บทที่ 136 ราชครูหญิง (2)
สวี่หลิงอินเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ผิดธรรมดา เช้าวันนี้ ขณะที่สมองยังหลับอยู่ แต่ร่างกายนั้นตื่นขึ้นมาเองแล้วไปเขย่าตัวสาวใช้ที่ดูแลนางจนตื่น

จากนั้นก็หลับตาสวมเสื้อผ้า ล้างหน้าและแปรงฟันโดยการปรนนิบัติของสาวใช้ ต่อจากนั้นถูกจูงไปที่ห้องโถงด้านหน้า

เมื่อได้กลิ่นหอมของข้าวต้มและซาลาเปา สวี่หลิงอินก็ลืมตาขึ้นทันที และพบว่าตัวเองหลับๆ อยู่ ก็มาถึงโต๊ะอาหารอย่างมีความสุข

ในเวลานี้ ฟ้าสว่างแล้ว ที่ห้องโถงด้านหน้ามีเพียงอารองสวี่เท่านั้นที่นั่งกินอาหารเช้าอยู่

อาสะใภ้และสวี่หลิงเยวี่ยนั้นยังนอนไม่ยอมตื่น

“พี่ใหญ่ล่ะ” สวี่หลิงอินมองไปรอบๆ ในเวลานี้ พี่ใหญ่ที่เห็นแก่กินน่าจะนั่งอยู่ที่โต๊ะนานแล้ว และจ้องซาลาเปาของนางอยู่

“ไม่ต้องสนใจเขา” อารองสวี่กล่าว

“ซาลาเปาของพี่ใหญ่เป็นของข้าเหรอ” ใบหน้าเล็กๆ ของสวี่หลิงอินเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา

นางพูดจบ ก็สูดกลิ่น “หอมจัง”

“หอมก็รีบกิน” อารองสวี่เร่ง

“ไม่ใช่กลิ่นหอมที่นี่…” สวี่หลิงอินเงยหน้าขึ้น แล้วพูดกับพ่ออย่างจริงจัง

อารองสวี่ไม่เข้าใจ แต่ในไม่ช้า เขาเห็นหญิงสาวใบหน้ารูปไข่สวมชุดสีเหลืองเดินเข้ามา กวาดตากลมโตไปรอบห้องโถง “สวี่หนิงเยี่ยนล่ะ”

“หลับอยู่” อารองสวี่คิดในใจว่าเหตุใดหญิงสาวคนนี้จึงมาโดยไม่ได้รับเชิญ

“ไม่อยู่” ฉู่ไฉ่เวยส่ายหน้า “ข้าเพิ่งมาจากบ้านของเขา”

พูดจบ นางก็เห็นเด็กหญิงตัวอ้วนกลม ถูกอาหารเช้าในอ้อมแขนของเธอดึงดูดอย่างแรง

วันนี้ฉู่ไฉ่เวยซื้อเนื้อลาย่าง ลูกชิ้นปลาทอด ขนมสุ่ยจิง และขาหมูนึ่งซีอิ๊ว ซ่อนไว้ในอกเสื้อ เดินไปกินไป

นางมาหาสวี่ชีอันเพราะมีเรื่องด่วน

“เจ้าอยากกินเหรอ” เมื่อมองดูดวงตาเป็นประกาย เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ฉู่ไฉ่เวยก็ใจอ่อนอีกแล้ว

สวี่หลิงอินพยักหน้าอย่างแรง

“ถ้าเช่นนั้นพี่จะแบ่งให้เจ้าเลกน้อย” ฉู่ไฉ่เวยกล่าว

“อะแฮ่ม…” อารองสวี่ถลึงตามองเด็กน้อยที่เห็นแก่กิน แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “หลิงอิน พี่สาวเป็นแขก ต้องรอให้นางกินเสร็จก่อนเจ้าจึงกินได้”

“ก็ได้” ตราบใดที่มีของกิน สวี่หลิงอินก็มักจะคุยง่ายมาก

“ว่าง่ายจริงๆ” ฉู่ไฉ่เวยลูบหัวนาง แล้วก็ครุ่นคิดเรื่องเมื่อคืนพลางกินพลาง

หลายนาทีต่อมา…นางก็ต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่าอาหารเช้าที่นางนำมามากถึงสามถึงสี่ชั่งนั้น ได้หายไปหมดแล้ว

เด็กน้อยขโมยกินอาหารตอนที่ข้าไม่ทันระวังตัวอย่างนั้นเหรอ นางมองสวี่หลิงอินซึ่งยืนอยู่ข้างๆ หัวยังสูงไม่เท่าโต๊ะด้วยความสงสัย

สวี่หลิงอินน้ำตาคลอเบ้า ทำท่าจะร้องไห้ “ท่านพี่แกล้งข้าเหรอ”

“…. ”

อารองสวี่รู้สึกว่าตัวเองได้เห็นภาพสวี่หลิงอินตอนโตแล้ว

หอเฮ่าชี่ เว่ยเยวียนฟังเจียงลวี่จงรายงานเสร็จ ก็พยักหน้า “รู้แล้ว พวกค้ามนุษย์ที่ให้เจ้าไปจับตัวมา มีความคืบหน้าหรือไม่”

“กำลังสืบอยู่อย่างลับๆ โดยไม่ได้รบกวนทางการหรืออิทธิพลใดๆ หลังจากผิงหย่วนป๋อเสียชีวิต พวกเขาก็เริ่มเก็บตัว แต่เนื่องจากไม่ได้ถูกกดดัน จึงไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงทั้งหมดในขณะนี้ สามารถรวบตัวได้ตลอดเวลา” เจียงลวี่จงกล่าว

“ถ้าเป็นเช่นนี้ บุตรชายของผิงหย่วนป๋อก็คงจะรับช่วงองค์กรค้ามนุษย์” เว่ยเยวียนหัวเราะเบาๆ ท่าที่สงบเต็มไปด้วยความมั่นใจ สั่งการว่า

“ถือโอกาสที่พวกเขายังไม่รู้ว่าบุตรชายของผิงหย่วนป๋อถูกฆ่าแล้ว รวบตัวไว้ให้หมด”

เจียงลวี่จงกุมหมัดรับคำสั่ง เหมือนมีอะไรจะพูดแต่ไม่ได้พูด

“มีอะไรก็พูดมา”

“ตอนที่บุตรชายของผิงหย่วนป๋อถูกฆ่า สวี่ชีอันก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเขาเข้าไปในจวนของผิงหย่วนป๋อทำไม แต่เขาน่าจะเห็นฆาตกร” เจียงลวี่จงบอกการคาดการณ์ของเขา

ในเวลานี้ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากบันได เจ้าพนักงานที่สวมชุดดำนายหนึ่งขึ้นมากระซิบกับเพื่อนร่วมงานที่เฝ้าบันไดอยู่สองสามประโยค

เจ้าพนักงานที่เฝ้าบันไดเข้าไปในห้องน้ำชาทันทีโค้งคำนับแล้วพูดว่า “เว่ยกง ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันขอเข้าพบขอรับ”

เว่ยเยวียนยิ้ม “พอดีเลย ให้เขาขึ้นมา”

เจ้าพนักงานรับคำสั่งแล้วลงไปข้างล่าง ในไม่ช้าสวี่ชีอันในชุดหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ขึ้นไปที่ชั้นเจ็ด เหลือบมองเจียงลวี่จง แล้วกุมหมัดพูดว่า “คารวะเว่ยกง”

“ฆ้องทองคำเจียงบอกข้าว่าเมื่อคืนเจ้าไปที่จวนของผิงหย่วนป๋อ” เว่ยเยวียนยิ้มน้อยๆ น้ำเสียงอ่อนโยน ไม่เหมือนตั้งคำถามแม้แต่น้อย

“ข้าน้อยไปสืบสวน คดีซังผอ” สวี่ชีอันตอบอย่างใจเย็น

เจียงลวี่จงตกตะลึง ขมวดคิ้วแน่น เขาสงสัยว่าสวี่ชีอันกำลังโกหก ผิงหย่วนป๋อตายตั้งแต่ก่อนเกิดคดีซังผอแล้ว นอกจากองค์กรค้ามนุษย์แล้ว ก็ไม่มีเบาะแสที่จะพิสูจน์ว่าได้ว่าผิงหย่วนป๋อกับคดีซังผอมีส่วนเกี่ยวข้องกัน

“ตรวจพบอะไรบ้าง” เว่ยเยวียนหรี่ตา

สวี่ชีอันไม่ตอบ สายตาหยุดที่เจียงลวี่จง

“ฆ้องทองคำเจียงออกไปก่อนเถิด” เว่ยเยวียนคุ้นเคยกับคำขอของฆ้องทองแดงที่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปแล้ว

เจียงลวี่จงจ้องมองสวี่ชีอันแวบหนึ่ง แล้วจากไปด้วยความไม่สบายใจ

หลังจากรอจนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแล้ว เมื่อพิจารณาถึงความสามารถในการได้ยินของทหารระดับสูงแล้ว สวี่ชีอันก็รออยู่เป็นเวลานาน จึงพูดว่า

“เว่ยกง ข้าเห็นผู้จู่โจมเมื่อคืนนี้จริง แล้วก็มั่นใจด้วยว่าเขาเป็นใคร”

เว่ยเยวียนยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ แล้วถามอย่างไม่แสดงอารมณ์ว่า “ใครกัน”

“ภิกษุเหิงฮุ่ยแห่งวัดมังกรเขียว ซึ่งก็คือภิกษุที่ขโมยอาวุธเวทมนตร์ของวัดมังกรเขียวไป ภิกษุที่หนีตามกันไปกับท่านหญิงผิงหยาง” สวี่ชีอันไม่ปิดบังและพูดต่อว่า

“ข้าสงสัยว่ามีสิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ใต้ทะเลสาบซังผออยู่ในตัวเขา”

เว่ยเยวียนมองเขาแวบหนึ่ง “ดูจากอะไร”

สวี่ชีอันกล่าวว่า “ลักษณะการตายของบุตรชายของผิงหย่วนป๋อเหมือนกับการตายของทหารรักษาวังที่เสียชีวิตในวันนั้น”

เว่ยเยวียนยิ้มพูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าทำได้ดีมาก นี่เป็นเบาะแสที่มีประโยชน์มาก”

“ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน” เมื่อรู้ว่าพ่อเว่ยต้องการ ‘เลี้ยงดู’ ตัวเองมาโดยตลอด สวี่ชีอันจึงไม่ได้บังคับให้เขาช่วยเหลืออีกแล้ว

เจ้านายบางคนเป็นแบบนี้ เวลาเห็นสาวสวยในบริษัทก็อยากแอบเลี้ยงดู ไม่ให้เธอมาทำงานอีก

เลขาสาวข้างกายนั้นไม่ปลอดภัย เพราะมีการนินทาลับหลังมากเกินไป

สวี่ชีอันต่อต้านพฤติกรรมเช่นนี้ เขาแค่อยากทำงานกับทางการอย่างสงบ

ตอนลงบันได สวี่ชีอันเห็นเจ้าพนักงานคนหนึ่งกำลังวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

ออกจากหอเฮ่าชี่ เขาเห็นเจียงลวี่จงที่เฝ้าอยู่ชั้นล่าง เหล่าเจียงเดินมาหา ขมวดคิ้วพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น”

สวี่ชีอันรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย กอบหมัดแล้วพูดว่า “ฆ้องทองคำเจียงกำลังทำคดีของผิงหย่วนป๋อ”

เจียงลวี่จงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย “ลูกชายของข้าเป็นคนจัดการทั้งหมด”

“พูดตามตรง ผิงหย่วนป๋อมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีซังผอ…” สวี่ชีอันบอกเรื่องภิกษุเหิงฮุ่ยให้เจียงลวี่จงรับทราบทันที ฆ้องทองคำฟังแล้วดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกาย

“ฆ้องทองคำเจียง พวกเราควรร่วมมือกันเพื่อจัดการเรื่องนี้ เช่นนี้ ท่านไม่เพียงคลี่คลายคดีของผิงหย่วนป๋อได้ ขณะเดียวกันก็ยังมีส่วนร่วมในคดีของทะเลสาบซังผอด้วย…” สวี่ชีอันกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ

“และคดีนี้ ข้าสืบสวนมาพอสมควรแล้ว มีความดีความชอบก็รับร่วมกัน”

เจียงลวี่จงพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าพูดถูก”

สวี่ชีอันหัวเราะจากก้นบึ้งของหัวใจ ทหารระดับสูงยอมร่วมมือแล้ว เว่ยเยวียน ไม่ได้ช่วยข้า ข้าหาคนช่วยเองก็ได้

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ก็เห็นเว่ยเยวียนในชุดสีดำเดินลงมา เมื่อเห็นคนทั้งสองยังคงยืนอยู่ที่ประตู จึงกล่าวว่า “ลวี่จง ตามข้าเข้าไปในวัง”

“ขอรับ”

มองหลังคนทั้งสองเดินจากไป สวี่ชีอันลูบคาง น่าจะเป็นเรื่องที่บุตรชายของผิงหย่วนป๋อถูกฆ่า ทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพิโรธ

สวี่ชีอันออกจากที่ทำงาน ก็ขี่ม้าไปที่เขตพระราชฐานอย่างไม่เร่งรีบ เพราะเขาต้องการหาเวลาเพื่อจัดระเบียบความคิดของตัวเอง

“บางทีสมมติฐานของข้าอาจจะผิด คนที่อยู่เบื้องหลังอาจไม่ใช่อ๋องสยบแดนเหนือ เขาพยายามวางแผนก่อกบฏ ดังนั้นจึงร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทางภาคเหนือและสำนักพ่อมดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระเบิดทำลายสิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ใต้ทะเลสาบซังผอ ปล่อยตัวท่านโหราจาร์ยรุ่นที่หนึ่งออกมา มุ่งหมายจะทำให้เกิดความวุ่นวายในเมืองหลวง… แต่ว่าตอนนี้ สิ่งที่ถูกปิดผนึกนั้นใช่ท่านโหราจาร์ยรุ่นที่หนึ่งเหรอ ข้าเริ่มไม่แน่ใจแล้ว นอกจากนี้ หากอ๋องสยบแดนเหนือเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง เบาะแสทางภิกษุเหิงฮุ่ยก็ไม่สมเหตุสมผลแล้ว ภิกษุเหิงฮุ่ยมีส่วนเกี่ยวข้องในข้อพิพาทเกี่ยวกับผลประโยชน์ของกลุ่มข้าราชการพลเรือนและกลุ่มขุนนางชั้นสูง… การปัดความรับผิดชอบนี้ให้กับอ๋องสยบแดนเหนือดูเหมือนจะฝืนใจไปหน่อย… ทางออกสำหรับเวลานี้คือตามหาเหิงฮุ่ยให้เจอ จับตัวเขาให้ได้ ปริศนาทั้งหมดก็จะสามารถคลี่คลายได้ แต่หากต้องการจับตัวเหิงฮุ่ย การตามหาภิกษุระดับหกคือกุญแจสำคัญ ภิกษุระดับหกเป็นศิษย์พี่ของเหิงฮุ่ย ฝ่ายหลังไม่น่าจะถึงขั้นต้องฆ่าคนเพื่อปิดปาก”

แผนผังของเขตพระราชฐานปรากฏขึ้นในสายตา หูของสวี่ชีอันกระดิก มีคนเรียกชื่อเขาอยู่ข้างหลัง

“สวี่หนิงเยี่ยน…”

เมื่อหันไปมอง คือสาวงามใบหน้ารูปไข่ในชุดสีเหลือง ดวงตาโต สดใสมีชีวิตชีวา ความประทับใจแรกคือร่าเริงน่ารัก

“เช้านี้ข้าไปหาเจ้าที่จวนสกุลสวี่ แต่เจ้าไม่อยู่ เพิ่งไปหน่วยลาดตระเวนฃยามวิกาลมา แต่เจ้าก็ยังไม่อยู่เหมือนเดิม ซ่งถิงเฟิงบอกว่าเจ้าอาจจะไปหาฝูเซียงที่สำนักสังคีต” ฉู่ไฉ่เวยควบม้าตามมา ขี่ม้าคู่กับเขา ต่อว่าเขาไม่หยุด

“เขากำลังหมิ่นเกียรติของข้า” สวี่ชีอันกล่าวอย่างเคร่งขรึม “สถานที่อย่างสำนักสังคีต ข้าไม่เคยไปมาก่อน…แน่ะๆ เจ้าอย่าใช้วิชามองปราณ แม้ว่าข้าจะเป็นสุภาพบุรุษ แต่ก็ไม่อยากถูกจ้องมองด้วยวิชามองปราณ”

ฉู่ไฉ่เวยเอียงคอ พูดว่า “พวกเขาบอกว่าฝูเซียงเป็นคนสนิทของเจ้า”

“ไม่ใช่”

“ไม่ใช่จริงหรือ”

“อืม ฝูเซียงเป็นเพื่อนใหม่ของข้า ไม่ใช่คนสนิท” สวี่ชีอันตอบอย่างจริงใจ ไม่หลอกลวงแม้แต่น้อย

ฉู่ไฉ่เวยทำเสียง “อ้อ” แล้วเปลี่ยนมาพูดเรื่องสำคัญ “สำนักโหราจารย์สังเกตเห็นปราณปีศาจ เหมือนกับวันที่ทะเลสาบซังผอถูกระเบิดวันนั้นเลย ข้าจึงมาบอกให้เจ้ารู้โดยเฉพาะ”

“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว และเกือบตายด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย” มันเกี่ยวข้องกับ นักบวชเต๋าจินเหลียน สวี่ชีอันไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้ จึงเปลี่ยนเรื่องพูด “ยาเพิ่มพลังของเจ้ายังมีอยู่หรือไม่”

“วันอื่นแล้วกัน ข้าไม่ได้พกติดตัวมาด้วย”

“ข้าไม่ต้องการวันอื่น ข้าต้องการวันนี้”

“ก็ได้ ก่อนเวลาพลบค่ำ ข้าจะไปจวนของเจ้า”

ฉู่ไฉ่เวยมาเข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่ แม้ว่านางจะได้รับมอบหมายให้ช่วยเหลือสวี่ชีอันคลี่คลายคดี แต่สวี่ชีอันไม่อยากใช้นาง

ไม่ใช่ว่าฉู่ไฉ่เวยไม่มีประโยชน์ แต่เพราะในตัวของภิกษุเหิงฮุ่ยนั้นมีอาวุธเวทมนตร์บดบังลมหายใจ ทำให้วิชามองปราณของสำนักโหราจารย์ถูกควบคุมจนทำอะไรไม่ได้

จึงไม่ได้ผูกมัดนางไว้ข้างกาย ปล่อยให้นางไปตำหนักขององค์หญิงใหญ่ และร้านอาหารตามสบาย

ทั้งสองแยกจากกันที่ประตูเขตพระราชฐาน สวี่ชีอันซึ่งมีตราทองคำสามารถเข้าออกได้อย่างสะดวกสบาย และมาถึงอารามรัตนะในตำนานในเวลาอันรวดเร็ว

วัดนี้เป็นอารามเต๋าที่โอ่อ่ามาก กำแพงสีแดงและกระเบื้องสีดำ ประตูกว้างใหญ่

ที่ประตูทางเข้ามีนักบวชเต๋าเด็กสองคนยืนอยู่ มองสำรวจสวี่ชีอันที่กำลังขี่ม้าใกล้เข้ามา

“ข้าน้อยสวี่ชีอัน หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาสอบสวนคดีทะเลสาบซังผอ ต้องการพบท่านราชครู ขอให้นักบวชทั้งสองช่วยนำความไปบอกท่านราชครูด้วย” สวี่ชีอันเป็นฝ่ายพูดก่อน พร้อมกับแสดงป้ายทองคำ

นักบวชเต๋าเด็กทั้งสองคนแสดงสีหน้าจริงจัง กอบหมัดพูดว่า “ใต้เท้าโปรดรอสักครู่”

นักบวชเต๋าเด็กคนที่ยืนทางซ้ายรีบเดินเข้าไปในอารามอย่างรวดเร็ว สวี่ชีอันรออยู่สิบกว่านาที นักบวชเต๋าเด็กก็กลับมา ส่ายหน้าพร้อมพูดว่า

“ผู้นำเต๋ากำลังฝึกฝนวิทยายุทธ ไม่ต้องการพบคนนอก เชิญใต้เท้ากลับไปเถิด”

ไม่พบ… ดูเหมือนว่าป้ายทองคำของจักรพรรดิจะใช้งานไม่ได้จริง คงต้องแสดงหนังสือปฐพีแล้ว… สวี่ชีอันกล่าวต่อไปว่า “นักบวชทั้งสองโปรดช่วยนำความของข้าไปบอกอีกครั้ง…”

นักบวชเต๋าเด็กที่ยืนทางขวามือตัดบทด้วยท่าทางจริงจัง “ไม่พบก็คือไม่พบ ถึงท่านจะพูดจนปากเปื่อย ผู้นำเต๋าก็ไม่มีวันพบท่าน”

สวี่ชีอันเป่าลมหายใจออกอย่างเงียบๆ พลิกตัวลงจากหลังม้า มองไปรอบๆ สักครู่ แล้วหยิบทองคำที่เตรียมไว้สองแท่งออกมาจากอกเสื้อ

เวลานี้การกระทำสำคัญกว่าคำพูด

นักบวชเต๋าเด็กเดินเข้าไปอีกครั้ง

“ช้าก่อน กลับมาก่อน ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย” สวี่ชีอันเรียกเขากลับ แล้วกระซิบที่ข้างหูประโยคหนึ่ง

หลังจากที่นักบวชเต๋าเด็กเข้าไปแล้ว สิบกว่านาทีต่อมาก็กลับมา สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น “ใต้เท้า ผู้นำเต๋าเรียนเชิญ”

………………………………………..