บทที่ 137 อวี้อ๋อง
สวี่ชีอันเดินตามนักบวชเต๋าเด็ก ผ่านวิหารด้านหน้า ผ่านลานกว้าง ผ่านห้องต่างๆ และสวน มาถึงอารามรัตนะที่อยู่ลึกที่สุด

นี่คือสวนเล็กๆ ที่เงียบสงบ ต้นไม้ใบหญ้าโรยราไปหมดแล้ว มีศาลาและภูเขาจำลองตั้งตระหง่าน ในสระน้ำมีคลื่นสีเขียวกระเพื่อมขึ้นลง

นักพรตหญิงโฉมงามนั่งขัดสมาธิอยู่บนผิวน้ำในสระ สวมชุดไท๊เก๊ก ที่ศีรษะสวมมงกุฎดอกบัว ที่หว่างคิ้วแต้มจุดสีแดงด้วยชาด งดงามทั้งรูปโฉมและกิริยาท่าทาง

ใบหน้าของนางใสสะอาดราวกับเจียระไนจากผลึกน้ำแข็งไร้มลทิน จมูกโด่งเป็นสันสวยงาม ริมฝีปากอวบอิ่ม เวลาหลับตา ขนตาไขว้กันหนาราวกับขนแปรง

หลังจากสวี่ชีอันเข้ามาในสวนก็เอาแต่จ้องมองนาง เดินไปมองไป ตะลึงพรึงเพริดจนคาดเดาอายุนางไม่ได้

ความรู้สึกเหมือนผู้หญิงวัยเริ่มสุกงอมอายุเพิ่งจะ 30 และให้ความรู้สึกเหมือนผู้หญิงที่สุกจนหวานหยดย้อย หรือหากมองดีๆ ยังสามารถเห็นเสน่ห์อันบริสุทธิ์ที่ไร้เดียงสาและเหมือนต้องมนตร์ผสมผสานกันในตัวนาง

‘ข้าถึงกับเกิดความรู้สึกว่า จะต้องหาวิธีแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ให้ได้ เป็นเพราะข้าไม่ได้ใกล้ชิดกับความงามของผู้หญิงมานานเกินไปแล้ว หรือเพราะนิกายมนุษย์มีวิธีบำเพ็ญตบะที่พิเศษไม่เหมือนกัน…ยั่วยวนเหรอ’

ความคิดของสวี่ชีอันสับสน ขณะที่ภายนอกดูสงบ

“จินเหลียนเป็นคนให้เจ้ามาหาข้าเหรอ” ลั่วอวี้เหิงลืมตาคู่งาม อัตราส่วนของตาขาวและตาดำสมส่วน เป็นดวงตาที่งดงามมาก

“ใช่ พลังหยินนักบวชเต๋าจินเหลียนถูกทำลายอย่างหนัก ร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ดังนั้นจึงวานให้ข้ามาขอยาจวี้หยวนหนึ่งเม็ด”

หากเป็นเวลาปกติ สวี่ชีอันจะพูดว่า ‘ขอยาสองเม็ด’ แล้วก็เก็บค่านายหน้าโดยซ่อนไว้เองหนึ่งเม็ด

แต่เขาไม่คุ้นเคยกับลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋านิกายมนุษย์คนนี้ เพื่อตอบแทนบุญคุณนักบวชเต๋าจินเหลียนที่ช่วยชีวิตไว้ จึงพูดตามความจริงแต่โดยดี

อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสเช่นนี้จะทำตัวตามใจชอบ แสดงนิสัยที่แท้จริงออกมาไม่ได้เด็ดขาด หากทำเช่นนั้นมีแต่จะทำให้เสียแผน

“เจ้าเป็นสมาชิกของพรรคฟ้าดิน ถือหนังสือปฐพีเล่มที่เท่าไหร่” น้ำเสียงของลั่วอวี้เหิงไพเราะมาก มีเนื้อเสียงน่าฟัง มีเสน่ห์ดึงดูด ทำให้สวี่ชีอันนึกถึงนักพากย์ในภพก่อน

“เล่มที่สาม” สวี่ชีอันตอบ

ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า ดวงตาคู่งามจ้องหน้าเขา ไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน ทันใดนั้นนางก็ทำเสียงเอ๊ะ สีหน้ามีแววฉงน

“ดวงชะตาของเจ้าแปลกมาก…บอกวันเดือนปีเกิดเจ้ามา” นักพรตหญิงโฉมงามถาม

สายลมพัดมา ชายเสื้อที่ห้อยอยู่บนผิวน้ำกวัดแกว่งไปมา จากมุมของสวี่ชีอันสามารถมองเห็นส่วนโค้งส่วนเว้าของสะโพกอวบอิ่มได้อย่างเลือนราง

นางสามารถมองเห็นความผิดปกติของข้าได้เหรอ สวี่ชีอันรีบบอกวันเดือนปีเกิดในทันที

มือเรียวงามของลั่วอวี้เหิงยื่นออกมาจากแขนเสื้อ นิ้วเรียวขยับไปมา คำนวณอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วเรียวโค้งขมวดแน่น ราวกับประสบปัญหาที่ยากจะอธิบาย

สวี่ชีอันรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แล้วถามอย่างมีความหวังว่า “ท่านราชครูเป็นอย่างไรบ้าง”

“ลิง” นางพูด

ปีลิงเหรอ นางพูดถึงสัญลักษณ์แทนปีเกิดของข้า เหมือนปีนักษัตรของภพก่อน…สวี่ชีอันพบว่าความคิดที่ไม่ชอบธรรมในใจของเขากำลังทำงาน

ผู้หญิงคนนี้มักทำให้ข้าอยากคุยเรื่องใต้สะดือกับนางโดยไม่รู้ตัว…นี่ไม่ใช่เพราะข้ามีปัญหาอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะนางที่ทำให้จิตใจข้าสกปรก…เป็นลักษณพิเศษของนิกายมนุษย์เหรอ อืม แล้วค่อยกลับไปถามนักบวชเต๋าจินเหลียนละกัน

ลั่วอวี้เหิงส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงที่เนื้อเสียงน่าฟัง “ไม่มีอะไรผิดปกติ”

นางไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้ หยิบแจกันกระเบื้องออกจากแขนเสื้อ งอนิ้วดีดเบาๆ แจกันกระเบื้องก็ลอยไปอยู่ตรงหน้าสวี่ชีอัน

“ขอบคุณท่านราชครู” สวี่ชีอันรับแจกันกระเบื้องมา และกอบหมัดกล่าวขอบคุณ

นางก็ไม่รู้ความเป็นมาของข้าเช่นเดียวกัน แต่นักบวชเต๋าจินเหลียนนั้น สามารถรู้สึกได้แค่เพียงรางเลือนเท่านั้น…สวี่ชีอันไม่คิดจะอาลัยอาวรณ์อีกต่อไป กล่าวลาแล้วก็จากไป

รถม้าแล่นเข้าสู่เขตพระราชฐาน แล้วหยุดที่ทางเข้าพระราชวัง เจียงลวี่จงซึ่งเป็นผู้ขับรถม้า กระโดดลงจากรถม้า แล้วหยิบบันไดไม้ออกมารับเว่ยเยวียนลงมา

ยกเว้นสมาชิกของราชวงศ์แล้ว ขุนนางห้ามขับรถม้า หรือขี่ม้าในเขตพระราชวัง

เว่ยเยวียนพาเจียงลวี่จงเข้าไปในพระราชวัง เมื่อเข้าใกล้ห้องทรงพระอักษร หลิวกงกงก็เดินมาต้อนรับ

“เว่ยกง ท่านมาเสียที” หลิวกงกงบ่นว่าไม่ขาดปาก “ฝ่าบาททรงให้ข้ามารอต้อนรับท่านที่นี่ รีบไปเถิด ฝ่าบาทกำลังทรงกริ้วอยู่ในห้องทรงพระอักษร”

เว่ยเยวียนพยักหน้าอย่างสงบ ราวกับว่าแม้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่สะดุ้งสะเทือน และก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากคำพูดของหลิวกงกง

“เมื่อครุู่นี้ขุนนางแก่สองสามคนเพิ่งจะกล่าวโทษท่านต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท…เฮ้อ ท่านจัดการเองก็แล้วกัน แต่ระวังไว้หน่อยก็ดี”

หลิวกงกงและเว่ยเยวียนเป็นพวกเดียวกัน เว่ยเยวียนเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของกลุ่มขันทีทั้งหมด ขุนนางชั้นสูงในราชสำนักทุกคนคิดที่จะสอดแนมในวัง เป็นเรื่องยากมาก แต่เว่ยเยวียนสามารถทำได้อย่างง่ายดาย

เว่ยเยวียนมาถึงประตูห้องทรงพระอักษร ก็ได้ยินพระสุรเสียงจักรพรรดิหยวนจิ่งทรงบริภาษดังมาจากข้างใน “ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้ทุกคน คดีทะเลสาบซังผอจนถึงวันนี้ยังคลี่คลายไม่ได้ เบาะแสที่เจ้าสองคนได้มายังมากสู้ฆ้องทองแดงเล็กๆ คนหนึ่งไม่ได้ ราชสำนักเลี้ยงพวกเจ้าสองคนไว้จะมีประโยชน์อะไร ข้าจะต้องการพวกเจ้าไว้ทำอะไร”

ในห้องทรงพระอักษร เจ้ากรมแห่งกรมอาญาและขุนนางชั้นสูงแห่งต้าหลี่ ตลอดจนข้าหลวงเฉินฮั่นกวาง ทั้งสามคนยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่ที่กลางห้อง ก้มหน้ารับฟังคำสั่งสอนของจักรพรรดิหยวนจิ่ง

นอกจากทั้งสามคนแล้ว สมุหราชเลขาธิการ เจ้ากรมจากทุกกรม และขุนนางชั้นสูงหลายคนของราชสำนัก ล้วนยืนก้มหน้าก้มตาด้วยความอับอายอยู่สองฝั่ง

คดีฆ่ายกครัวของจวนผิงหย่วนป๋อ วันนี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งในและนอกราชสำนัก บรรดาเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูงต่างพากันหวาดหวั่น ด้านหนึ่งยื่นหนังสือกล่าวโทษเว่ยเยวียน และสอบสวนฆาตกรอย่างเข้มงวด อีกด้านหนึ่งก็แอบเสริมกำลังทหารอารักขาในจวน

ชั่วขณะหนึ่งผู้คนต่างพากันหวาดหวั่น มีคนกล่าวว่ามีเผ่าพันธุ์ปีศาจที่แข็งแกร่งรุกรานเมืองหลวง ฆ่าขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก และทำลายระเบียบของราชสำนัก

บางคนบอกว่าศาสนาพุทธกำลังก่อกวนอย่างลับๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเผยแผ่ศาสนาไปยังที่ราบภาคกลาง และบีบบังคับให้ราชวงศ์ต้าฟ่งยอมศิโรราบ

“ฝ่าบาท เหตุใดท่านโหราจารย์จึงล้มป่วยในเวลานี้พ่ะย่ะค่ะ”

“ห้ะ ป่วยเหรอ เห็นได้ชัดว่ากำลังนิ่งดูดาย”

“เหตุใดเมื่อคืนนี้จึงปล่อยให้ฆาตกรหนีไป หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลบกพร่องต่อหน้าที่ ขอฝ่าบาททรงลงโทษเว่ยเยวียนสถานหนัก”

ขุนนางชั้นสูงหลายท่านต่างพากันกล่าวเตือนอย่างตรงไปตรงมา

เว่ยเยวียนเข้าไปในห้องทรงพระอักษร ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์

“เว่ยเยวียน” เมื่อจักรพรรดิหยวนจิ่งเห็นเขาเข้ามา ก็ทรงคว้าหนังสือราชการปึกหนึ่งแล้วขว้างลงพื้น แล้วทรงตรัสด้วยความกริ้วท่ามกลางเสียงกระดาษโปรยปราย

“สามวัน ภายในเวลาสามวันหากเจ้าหาตัวฆาตกรมาไม่ได้ ข้าจะปลดเจ้าออกจากตำแหน่ง”

เว่ยเยวียนหลบหลีกอย่างว่องไว ก้มลงเก็บหนังสือราชการที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น พลางถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทเหตุใดจึงทรงกริ้ว บำเพ็ญพรตคือการบำเพ็ญจิต อย่าให้จิตใจต้องว้าวุ่นพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงทำเสียงฮึในลำคออย่างเย็นชา

เจ้ากรมแห่งกรมอาญากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ฝ่าบาท หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลปล่อยให้ฆาตกรหนีไปสองครั้งติดต่อกันแล้ว กระหม่อมสงสัยว่าเว่ยเยวียนกำลังสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าพันธุ์อื่น คิดประทุษร้าย ขอฝ่าบาททรงสอบสวนอย่างเข้มงวดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ทรงตอบ แต่ทรงมองไปที่เฉินฮั่นกวางที่ก้มศีรษะไม่พูดไม่จา “ข้าหลวงเฉินคิดเห็นอย่างไร”

แม้ว่าข้าหลวงจะเป็นขุนนางระดับสี่ แต่เขามีอำนาจปกครองยี่สิบสี่มณฑลรอบเมืองหลวง อำนาจยิ่งใหญ่ อิทธิพลไม่ด้อยไปกว่าเจ้ากรมทั้งหกกรม

เฉินฮั่นกวางนั้นมีประสบการณ์สูง ไม่อยากผิดใจกับทั้งสองฝ่าย จึงกล่าวว่า “คดีทะเลสาบซังผอยังไม่สิ้นสุด เวลานี้ก็เกิดคดีฆ่ายกครัวจวนผิงหย่วนป๋อขึ้นอีก ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้วไปเลย ทรงพระทัยเย็นไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าควรฟังเว่ยกงก่อนว่าจะพูดอย่างไร”

เตะบอลออกไปตรงๆ เสียอย่างนั้น

จักรพรรดิหยวนจิ่งมองเว่ยเยวียนอย่างเย็นชา

“ฝ่าบาท คดีผิงหย่วนป๋อกับคดีทะเลสาบซังผอเป็นคดีเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยเยวียนกล่าว

ในห้องทรงพระอักษร รวมถึงจักรพรรดิหยวนจิ่ง สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เว่ยเยวียนไม่มองสีหน้าของทุกคน ก้มหน้ามองพื้น พูดเสียงดังว่า “กระหม่อมสอบสวนพบแล้วว่าฆาตกรคดีฆ่ายกครัวผิงหย่วนป๋อเป็นใครพ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นใคร” มีคนแย่งพูดด้วยความลืมตัว เขาคือจางฟ่งเจ้ากรมแห่งกรมทหาร

เว่ยเยวียนเหลือบมองเขา ไม่ตอบ แต่กราบทูลจักรพรรดิหยวนจิ่งว่า “ฝ่าบาทได้โปรดเชิญทุกคนออกไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

ขณะที่พูดประโยคนี้ เว่ยเยวียน ก็นึกถึงสวี่ชีอันโดยไม่มีสาเหตุ

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงจ้องมองเว่ยเยวียนแวบหนึ่ง จากนั้นสายพระเนตรที่่แหลมคมก็ทอดพระเนตรเหล่าขุนนาง “เชิญทุกท่านออกไปก่อน”

ทุกคนถวายความเคารพด้วยสีหน้าแปลกๆ แล้วออกจากห้องทรงพระอักษรไป

เว่ยเยวียนอยู่ในทรงพระอักษรเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม โดยไม่มีใครรู้ว่าเขาพูดอะไรกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง

“เว่ยกง เว่ยกง…”

เว่ยเยวียน ฟางฝู่ ก้าวออกจากห้องทรงพระอักษร พร้อมกับหลิวกงกง เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินคนเรียกเขา

เมื่อหันไปมอง จางฟ่ง เจ้ากรมแห่งกรมทหารใบหน้าซูบผอม สวมชุดขุนนางสีแดงสดก็เดินมาหา ใบหน้ายิ้มแย้ม

“เว่ยกง ไม่รู้ว่าฆาตกรคดีฆ่ายกครัวผิงหย่วนป๋อเป็นคนของฝ่ายใดเหรอ”

เว่ยเยวียนส่ายหน้า “เจ้ากรมจาง คดีนี้เกี่ยวข้องกับทะเลสาบซังผอจึงไม่สะดวกที่จะเปิดเผย รอจนความจริงถูกเปิดเผยแล้ว ใต้เท้าย่อมรู้เอง”

เขาประสานมือคารวะ จากนั้นก็เดินก้าวยาวๆ จากไป

เจ้ากรมจางเจอกับการปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม ก็ไม่ได้มีท่าทีโกรธเคือง กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วกล่าวว่า “เว่ยกงค่อยๆ เดิน”

หลังจากที่เว่ยเยวียนจากไปแล้ว บรรดาขุนนางชั้นสูงที่รออยู่ที่ห้องทรงพระอักษรก็ค่อยๆ เดินเข้ามา “หลิวกงกง เว่ยเยวียนพูดอะไรกับฝ่าบาท”

“ใต้เท้าทุกท่านอย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจเลย” หลิวกงกงโบกมือไปมา

“หลิวกงกงเลือกเรื่องที่พูดได้ก็ได้” น้ำเสียงก้องกังวานดังขึ้น นั่นคือเสียงของโสวฝู่

หลิวกงกงลังเลเล็กน้อย แล้วพยักหน้า มองขุนนางทุกท่านที่อยู่รอบๆ พูดเสียงเบาว่า “คดีนี้ สวี่ชีอันฆ้องทองแดงแห่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกำลังดำเนินการอยู่ สิ่งที่เว่ยกงพูดตอนอยู่ข้างใน ล้วนมาจากเขา”

สวี่ชีอัน?

บรรดาขุนนางต่างมองหน้ากัน

สวี่ชีอันที่ออกจากอารามรัตนะ ในสมองของเขามีแต่ใบหน้างามของราชครูผ่านเข้ามาตลอดเวลา คิดในใจว่าผู้หญิงที่บำเพ็ญตบะมักจะมีความแตกต่าง งดงามราวกับหยกแกะสลัก มองไม่ออกเลยว่าใบหน้านั้นมีมลทินอะไร

อย่างไรก็น่าจะต้องมีสิวสักสองสามเม็ด

ผู้นำเต๋านิกายปฐพีอยู่ในระดับสอง ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์คงจะไม่ด้อยไปกว่า…หากเป็นระดับสอง ถ้าจะพูดว่าเป็นเทพก็คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินจริง

ม้าตัวเมียตัวน้อยเดินต๊อกแต๊กๆ ผ่านคลังอาวุธ สวี่ชีอันขอตำแหน่งที่ตั้งของจวนอวี้อ๋องจากทหารยาม

“แนวคิดในการสืบสวนคดีทะเลสาบซังผอต้องเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หยุดการตรวจสอบอ๋องสยบแดนเหนือไปก่อน ข้ามีลางสังหรณ์ว่า ขอเพียงตรวจสอบเรื่องของเหิงฮุ่ยกับท่านหญิงผิงหยางให้แน่ชัด ตรวจสอบความรักความแค้นระหว่างคู่รักทรหดคู่นี้กับผิงหย่วนป๋อ บางทีอาจจะสามารถคลี่คลายคดีทะเลสาบซังผอได้”

“ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน ข้ารู้สึกว่าอีกไม่กี่วันนี้แล้ว…บางทีอาจจะเร็วกว่านั้น คืนนี้นักบวชเต๋าจินเหลียนจะมาหาข้า ข้าต้องจำไว้ว่าต้องถามเรื่องผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ เป็นนักพรตหญิงแท้ๆ แต่กลับมีเสน่ห์เหมือนปีศาจ”

สวี่ชีอันกระทุ้งท้องม้า กระตุ้นให้ม้าวิ่งเร็วขึ้น

จวนอวี้อ๋อง

สวี่ชีอันดึงบังเหียนม้า แล้วก็แสดงตราทองคำ แสดงฐานะของตัวเอง ท่ามกลางสายตาเฝ้าระวังของทหารยาม “ข้าได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้เป็นผู้รับผิดชอบคดีทะเลสาบซังผอ มีธุระขอเข้าเฝ้าอวี้อ๋อง รบกวนทูลเรียนแทนข้าด้วย”

ทหารรักษาพระองค์เห็นตราคาดเอว ก็เลิกแสดงท่าทีไม่ให้เกียรติ และรีบเข้าไปในจวน

ผ่านไปไม่นาน ทหารรักษาพระองค์ก็กลับมา พูดเสียงดังว่า “ใต้เท้าท่านนี้ตามข้ามา ท่านอ๋องของเราต้องการพบท่าน”

จวนอวี้อ๋องครอบคลุมพื้นที่กว้างมาก จากประตูไปยังห้องโถงด้านหน้า ต้องใช้เวลาเดินถึงห้านาที

สวี่ชีอันเห็นพระอนุชาจักรพรรดิหยวนจิ่งที่ห้องโถงด้านหน้า ชินอ๋องคนปัจจุบัน

นี่คือบุรุษที่อายุยังไม่มาก แต่ผมกลับหงอกเร็ว หน้าซีด ดูท่าทางอ่อนเพลีย ริ้วรอยแนวตั้งตรงหว่างคิ้วลึก อายุแค่สี่สิบต้นๆ แท้ๆ แต่กลับดูแก่กว่าจักรพรรดิหยวนจิ่ง

สวมชุดหรูหราสีม่วง หน้าตาดีมาก

“ฆ้องทองแดงเหรอ” ในมือของอวี้อ๋อง ถือถ้วยชาอยู่ ทรงจิบชาหนึ่งอึก น้ำเสียงไม่แจ่มใส

พระองค์วางถ้วยน้ำชาลงทรงตรัสด้วยความประหลาดใจว่า “ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เสด็จพี่จึงได้ทรงอนุมัติให้ฆ้องทองแดงเป็นผู้รับผิดชอบเป็นพิเศษ”

“กระหม่อมสวี่ชีอัน อวี้อ๋องไม่ทรงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับกระหม่อมเหรอพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันกำลังคิด ว่าคดีทะเลสาบซังผอเป็นข่าวเด่นที่ผู้คนค้นหาเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองหลวงในเวลานี้ ตั้งแต่ระดับขุนนางชั้นสูงจนถึงเจ้าพนักงานเล็กๆ น่าจะให้ความสนใจกันทุกคน

ตัวเองในฐานะผู้รับผิดชอบคนหนึ่ง บรรดาลูกน้องโจรผู้ร้ายไม่รู้จักข้า แม้แต่อวี้อ๋องในฐานะเชื้อพระวงศ์ก็ไม่รู้จักข้าอย่างนั้นเหรอ

อวี้อ๋องทรงพยักหน้าทันที “นึกออกแล้ว เคยได้ยินเหมือนกัน แต่ข้าไม่สนใจเรื่องงานของราชสำนักมาเป็นเวลานาน จึงนึกไม่ออกชั่วขณะ”

ดูเหมือนว่าการหายตัวไปของท่านหญิงผิงหยางจะกระทบกระเทือนพระองค์เป็นอย่างมาก…สวี่ชีอันถอนหายใจ

“เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร” อวี้อ๋องทรงโบกพระหัตถ์ รับสั่งให้คนยกน้ำชามา

……………………………….