บทที่ 136 ความจริง (1)
วิ่งห้อไปตลอดทาง โดยไม่กล้าหันกลับมามอง กระโดดหลบหลีกไปมาบนหลังคา เผชิญหน้ากับยอดฝีมืออย่างสวี่ชีอันเป็นครั้งแรก ในใจยังคงมีความกลัวอยู่เต็มเปี่ยม

หากไม่มีนักบวชเต๋าจินเหลียนที่ยอมพลีชีพเพื่อช่วยเขา เพลงต่อไปเขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย โดยไม่มีเวลาร่ายเวทมนตร์ใน ‘หนังสือเวทมนตร์’ แม้แต่น้อย

และถึงแม้จะมีนักบวชเต๋าจินเหลียนคอยช่วยเหลือ เวทมนตร์ส่วนใหญ่ในหนังสือเวทมนตร์ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถสู้ฝ่ายตรงข้ามได้

ความรู้สึกกลัวจนเข้ากระดูกดำเช่นนั้น เป็นความรู้สึกที่ที่สวี่ชีอันไม่เคยรู้สึกมาก่อน

“นั่นใคร”

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสองคนที่ยืนติดตามการเคลื่อนไหวอยู่บนหลังคาสังเกตเห็นสวี่ชีอันที่สวมเสื้อคลุมยาวสีดำ คนหนึ่งดึงดาบยาวแบบมาตรฐานออกมา ส่วนอีกคนหนึ่งก็ถอดฆ้องทองแดงออก

“ข้าเอง” สวี่ชีอัน ถอดผ้าคลุมศีรษะออก แล้วหยิบตราทองคำออกมา

“ใต้เท้าสวี่…”

ตอนนี้สวี่ชีอันเป็นคนดังของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เริ่มจากฆ้องทองคำสองคน ‘ริษยา’ เขา ต่อมาก็เกิดความขัดแย้งเรื่องใช้ดาบฟันฆ้องเงินจู

ในหน่วยงานไม่มีใครไม่รู้จักเขา

สวี่ชีอันเก็บตราทองคำ แล้วไออย่างรุนแรงหลายครั้ง มีกลิ่นคาวออกมาจากลำคอ กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “จวนของผิงหย่วนปั๋วถูกนักฆ่าบุกจู่โจม ข้าได้รับพระราชบัญชาให้ไปสืบคดี จึงพบกับนักฆ่าพอดี นักฆ่าฝีมือร้ายกาจมาก พวกเจ้าอย่าวู่วาม รีบไปเตือนภัยโดยด่วน”

มีนักฆ่าบุกจวนของผิงหย่วนปั๋วอีกแล้ว…ฆ้องทองดงทั้งสองสบตากัน ทั้งสองต่างสังเกตเห็นเลือดที่ไหลไม่หยุดตรงง่ามนิ้ว และแขนที่สั่นเล็กน้อยของสวี่ชีอันในทันที

พวกเขาจับท่อทองแดงขนาดเท่าแขนของทารกที่อยู่ในถุงหนังที่เอวของพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แล้วไฟก็ลุกทันที

ฟ้าว…

ไฟสีแดงเข้มเป็นทางเสียงดังพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วก็ระเบิดกลางอากาศ

เมื่อเห็นเช่นนี้ สวี่ชีอันก็รู้สึกโล่งใจ “ข้าจะกลับไปรักษาบาดแผลก่อน พวกเจ้ารอกำลังหนุนอยู่ที่นี่ หากพบคนสวมเสื้อคลุมยาวสีดำ…ยกเว้นข้า อย่าลืมหลบไป”

“ขอรับ”

ในเวลานี้ สวี่ชีอัน เห็นแมวสีส้มยืนตัวหนึ่งยืนอยู่บนหลังคาในระยะไกล ดวงตาลึกล้ำมองมาที่เขา

….ท่านนักบวชเอาแมวมาจากไหน ข้ารู้ว่าท่านจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน สวี่ชีอันผ่อนลมหายใจออกอีกครั้ง กระโดดบนหลังคาไม่หยุด แมวสีส้มเดินตามหลังเขาอย่างใจเย็น

“ท่านนักพรต เมื่อครู่ข้าสูญเสียความคิดในการต่อสู้ไปหมดแล้ว” เขาหยุดอยู่ในตรอกที่เงียบสงบ สวี่ชีอันพูดด้วยความอับอาย

เขาเชื่อว่าด้วยความเจ้าเล่ห์เจ้าวางแผนของนักบวชเต๋าจินเหลียน หากจับไว้ไม่ได้ จะต้องหนีเร็วกว่าเขาแน่

แมวสีส้มพูดภาษาคน น้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย “คนธรรมดาเห็นหนอนตัวใหญ่แล้ววิ่งหนีนับเป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณ แต่ระยะห่างระหว่างเจ้ากับเขา มากกว่าระยะห่างระหว่างแมวกับหนอนตัวใหญ่มากนัก”

ท่านนักพรต ท่านเปรียบเทียบเช่นนี้จะดีเหรอ…สวี่ชีอันเหลือบมองแมวสีส้ม

“ถ้าเดาไม่ผิด เขาก็คือสิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ใต้ทะเลสาบซังผอ” สวี่ชีอันพูดพร้อมกับหยิบยาจินชวงและผ้าฝ้ายออกมา แล้วพันบริเวณง่ามนิ้วของตัวเอง

เนื่องจากกินยาเพิ่มพลังมากเกินไป เพื่อช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียหลังจากการฝึก ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมากจากการถูกดูดพลังออกจากร่างกายเช่นนั้น

“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวด้วยความตกใจ

“วันนั้นที่วัดหย่งเจิ้นซานเหอระเบิด ทหารรักษาวังทั้งสามร้อยนายที่ลาดตระเวนบริเวณโดยรอบตายทั้งหมด สภาพศพเหมือนกันหมด กลายเป็นศพแห้งไม่เน่าเปื่อย” สวี่ชีอันพูดเสียงทุ้ม

นักบวชเต๋าจินเหลียนรู้สึกตัวในทันที เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เดาผิดแล้ว สิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ใต้ทะเลสาบซังผอไม่ใช่ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง”

…ถ้าเป็นท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง คงไม่ไปฆ่าคนธรรมดาๆ ก่อนที่บุตรชายของผิงหย่วนปั๋วจะเสียชีวิต เขาหวาดกลัวอย่างยิ่ง ราวกับรู้จักชายในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำ…เว้นเสียแต่ว่าคนที่ฆ่าทหารรักษาวังจะเป็นคนที่แอบดำลงไปในทะเลสาบซังผอแล้วระเบิดทำลายวัดหย่งเจิ้นซานเหอ แต่เรื่องนี้อาจถูกปฏิเสธไปนานแล้ว เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะมียอดฝีมือดำลงไปในทะเลสาบซังผอ… สวี่ชีอันถอนหายใจแล้วพูดว่า

“ข้ารู้ และในใจข้าพอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว เพียงแต่ยังต้องการการตรวจสอบยืนยัน”

แมวสีส้มพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดว่า “พลังหยินของข้าถูกทำลายอย่างหนัก เป็นไปได้มากที่จะทรุดลง ข้าต้องการให้เจ้าช่วยเรื่องหนึ่ง”

“ท่านนักพรตบอกมาได้เลย” สวี่ชีอันกำลังกังวลว่าจะทดแทนพระคุณที่ช่วยชีวิตของเขาได้อย่างไรพอดี

“ช่วยไปตามหาลั่วอวี้เหิง ขอยาจวี้หยวนมาให้ข้าหนึ่งเม็ด” แมวสีส้มพูดภาษาคน

“ลั่วอวี้เหิง” สวี่ชีอันย้อนถามด้วยความสงสัย

“ผู้นำลัทธิเต๋านิกายมนุษย์ พอนับได้ว่าเป็นศิษย์น้องของข้า” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าว

ท่านนักพรตลำดับชั้นในนิกายปฐพีขงท่านค่อนข้างอาวุโสทีเดียว…ผู้นำลัทธิเต๋านิกายมนุษย์เป็นศิษย์น้องของท่าน… นักพรตหญิงโฉมงาม สวี่ชีอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “มีสิ่งยืนยันอะไรหรือไม่”

“ให้นางดูหนังสือปฐพี” แมวสีส้มฝืนยิ้มเหมือนมนุษย์ “ส่วนจะนำมาได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนาง”

ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนาง สวี่ชีอันมีสีหน้างุนงง

“ระหว่างนิกายมนุษย์กับนิกายฟ้าเปรียบเหมือนน้ำกับไฟ ความสัมพันธ์ระหว่างนิกายปฐพีกับทั้งสองนิกายไม่นับว่าตึงเครียด แต่ก็ไม่นับว่าดีมาก” แมวสีส้มอธิบาย

ลัทธิเต๋าของพวกท่านช่างน่าขันนัก…ครอบครัวที่ทั้งรักทั้งแค้นอย่างไรเล่า สวี่ชีอันพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วพรุ่งนี้จะไปลองดู ”

แมวสีส้มส่งเสียง “อืม พรุ่งนี้ข้าจะมาพบเจ้าอีกครั้ง”

เจียงลวี่จงนั่งยอง ๆ อยู่ที่ลานบ้านสีหน้าบึ้งตึง บี้เศษเนื้อชิ้นเล็กๆ ในมือ เนื้อแห้งมาก เหมือนเนื้อผึ่งลมที่ถูกบดเป็นผง

บนพื้นถูกปกคลุมด้วยผงสีน้ำตาลอ่อน

ฆ้องทองแดงหลายสิบคนล้อมจวนของผิงหย่วนปั๋วไว้ ฆ้องเงินเจ็ดหรือแปดคนร่วมกันสำรวจ เมื่อพวกเขาตามมาถึง ทุกคนในจวนของผิงหย่วนปั๋วได้ถูกฆ่าจนหมดสิ้นแล้ว ครอบครัวของผิงหย่วนปั๋วรวมทั้งคนรับใช้ในจวน ไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว

สภาพศพเหมือนกันหมด เหมือนเนื้อถูกผึ่งลมมาเป็นเวลาหลายปี

ในใจของเจียงลวี่จงเหมือนมีอัลปากานับหมื่นตัววิ่งห้ออยู่ในนั้น ตอนที่ผิงหย่วนปั๋วถูกฆ่า เขาก็เป็นคนเฝ้ายามอยู่

“ฆ้องทองคำเจียง ในห้องยังมีผู้รอดชีวิตอีกหนึ่งคนขอรับ” ฆ้องเงินคนหนึ่งเดินออกมาจากห้อง พูดด้วยเสียงดังฟังชัด

เจียงลวี่จงใบหน้าบึ้งตึง เดินข้ามธรณีประตู เข้าไปในห้อง กวาดตามอง จ้องไปที่หญิงสาวที่กำลังกอดผ้าห่มไว้แน่น เผยให้เห็นไหล่ที่ขาวผ่อง สีหน้าหวาดกลัว

นางมีใบหน้าที่งดงาม แต่ท่าทางเย้ายวนกำลังมองมาทางหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลด้วยแววตาที่หวาดกลัว

“เจ้าเป็นผู้ใด” เจียงลวี่จงพูดเสียงขรึม

“ข้า ข้าเป็นอนุภรรยาของผิงหยวนปั๋ว” หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“เจ้าได้ยินอะไร เห็นอะไรบ้าง” เจียงลวี่จงถามอีกครั้ง

หญิงคนนั้นรู้เรื่องราวที่เกิดจากฆ้องเงินที่ปลุกนางให้ตื่นขึ้นมาแล้ว และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้นางมีท่าทางหวาดหวั่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของตัวเอง และดีใจที่โชคดีมีชีวิตรอดมาได้

ผู้หญิงคนนั้นส่ายหน้า และพูดอย่างเชื่อฟังว่า “ตอนนั้นข้ากำลังมีความสุขอยู่กับคุณชายใหญ่ หลังจากนั้นก็หลับสนิทไปเลย…”

เจียงลวี่จงสังเกตนางอย่างละเอียด การที่บุตรชายรับช่วงจากบิดาในเรื่องตัวของอนุภรรยาก็ถือเป็นเรื่องปกติ ขุนนางชั้นสูงของราชสำนักมีชื่อเสียงและอำนาจมีอนุภรรยาพบเห็นได้บ่อยๆ อายุต่างกันมาก เมื่อบิดาสิ้น บรรดาอนุภรรยาเหล่านี้มีทางเลือกเพียงสองทาง ถ้าไม่ทำงานเหมือนสาวใช้ ก็พึ่งพาผู้รับช่วงคนใหม่

แน่นอนว่า เรื่องแบบนี้หากเป็นที่เปิดเผย ก็จะต้องโดนประณามอย่างแน่นอน

เพียงแต่ไม่มีใครจริงจังมากนัก ไม่ส่งเสริมและคร้านที่จะต่อต้าน

“ให้นางสวมเสื้อผ้า แล้วพานางกลับไปหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล” เจียงลวี่จงพูดจบ ก็เดินออกไปจากห้อง

“ฆ้องทองคำเจียง ไม่พบร่างของบุตรชายของผิงหยวนปั๋ว” ฆ้องเงินคนหนึ่งรีบรายงาน

เจียงลวี่จงเหลือบมองไปที่ผงสีน้ำตาลในลานบ้าน แววตาเยือกเย็น “ไม่ต้องหาแล้ว”

“ใต้เท้า เกิดเหตุการณ์ที่นอกหน้าต่าง”

เจียงลวี่จงได้ยินเสียง เดินมาที่ข้างหน้าต่างที่อยู่ตรงข้ามห้องนอน เห็นกระดาษหน้าต่างถูกกระทุ้งเป็นรูสองรู สามารถเห็นเหตุการณ์ในห้องได้พอดี

เขาก้มหน้ากวาดตามอง เห็นรอยบางๆ สองแถวไถไปบนพื้น

“นอกจากฆาตกรแล้ว ในเวลานั้นยังมีคนอื่นอยู่ในเหตุการณ์ด้วย…” เจียงลวี่จงลังเลอยู่เป็นเวลานาน จึงถามว่า “ใครเป็นผู้พบความผิดปกติของจวนผิงหยวนปั๋วเป็นคนแรก”

“ฆ้องทองแดงสองคนที่เฝ้ายามขอรับ”

“ไปเรียกพวกเขามา”

ในไม่ช้า ฆ้องทองแดงสองคนก็ถูกนำตัวมา

เจียงลวี่จงถามว่า “ตอนที่พวกเจ้าเห็นเหตุการณ์ บริเวณนี้มีคนที่น่าสงสัยหรือไม่”

ฆ้องทองแดงทั้งสองคนมองหน้ากัน “ไม่พบผู้ต้องสงสัยขอรับ แล้วพวกเราก็ไม่ใช่คนที่พบคดีนี้”

เจียงลวี่จงผงะ รีบถามว่า “พวกเจ้าไม่ได้เป็นคนพบ…แล้วเป็นใคร”

“ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันขอรับ”

สวี่ชีอัน…ดวงตาของเจียงลวี่จงเป็นประกาย

สวี่ชีอันที่กลับไปถึงบ้านยังไม่ทันถอดเสื้อผ้า ก็ผล็อยหลับไป และตื่นขึ้นตามปกติหลังจากผ่านไปสามชั่วโมง นั่งขัดสมาธิ ฝึกการหายใจ

หลังจากขนย้ายมาสองวัน เขาลืมตาขึ้นด้วยความกระปรี้กระเปร่า นอกจากใบหน้าซีดเล็กน้อย ด้านอื่นๆ ล้วนอยู่ในสภาพดี

เขาออกจากบ้าน แล้วขี่ม้าตรงไปที่ประตูเมือง

เวลานี้ ห่างจากเวลาเปิดประตูเมืองครึ่งชั่วยาม ไม่มีการห้ามออกนอกบ้านเวลากลางคืนในเมืองรอบนอก ข้อห้ามเกี่ยวกับประตูเมืองก็ไม่เข้มงวดมากนัก สวี่ชีอันอาศัยตราทองคำสั่งให้ทหารรักษาเมืองเปิดประตู

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เขาก็ไปถึงวัดมังกรเขียว เป็นเวลาที่เหล่าภิกษุตื่นนอนทำวัตรเช้าพอดี เสียงระฆังตอนเช้าดังก้องกังวานทั่วท้องฟ้าและแผ่นดิน

ผูกม้าเสร็จแล้ว ก็เดินตามขั้นบันไดหินไปยังวัดมังกรเขียว สวี่ชีอันก็ได้รับข่าวที่ไม่คาดคิด

“เจ้าอาวาสผานซู่ไปแดนตะวันตกเหรอ”

ยังคงเป็นไต้ซือเหิงชิงหน้ากลมคนนั้น พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “หลังจากประสกกลับไปวันนั้น ท่านเจ้าอาวาสก็ออกเดินทาง ครั้งนี้อาตมาไม่รู้เหตุผลจริงๆ”

….ท่านมีอคติกับข้ามากแค่ไหนกัน สวี่ชีอันยิ้ม

เจ้าอาวาสผานซู่เคยบอกว่าหน้าที่ของวัดมังกรเขียวก็คือการจับตามองสิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ใต้ทะเลสาบซังผอ และในวันนั้นเขาได้แย้มพรายความตั้งใจที่จะเดินทางไปแดนตะวันตก

ไม่รู้ว่าภิกษุอาวุโสจะรับลิงเป็นศิษย์ระหว่างทางหรือไม่ ถ้าเช่นนั้นคงจะน่าสนใจมาก ฮิฮิ

“ข้ามีเรื่องจะรบกวนไต้ซือ” น้ำเสียงสวี่ชีอันเป็นมิตร

ไต้ซือเหิงชิงมองเขาอย่างระมัดระวัง

“ข้าอยากเห็นรูปเหมือนของเหิงฮุ่ย หากในวัดไม่มี โปรดหาคนมาวาดภาพเดี๋ยวนี้” สวี่ชีอันเสนอข้อเรียกร้องของเขา

ไต้ซือเหิงชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วบอกให้รอสักครู่

เวลาหนึ่งถ้วยชา[1] (เวลาปัจจุบันเท่ากับ 15 นาที) เขาก็หยิบม้วนภาพออกมา แล้วยื่นให้สวี่ชีอัน

ฝ่ายหลังรับมา แล้วคลี่ออกช้าๆ ในม้วนภาพเป็นรูปภิกษุรูปหนึ่งสวมจีวรสีดำ หน้าตาหล่อเหลา คมคาย เป็นบุรุษดูดีคนหนึ่ง

เป็นเขาจริงๆ…สวี่ชีอันมั่นใจแล้วว่าชายสวมเสื้อคลุมยาวสีดำเมื่อคืนนี้ก็คือภิกษุเหิงฮุ่ย

ถึงแม้บุคลิกจะเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่หน้าตายังคงเหมือนเดิม

ตัวของภิกษุเหิงฮุ่ยแห่งวัดมังกรเขียวเองอาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีทะเลสาบซังผอ เหิงหยวนหมายเลขหกก็สาบานอย่างจริงใจว่าศิษย์น้องถูกพวกค้ามนุษย์ลักพาตัวไป

และจากการสนทนาระหว่างบุตรชายของผิงหยวนปั๋วกับชายสวมเสื้อคลุมยาวสีดำเมื่อคืนนี้ สวี่ชีอันก็คาดเดาในใจได้ทันที และแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะตรวจสอบในทันที

ถ้าหากไม่ใช่เพราะเมื่อคืนอาการไม่ดี ต้องการพักผ่อนด่วน เขาจะเลือกเดินทางออกจากเมืองตอนนั้นเลย

“เป็นเหิงฮุ่ยจริงๆ เป็นเหิงฮุ่ยจริงๆ…เป็นเขาได้อย่างไร เขาเกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ใต้ทะเลสาบซังผอ”

“ดูๆ แล้ว คงไม่ใช่ ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งแล้วสินะ แล้วท่านโหราจารย์คนปัจจุบันจะไม่ร้อนใจแม้แต่น้อยเลยเหรอ แล้วยังแสร้งทำเป็นป่วยอีก”

“แต่ว่า ถ้าไม่ใช่ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งแล้วจะเป็นอะไร สิ่งที่ข้าคิดได้ก็คือเป็นไปได้ว่าสิ่งที่ถูกปิดผนึกนั้นอยู่ที่ตัวของเหิงฮุ่ย”

“ภิกษุธรรมดาๆ ไม่น่าจะสามารถก่อคดีสะเทือนเลื่อนลั่นนี้ได้ ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเขา อ๋องสยบแดนเหนืองั้นเหรอ”

สวี่ชีอันออกจากวัดมังกรเขียวด้วยท่าทางคิดหนัก

กลับถึงเมืองหลวงไปที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาตรงไปที่หอเฮ่าชี่โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อบอกความจริงนี้แก่เว่ยเยวียน

……………………………………………….

[1] เวลาหนึ่งถ้วยชา (เวลาปัจจุบันเท่ากับ 15 นาที)