ตอนที่ 140 มารดารู้อนาคต

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

“สวัสดีค่ะหลวงพี่ฟางเจิ้ง ไปนั่งด้วยกันเถอะ” แม่จูหลินมีใบหน้าเมตตา มองฟางเจิ้งยิ้มๆ

ฟางเจิ้งแสดงความเคารพกลับ ก่อนเดินเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมกัน

เพราะความสัมพันธ์กับวัดเมฆาขาว หมู่บ้านเมฆาขาวเลยพัฒนาการท่องเที่ยวตามไปด้วย ชาวบ้านค่อนข้างร่ำรวย ทุกบ้านมีรถเล็กๆ แต่ละคนดูมีความสุข ขณะเดียวกันทุกครอบครัวล้วนมีของเกี่ยวกับพุทธศาสนาไม่มากก็น้อย จึงมีบรรยากาศของวัฒนธรรมเข้มข้นมาก

เพิ่งฉลองปีใหม่มา ยังไม่ได้เอาคำกลอนคู่และโคมไฟลง จึงยังออกเป็นสีแดงเพลิง

ฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ในที่สุดก็ได้เข้าใจว่าทำไมหวังโอ้วกุ้ยที่ได้ยินว่าวัดเมฆาขาวเชิญแล้วถึงดีใจขนาดนั้น ถ้าวัดเอกดรรชนีใหญ่โต จะมีแต่ประโยชน์ให้กับชาวบ้าน อย่างน้อยสำหรับหมู่บ้านเอกดรรชนีที่ยากจนแล้วก็เป็นลู่ทางที่ดีจริงๆ

บ้านจูหลินเป็นบ้านกว้างขวาง ข้างหลังมีลานบ้าน ตรงกลางมีบ้านมุงหลังคากระเบื้องสามห้อง บ้านช่องสะอาดสะอ้าน แสงไฟสว่างไสว

จูหลินพุ่งเข้าไปเร็วสุด มารดาจูหลินรีบตามเข้ามา ฟางเจิ้งถือสัมภาระเดินตามมาหลังสุด ได้ยินเสียงคนคุยกันเบาๆ “แม่จูหลินไม่ไหวจริงๆ นะ วันๆ ว่างไม่มีอะไรทำก็ไปเฝ้ายืนรอที่หน้าหมู่บ้าน พอรถมาก็เข้าไปดู วันนี้ลูกสาวก็กลับมาสักทีนะ…”

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นในใจสั่นไหว มองมารดาจูหลินที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่เร็วนัก ในใจเกิดความอบอุ่น นี่คือความรักของแม่เหรอ?

ฟางเจิ้งแหงนหน้ามองฟ้า นึกถึงภาพที่เขาปิดเทอมกลับภูเขาเอกดรรชนีตอนยังเด็ก ทุกครั้งหลวงจีนหนึ่งนิ้วจะยืนรอรับเขาตรงตีนเขาเหมือนรู้ว่าเขาจะกลับมา ตอนนั้นฟางเจิ้งยังคิดจริงๆ ว่าหลวงจีนหนึ่งนิ้วรู้อนาคต พระพุทธองค์เป็นคนบอกเขา ตอนนี้ฟางเจิ้งเข้าใจแล้วว่าหลวงจีนหนึ่งนิ้วน่าจะรอเขาตรงตีนเขาทุกวัน…

“ไต้ซือ? เร็วหน่อย! มีของอร่อยๆ นะ!” เสียงจูหลินดังแว่วมาไกลๆ ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ แล้วรีบเดินไปประคองมารดาจูหลินที่เหยียบบนไม้ตะบองแทบจะล้มลง

“ขอบคุณค่ะ” มารดาจูหลินกล่าว

ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อาตมาต่างหากที่ต้องขอบคุณโยม โยมทำให้อาตมารู้บางอย่างซึ่งอาตมาไม่เคยรู้มาก่อน”

มารดาจูหลินมองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย ฟางเจิ้งยิ้ม จูหลินอีกด้านก็เร่งรัด สองคนจึงไม่ได้พูดอะไรมาก แต่รีบตามเข้าไป

มารดาจูหลินกับบิดาจูหลินเป็นคนซื่อตรง ไม่เก่งเรื่องการพูด จูหลินก็เหนื่อยแล้ว คุยกันไม่กี่ประโยคก็จัดให้ฟางเจิ้งไปนอนห้องข้างๆ

หนึ่งคืนผ่านไป วันที่สองฟ้าสาง ไก่ตัวผู้ยังไม่ทำงาน ฟางเจิ้งก็ตื่นนอนแล้ว

ฟางเจิ้งที่ชินกับการตื่นเช้าเพิ่งพบว่าไม่มีอุโบสถให้ทำความสะอาด เขาตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนนั่งขัดสมาธิบนเตียง สวดมนต์

ตอนนี้เองจูหลินเข้ามา กล่าวด้วยสีหน้าสงสัย “ไต้ซือ รองเท้าท่านล่ะ?”

จีวรขาวจันทร์ปกปิดเท้าได้ จูหลินเลยไม่รู้ว่าฟางเจิ้งไม่สวมรองเท้า

ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ “อาตมาไม่เคยสวมรองเท้า ชินกับเท้าเปล่าแล้ว”

“เท้าเปล่า?!” จูหลินเบิกตาโต หน้าตาดูเหลือเชื่อ

ฟางเจิ้งยิ้ม “แปลกมากเหรอ? ก่อนหน้านี้โยม…”

“ชู่ว!…” จูหลินรีบทำท่าทางให้เงียบ จากนั้นพูดเสียงเบา “อย่าพูดเรื่องนี้ ถ้าแม่รู้เข้าตีฉันตายเลย ไต้ซือ ท่านไปวัดเมฆาขาววันนี้เหรอ?”

“ใช่ มีปัญหาอะไรหรือ?” ฟางเจิ้งถาม

“ไม่มีอะไร แค่เสียดายน่ะ ฉันไปไม่ได้ ได้แค่ส่งท่านที่ท่าเรือ ถึงตอนนั้นแค่ขึ้นเรือก็ไม่มีปัญหาแล้ว” จูหลินกล่าว

“อ้อ แล้วต้องซื้อตั๋วไหม?” ฟางเจิ้งกังวลเล็กน้อย เขามีเงินไม่มาก

“นั่นเรือของวัดเมฆาขาวจะไปเก็บเงินได้ยังไง แต่ท่าเรือมีกล่องบริจาคนะ ถ้าจะทำบุญก็ใส่เงินไปนิดหน่อย ถ้าไม่อยากก็ขึ้นเรือได้เลย” จูหลินอธิบาย จากนั้นจ้องฟางเจิ้ง “ไต้ซือไม่สวมรองเท้าจริงๆ เหรอ?”

ฟางเจิ้งลงมาบนพื้น “อาตมาไม่สวมจริงๆ”

“จึ๊ๆ…เยี่ยม! เยี่ยมจริงๆ!” จูหลินยกนิ้วโป้งให้

ฟางเจิ้งจะพูดบางอย่าง ทว่าหน้าเปลี่ยนสี! ภาพตรงหน้าพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง…มาอยู่ในสภาพแวดล้อมแปลกตา จูหลินรับโทรศัพท์เดินไปพลางพูดไปพลาง ‘จริงเหรอ?! ฉันได้ถ่ายหนังจริงๆ เหรอ? ดีเลยค่ะ แล้วสัมภาษณ์ที่ไหนคะ?’

ภาพเปลี่ยนไป เป็นพื้นที่เล็กๆ ชายคนหนึ่งรับจูหลินเข้าไปในตึก จากนั้นมีเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้น ตามด้วยเสียงดังปังๆ ก่อนจูหลินจะกระโดดออกมาจากหน้าต่าง…

ภาพแตกเป็นเสี่ยงๆ…

“ไต้ซือ? ไต้ซือ?!” จูหลินเห็นฟางเจิ้งเหม่อจึงถามด้วยความแปลกใจ

ฟางเจิ้งได้สติกลับมา แต่ในใจหนาวเยือก! แม้เนตรสวรรค์จะควบคุมเปิดปิดได้ตามอำเภอใจ แต่ฟางเจิ้งอยู่บนเขาตลอดจึงชินกับการเปิดตลอดเวลา ตลอดทางมานี้เขาเจอกับผู้คนไม่น้อย แต่ไม่เจอเรื่องที่ไม่ดีเลย ไม่นึกเลยว่าจะได้เห็นภัยนองเลือดกับตัวจูหลิน!

ฟางเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึก ส่ายหน้าตอบกลับ “ไม่มีอะไร เมื่อกี้อาตมาเหม่อน่ะ โยม เร็วๆ นี้มีเรื่องดีอะไรเข้ามารึเปล่า?”

จูหลินส่ายหน้า “ไม่นี่ มีแต่เรื่องแย่เป็นกอง ทำไมเหรอ?”

ฟางเจิ้งตอบ “ไม่มีอะไร โยม ในสัปดาห์นี้ถ้าเจอเรื่องดีเข้ามาอย่างกะทันหัน จะต้องคิดให้รอบคอบแล้วค่อยตัดสินใจ! จำเอาไว้ๆ!”

“ไต้ซือหมายความว่าไงคะ? พูดให้ชัดๆ หน่อยสิ?” จูหลินเห็นฟางเจิ้งทำหน้าเคร่งขรึมเลยถามต่อ

ฟางเจิ้งก็อยากพูดเหมือนกัน แต่จะเปิดเผยความลับสวรรค์ไม่ได้ บางคำแค่ชี้แนะก็พอ พูดมากไปจะเป็นปัญหา

ฟางเจิ้งตรึกตรองแล้วก็ส่ายหน้าไม่ได้พูดอะไร

ตอนนี้เองมารดาจูหลินเรียกทุกคนกินข้าว จูหลินจึงไม่ได้ถามต่อ เพียงแค่คิดอยู่ตลอดว่าคำพูดฟางเจิ้งหมายความว่ายังไงกันแน่ ฟางเจิ้งเป็นหลวงจีนธรรมดา? แน่นอนจูหลินไม่คิดแบบนั้น เธอเคยเห็นความสามารถของฟางเจิ้งมาแล้ว ใช้มือบิดมีดได้ย่อมเป็นคนเหนือมนุษย์ จูหลินที่ได้รับผลกระทบจากโลกอินเทอร์เน็ตมาเยอะจึงมองว่าฟางเจิ้งเป็นยอดฝีมือนอกโลกหรือไม่ก็ยอดมนุษย์ไปแล้ว

ฉะนั้นแม้ฟางเจิ้งจะเอ่ยมาแค่นี้ แต่เธอกลับเก็บไว้ในใจ

กินข้าวแล้วจูหลินก็ส่งฟางเจิ้งไปท่าเรือ พอถึงท่าเรือจูหลินกล่าวขึ้น “ไต้ซือ ข้างหน้านี่เป็นท่าเรือแล้ว ขึ้นเรือไปกับทุกคนก็พอ อีกสองวันจะเริ่มพิธีสวดมนต์ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ ฉันก็จะไปเหมือนกัน ถึงตอนนั้นไลฟ์สดจะเชิญท่านมาออกกล้องด้วยนะ”

ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ “อมิตาพุทธ ถึงตอนนั้นแล้วเจอกัน โยม ก่อนไปอาตมาจะให้ภาพโยม ถ้าเจอจะต้องระวังนะ”

“ภาพ? ภาพอะไรคะ?” จูหลินมองฟางเจิ้งอย่างงุนงง

ฟางเจิ้งหันหลังให้แสงตะวัน แสงแดดอาบไล้บนตัวเขา มีความเป็นสิริมงคลและศักดิ์สิทธิ์เพิ่มมาหลายส่วน ตอนนี้เอง

“อมิตาพุทธ!”

โลกตรงหน้าจูหลินแตกดังโครม ต่อมาเธอมาอยู่กลางเมืองเฮยซาน! จูหลินมองไปรอบๆ พลางร้องด้วยความตกใจ “นี่เป็นไปได้ยังไง? ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่?”

จูหลินทั้งคุ้นเคยและแปลกตากับที่นี่ ที่แปลกตาก็เพราะไม่เคยมาที่นี่ และที่คุ้นเคยก็เพราะเคยเห็นในโทรทัศน์กับอินเทอร์เน็ต นี่คือเขตเล็กชนชั้นสูง

…………………………