย์ปราชญ์ แรกเริ่มพวกเขารู้สึกว่าสรรพนามนี้ประหลาดเหลือเกินอีกทั้งยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ทว่าเมื่อนานวันเข้าคนในหุบเขาต่างเรียกพวกเขาเช่นนี้ จนชินจนเป็นเรื่องปกติแล้ว

 

 

“สหายเต๋าหลัว ยืมกระบี่ให้ข้าใช้หน่อย” มั่วชิงเฉินยื่นมือไป

 

 

มองดูมือเรียวเนียนที่มั่วชิงเฉินยื่นมา หลัวอวี้เฉิงยื่นกระบี่รอบนิ้วที่ฝูเฟิงเจินจวินมอบให้ไปอย่างไม่รู้ตัว

 

 

มั่วชิงเฉินรับไปอย่างไม่เกรงใจ นั่งยองๆ ลงมือขึ้นกระบี่ลง ขาหมูข้างหนึ่งก็ถูกตัดออกมา

 

 

“มั่วชิงเฉิน!” หลัวอวี้เฉิงสีหน้าเกร็งตึง กัดฟันเรียก

 

 

มั่วชิงเฉินกลับไม่แม้แต่จะสนใจ พูดกับชายหนุ่มโดยตรงว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์ เจ้าเรียกคนมาสองคนมาหามหมูป่าตัวนี้กลับไปเถอะ”

 

 

ชายหนุ่มรีบเอ่ยว่า “จะได้เช่นไรกัน อาหารเลิศรสเช่นเนื้อหมูป่านี้ ท่านอาจารย์ปราชญ์ทั้งสองเก็บไว้ค่อยๆ รับประทานเถอะ” พูดเช่นนี้ไปพลางกลับกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว

 

 

ชีวิตในหุบเขาลำเค็ญ ชาวบ้านอาศัยการล่าสัตว์และเก็บผลไม้ป่าประทังชีพเป็นหลัก สิ่งที่กินบ่อยที่สุดคือผลไม้ที่ใหญ่เท่าจานกลมชนิดหนึ่ง ผลไม้นั่นชั้นนอกเป็นเปลือกแข็ง เนื้อผลไม้ข้างในหยาบกระด้าง กินแล้วเหมือนเคี้ยวเทียนไข ก็คืออาหารหลักที่ชาวบ้านในหุบเขากินบ่อยที่สุดแล้ว

 

 

พูดให้ถูกต้องคือนอกจากนานๆ ทีล่าสัตว์ได้ไม่กี่ตัวทำให้อาหารการกินดีขึ้น ปกติพวกเขาก็ใช้ผลไม้ชนิดทำให้อิ่มท้อง

 

 

เนื้อหมูป่าอย่าว่าแต่ชาวบ้านธรรมดาเลย ต่อให้เป็นโอรสศักดิ์สิทธิ์ก็ถือว่าเป็นอาหารชั้นเลิศแล้ว

 

 

“ให้เจ้านำกลับไปก็นำกลับไป พูดมากเช่นนี้ทำอะไร เราสองคนกินขาหมูข้างนี้ก็เพียงพอแล้ว” มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่

 

 

ชายหนุ่มรีบคารวะอย่างนอบน้อมทันที จากนั้นวางนิ้วมือไว้ที่ริมฝีปาก ผิวเสียงใสกังวานออกมา

 

 

ไม่นานนัก ชายกำยำสูงเท่าภูเขาย่อมๆ สองคนก็วิ่งเท้าเปล่ามาแล้ว ก่อนอื่นเรียกพวกมั่วชิงเฉินสองคนว่าท่านอาจารย์ปราชญ์แล้วคุกเข่ากราบไหว้ จากนั้นจึงยืนก้มหน้าอยู่หน้าชายหนุ่ม

 

 

“พวกเจ้าสองคนหามหมูป่าตัวนี้กลับไป วันนี้เรากินเนื้อกัน” ชายหนุ่มออกคำสั่ง น้ำเสียงปิดความยินดีไม่มิด

 

 

สายตาของชายกำยำสองคนตกลงบนหมูป่าแล้วไม่เบือนสายตาไปที่อื่นอีก ยิ้มจนมุมปากฉีกไปถึงแก้มเห็นฟันเหลืองเต็มปาก แล้วหามหมูป่าที่ขาดขาไปข้างหนึ่งวิ่งทะยานไปอย่างดีใจ มั่วชิงเฉินกระทั่งมองเห็นน้ำลายของชายกำยำสองคนนั้นหกเต็มพื้น

 

 

รอคนเดินไปไกลแล้ว หลัวอวี้เฉิงเดินเข้ามาในสองสามก้าว สีหน้าเย็นเยียบว่า “เอากระบี่รอบนิ้วคืนข้ามา!”

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นกระบี่รอบนิ้วไป เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “จำเป็นต้องใจแคบเช่นนี้หรือ?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงมองกระบี่รอบนิ้วอย่างสงสารเดิมไม่คิดจะเอาเรื่องแล้ว ได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉินแล้วไฟโกรธลุกพรึบขึ้นมาทันที เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “มั่วชิงเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร?” พูดพลางยกกระบี่รอบนิ้วในมือขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินถอยหลังหนึ่งก้าว กะพริบตาว่า “เจ้าจะทำอะไร จะฆ่าคนหรือ?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงโมโหจนชะงัก จากนั้นโกรธว่า “ฆ่าคน? ถ้าฆ่าคนยังดี นี่เป็นสมบัติวิเศษชั้นสูงเชียวนะ เจ้า เจ้ากลับเอามันมาฆ่าหมู!”

 

 

มั่วชิงเฉินนั่งยองๆ ลงมาอย่างไม่สนใจใคร เริ่มจัดการขาหมูข้างนั้น ปากก็เอ่ยว่า “ข้ายังนึกว่าเจ้าจะทำอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้ ฆ่าคนฆ่าหมูต่างอะไรกัน ให้มันได้ทำหน้าที่ของมันเท่านั้น”

 

 

“เช่นนั้นไยเจ้าไม่ใช้กระบี่ชิงมู่ของตนล่ะ!” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

 

 

ตอนนั้นพวกเขาใช้พลังวิญญาณหมดตัวฝืนเปิดถุงเก็บวัตถุออก เขาเห็นผู้หญิงคนนี้ของตกเต็มพื้นกับตา ในนั้นก็มีกระบี่ชิงมู่อยู่

 

 

มั่วชิงเฉินถอนขนหมูไปพลาง หน้าก็ไม่เงยว่า “ไม่อาจร่ายเคล็ดวิชากระบี่ได้ กระบี่ชิงมู่เล่มนั้นของข้าต่างอะไรกับท่อนไม้ท่อนหนึ่ง เจ้าคิดว่าสามารถเฉือนหมูป่าที่เนื้อหนาหนังหยาบเช่นนี้ได้หรือ? พอแล้วน่ะ อย่าโมโหเลย อีกสักครู่ก็มีเนื้อหมูป่ากินแล้ว วันนี้เราย่างกินกัน”

 

 

ได้ยินขาหมูย่าง ไม่คิดเลยว่าท้องของหลัวอวี้เฉิงจะร้องขึ้นมาอย่างไม่รักดี เห็นมั่วชิงเฉินอมยิ้มมองมา จึงนั่งลงอย่างอารมณ์เสีย ในใจแอบคิดว่าผู้หญิงคนนี้แม้ชั่วร้าย มักทำจนเขาตอบโต้ไม่ได้ แต่กลับมีฝีมือในการทำอาหาร ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรหญิงในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรนี้ก็นับว่าหายากแล้ว

 

 

เห็นหลัวอวี้เฉิงหายโกรธแล้ว มั่วชิงเฉินเร่งมือขึ้น ครู่เดียวก็จัดการเนื้อหมูป่าเรียบร้อย ก่อไฟแล้วเริ่มย่างขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินพลิกเนื้อเป็นระยะ น้ำมันหยดลงกองไฟส่งเสียงดังชี่ๆ เปลวไฟสีแดงพุ่งขึ้นมา แสงไฟส่องลงบนหน้านาง ขับจนสีหน้าดังเมฆยามต้องแสงอาทิตย์

 

 

ไม่นานนักกลิ่นหอมเย้ายวนใจก็ลอยมา มั่วชิงเฉินรีบใช้แปรงเล็กทาน้ำผึ้งดอกท้อที่ไม่ยอมกินมาตลอดลงไป โรยเกลือเล็กน้อยแล้วพลิกอีกที

 

 

มองท่าทางย่างเนื้ออย่างตั้งใจและใจเย็นของมั่วชิงเฉินแล้ว จู่ๆ หลัวอวี้เฉิงก็เบือนหน้าไป แล้วถอนใจแผ่วเบาจนไม่ได้ยิน

 

 

“อ้าว เสร็จแล้ว รีบกินตอนร้อนๆ” มั่วชิงเฉินยื่นเนื้อที่ย่างเสร็จแล้วไป

 

 

“ขอบใจ” หลัวอวี้เฉิงยื่นมือรับไปกินคำหนึ่ง เนื้อย่างร้อนกรุ่นกระตุ้นปุ่มรับรส อีกทั้งยังมีรสชาติจางๆ ของน้ำผึ้งดอกท้อ รู้สึกสดนุ่มไร้เทียมทานทันปี หอมคลุ้งไปทั้งปาก จึงรีบกินเหมือนตายอดตายอยากขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินที่พลิกเนื้ออย่างเงียบๆ ข้างๆ เห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมา ความคิดกลับค่อยๆ บินไปไกล

 

 

ฝีมือทำอาหารของตนนับวันยิ่งดีขึ้นจริงๆ ไม่ว่าออกไปท่องเที่ยวฝึกตนตามลำพังคนเดียว หรือว่าหลายปีนี้ที่อยู่ร่วมกับหลัวอวี้เฉิง กระทั่งเมื่อก่อนยามที่ออกไปกับพวกต้วนชิงเกอ หากเกิดนึกอยากกินอะไรขึ้นมา ดูเหมือนคนที่ลงมือทำล้วนเป็นตนเอง

 

 

มีคนชื่นชมอาหารที่ตนทำย่อมเป็นเรื่องดีมาก ทว่าคิดดูดีๆ แล้ว หลายปีมานี้ ที่ตนสามารถนั่งรออาหารที่ทำเสร็จแล้ว ก็มีเพียงยามที่อยู่กับอาจารย์เท่านั้น

 

 

ความคำนึงถึงที่ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจมาตลอดถูกสะกิด ท่ามกลางการขับของแสงไฟ หน้าตามั่วชิงเฉินอ่อนโยนขึ้นมา

 

 

กลิ่นไหม้จางๆ สายหนึ่งลอยมา

 

 

“ไหม้แล้ว!” หลัวอวี้เฉิงเตือนว่า

 

 

มั่วชิงเฉินถึงได้สติกลับมา หยิบเนื้อที่ไหม้เล็กน้อยขึ้นมาส่งไปที่ปาก

 

 

จู่ๆ มือข้างหนึ่งก็ยื่นมาแย่งเนื้อไม้นั้นไป เสียงนิ่งเรียบของหลัวอวี้เฉิงลอยมา “ข้าชอบกินที่ย่างนานหน่อย” พูดพลางยัดเนื้อในมือที่ยังไม่ได้แตะเข้ามือมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินมองเนื้อในมือแล้วเพ่งพิศหลัวอวี้เฉิงปราดหนึ่งอย่างสงสัย หากนางเข้าใจถูกต้อง หรือว่านี่เขากำลังแสดงความเป็นห่วงอย่างเคอะเขิน?

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ก็รู้สึกประหลาดขึ้นมาทันที

 

 

หลัวอวี้เฉิงถูกนางมองจนจากอายเปลี่ยนเป็นโกรธ แล้วเบือนสายตามองไปที่ผิวทะเลสาบ

 

 

ในเวลานี้เอง ผิวทะเลสาบที่เดิมทีเงียบสงบไร้คลื่นลมจู่ๆ ก็ระเบิดน้ำขึ้นสูงหลายจั้ง กลางเสียงน้ำซู่เห็นอสูรปีศาจอัปลักษณ์ตัวมหึมากระโดดขึ้นผิวน้ำเป็นระยะๆ ร่างกายพลิกตัวไปมา

 

 

“ปลาดุก!” ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนทันที ประสานตากันปราดหนึ่ง

 

 

“ดูสิ!” มั่วชิงเฉินยื่นนิ้วมือชี้ไปบนฟ้า

 

 

หลัวอวี้เฉิงเงยหน้าขึ้น ก็เห็นบนฟ้าเมฆดำยิ่งรวมตัวยิ่งหนาแน่น กดอัดลงมาตรงๆ ยังมีเสียงฟ้าร้องรางๆ อีก

 

 

เมฆดำปกคลุม เกรงว่าก็คือเหตุการณ์เช่นนี้กระมัง มั่วชิงเฉินแอบถอนใจ

 

 

หากนางคาดไม่ผิด ความผิดปกติเช่นนี้ของปลาดุกน่าจะเพราะผลไม้เซียนใต้ทะเลสาบกำลังจะสุกแล้ว!

 

 

ที่จริงเริ่มนับจากที่พวกเขาเพิ่งเข้าหุบเขา ผลไม้เซียนน่าจะต้องปีที่สี่ถึงปีที่ห้าถึงสุกได้ ทว่าเพราะสัญญาแปดปีของนางและหัวหน้าตระกูลหวังกลับรอนานเช่นนั้นไม่ได้แล้ว จึงแอบสาดสุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าเซียนลงไปสักหน่อย ผลไม้เซียนจึงสุกก่อนเวลาหนึ่งปีอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง

 

 

มั่วชิงเฉินเตรียมใจไว้นานแล้วว่าผลไม้เซียนจะสุกในปีนี้ ทว่าวันไหนอย่างเป็นรูปธรรมกลับไม่อาจรู้ได้ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นวันนี้!

 

 

“นี่ นี่คือเมฆเคราะห์กรรม!” หลัวอวี้เฉิงจ้องเมฆดำเหนือศีรษะเขม็ง แล้วพูดเสียงหลง

 

 

ตามคำเล่าลือผู้บำเพ็ญเพียรถึงระดับพิชิตเคราะห์กรรมก็จะต้องเจอกับเคราะห์กรรมสวรรค์ พิชิตไม่ได้ก็จะเข้าสู่วัฏสงสาร พิชิตได้แล้วก็จะก้าวเข้าระดับมหายาน บินขึ้นโลกเซียน

 

 

หลายแสนปีมานี้ โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่เคยมีคนเห็นว่าเคราะห์กรรมสวรรค์เป็นเช่นไร ทว่ากลับมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงไม่น้อยเคยเห็นเหตุการณ์ที่อสูรปีศาจพิชิตเคราะห์กรรม

 

 

อสูรปีศาจและผู้บำเพ็ญเพียรนั้นก็ต่างกันอีก ยามที่พวกมันจากขั้นเจ็ดเลื่อนเข้าขั้นแปดก็จะต้องเจอกับเคราะห์อัสนีจำแลงกาย หากสำเร็จก็จะเข้าระดับจำแลงกาย ถอดร่างอสูรดูแล้วไม่ต่างจากมนุษย์แล้ว

 

 

นอกจากนี้ ก็คือในยามที่โอสถฝืนลิขิตฟ้าออกจากเตาหรือยามที่สมบัติวิเศษฟ้าดินปรากฏ ล้วนจะนำเคราะห์อัสนีมา ส่วนภาพตรงหน้า ต้องเป็นผลไม้เซียนนำเคราะห์อัสนีมาอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว

 

 

ด้วยเหตุนี้ย่อมรู้ว่าผลไม้เซียนนั้นล้ำค่าเพียงใดแล้ว!

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง แล้วกระโดดลงทะเลสาบพร้อมกัน