EP.144****ถังหลันช่วยทูลขอร้อง
ยามดึก แสงดาวสาดส่องจวนขุนนางแห่งเมืองชีไห่ กระเบื้องเคลือบสะท้อนแสงดาวที่ระยิบระยับอยู่เต็มท้องฟ้า
“กุบกับ กุบกับ…”
ม้าวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ร่างอรชรควบม้าเข้ามาในจวน ทหารเฝ้าคุ้มกันสองนายรีบวิ่งออกไป “ผู้ใดกัน ถึงกล้าบุกรุกจวนเจ้าเมืองชีไห่เช่นนี้?!”
สาวน้อยบนหลังม้าปลดชุดคลุมลง ด้านในเป็นใบหน้าที่งดงาม ถังเสี่ยวซีนั่นเอง
“อ่า องค์หญิงซี!”
ทหารสองนายรีบทำความเคารพ กล่าว “องค์หญิง ทำไมถึงกลับมาที่เมืองชีไห่ดึกดื่นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ และยังไม่ส่งข่าวล่วงหน้าด้วย”
สีหน้าถังเสี่ยวซีร้อนรน “ไม่ต้องพูดมาก ท่านปู่อยู่ที่ไหน”
“พักผ่อนอยู่ที่เรือนพ่ะย่ะค่ะ”
“นำข้าไป”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เดินผ่านศาลากลางน้ำ ก็มาถึงเรือนของชางหลันกง ที่นี่กลับไม่หรูหรา เป็นแค่เรือนไม้ธรรมดาที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวริมทะเลสาบเท่านั้น ด้านในยังมีแสงไฟอยู่ ถังหลันคลุมกายด้วยชุดผ้าแพร กำลังอ่านตำราพิชัยสงครามที่ถืออยู่ในมือ หนวดและผมของเขาเป็นสีดอกเลา ใบหน้าชรามีความเหนื่อยล้า
“ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้น ถังเสี่ยวซีที่อยู่ด้านนอกส่งเสียง “ท่านปู่ หลับหรือยังเจ้าคะ เสี่ยวซีกลับมาแล้ว”
ถังหลันพลันใจสั่นวูบ วางตำราในมือลง แล้วลุกขึ้นตรงไปที่ประตูห้อง เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นถังเสี่ยวซียืนอยู่ใต้แสงจันทร์ เขาอดยิ้มไม่ได้ “เสี่ยวซี ทำไมกลับมาเมืองชีไห่เสียดึกดื่น เจ้าควรจะแจ้งให้ปู่ทราบล่วงหน้าก่อนถึงจะถูก!”
ถังเสี่ยวซีรีบเข้าไปดึงแขนถังหลัน ยิ้มพูด “ข้าก็อยากให้ท่านปู่ประหลาดใจไงล่ะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นหรือ”
ถังหลันหรี่ตา ยิ้มพูด “คงจะไม่ใช่แค่มาให้ประหลาดใจ เจ้ากลับมาเมืองชีไห่เพื่อหลินมู่อวี่ล่ะกระมัง”
“เอ๋?”
ถังเสี่ยวซีตะลึง อ้าปากเล็กๆ ยิ้มเขิน “ที่แท้ท่านปู่ก็เดาไว้แล้ว…”
ถังหลันมองหลานสาวสุดที่รักด้วยแววตาอ่อนโยน ยิ้มกล่าว “ฮึ ปู่เองก็มีหูตาที่เมืองหลันเยี่ยนไม่น้อย เจ้ากับเจ้าหนุ่มที่ชื่อหลินมู่อวี่สนิทสนมกัน ข้ารู้ตั้งนานแล้ว เฮ้อ…หลานโตเป็นสาวแล้ว ต้องหาคนดูแล ปู่อย่างข้าควรจะเตรียมสินสอดไว้แต่เนิ่นๆ แล้วสินะ”
“ท่านปู่…”
ถังเสี่ยวซีขมวดคิ้ว “สินสอดช่างมันก่อนเจ้าค่ะท่านปู่ ข้าเป็นห่วงว่าตอนนี้เขาใกล้จะตายอยู่ในเจดีย์ทงเทียนแล้ว!”
“เจ้าเด็กนี่ทำลายหอเลี้ยงดู สังหารทหารรักษาพระองค์หลายนาย ทำร้ายทหารผู้ดูแลหอเลี้ยงดู โทษนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาตายไปหลายครั้งแล้ว การเนรเทศเขาไปที่เจดีย์ทงเทียนนับว่าเป็นการลงโทษสถานเบาแล้ว” ถังหลันแววตาเย็นชาพร้อมกล่าวขึ้น “จะว่าไปเสินโหวเจิ้งอี้ฝานเองก็มีใจคิดจะสังหารหลินมู่อวี่ พวกเราตระกูลถังแห่งชีไห่ ไม่เข้าไปพัวพันได้จะดีกว่า”
ถังเสี่ยวซีเบะปาก น้ำตาคลอเบ้า “ท่านปู่ ในสายตาท่านมีแค่เรื่องอำนาจเท่านั้นหรือเจ้าคะ เสี่ยวซีชอบหลินมู่อวี่ ท่านไม่ทราบหรอกหรือเจ้าคะ”
ถังหลันก็ตกตะลึง สายตาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้น ลูบผมสลวยของหลานสาวอย่างแผ่วเบา กล่าว “เสี่ยวซี พวกเราตระกูลถังมีรากฐานอยู่ที่เมืองชีไห่เฉกเช่นทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ได้มาอย่างง่ายดาย เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าปู่ทุ่มเทไปเท่าไร ถึงแม้ตอนนี้พวกเราจะได้ชื่อว่ามีกองทหารม้าที่แข็งแกร่งเกรียงไกร แต่ก็ไม่ได้มีพลังพอที่จะต่อต้านเสินโหวเจิ้งอี้ฝาน เขาเป็นเทพแห่งการทหารอันดับหนึ่งในใต้หล้า!”
“ท่านปู่!”
ถังเสี่ยวซีกัดริมฝีปาก ดวงตาแดงก่ำ “หากท่านไม่ไปช่วยขอร้องให้หลินมู่อวี่ เสี่ยวซีต้องเสียใจไปทั้งชีวิตแน่ ท่านปู่ ช่วยข้าสักครั้งไม่ได้หรือเจ้าคะ”
ถังหลันสูดลมหายใจเข้า ไม่อาจขัดใจหลานสาวผู้นี้ได้ จึงกล่าวขึ้น “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าไปเก็บสัมภาระ พรุ่งนี้เช้า ปู่จะไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิที่เมืองหลันเยี่ยนกับเจ้า ดีหรือไม่”
“อื้ม ขอบคุณท่านปู่เจ้าค่ะ!” สาวน้อยหยุดร้องและยิ้มออกมา
“รีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้เช้าต้องรีบออกเดินทาง ข้าจะให้คนรับใช้ทำของอร่อยให้เจ้า!”
“เจ้าค่ะ!”
ถังหลันมองถังเสี่ยวซีที่จากไปอย่างมีความสุข กลับต้องถอนหายใจ มองแสงดาวริบหรี่ยามราตรี ก่อนพึมพา “เจ้าเด็กโง่ ชีวิตยังอีกยาวไกล จะลืมใครสักคนไม่ได้ยากเย็นถึงเพียงนั้น…”
……
ในนรกยามนี้ ผู้ที่ถังเสี่ยวซีเป็นห่วงเป็นใยนั้นกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยสักนิด ยังคงหลอมไฟวิญญาณอย่างมีความสุข
“วิ้ง…”
ติ่งหลอมยักษ์กางออก หลินมู่อวี่เร่งปราณยุทธ์ ดูดแสงวิญญาณที่อยู่รอบหินลาวาเข้ามา จากนั้นไม่นานก็ดูดแสงวิญญาณกว่าร้อยสายให้มารวมกัน จากนั้นเริ่มโคจรพลังให้เพียงพอต่อการหลอม ติ่งหลอมอาวุธสั่นเล็กน้อย พร้อมพ่นไฟปฐพีชั้นที่สามออกมาเผา แสงวิญญาณเหล่านั้นบินวนอยู่ในติ่งหลอมอาวุธ ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา ราวกับวิญญาณกำลังถูกหลอม
จากนั้นไม่นาน ใบหน้าหลินมู่อวี่เต็มไปด้วยเหงื่อ
สสารในนรกไม่เหมือนกับบนโลกมนุษย์ อย่างน้อยแสงวิญญาณเหล่านี้ก็ไม่ได้หลอมได้ง่ายๆ พวกมันโจมตีขัดขวางหลินมู่อวี่ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงขนาดทำให้เขาบาดเจ็บภายใน
ผ่านไปหนึ่งคืนเต็มๆ กว่าจะหลอมแสงวิญญาณส่วนนี้จนหมด พวกมันกลายเป็นไฟวิญญาณซึมเข้าไปอยู่ในชั้นส่วนลึกของติ่งหลอมอาวุธ ชั้นที่สี่!
แต่ปริมาณน้อยเกินไป ยังไม่พอที่จะทำให้ติ่งหลอมก่อเกิดเปลวไฟชั้นที่สี่ด้วยตัวมันเอง
ดังนั้นจึงหลอมซ้ำอยู่หลายครั้ง พริบตาเดียวก็ผ่านไปสี่วันแล้ว
“ฟิ้ว ฟิ้ว…”
แสงวิญญาณสองสามสายกลายเป็นเปลวไฟซึมเข้าไปในช่องว่างชั้นที่สี่ของติ่งหลอมอาวุธ ในที่สุดติ่งหลอมอาวุธทั้งใบก็เปล่งแสงออกมา ความรู้สึกเต็มอิ่มแบบประหลาดๆ ทำให้หลินมู่อวี่พบว่าเขาหลอมสำเร็จแล้ว!
การหลอมแสงวิญญาณให้กลายเป็นไฟวิญญาณ ทำให้ติ่งหลอมอาวุธมีเปลวไฟชั้นที่สี่ ไฟวิญญาณ!
มองออกไปที่ไกลๆ ราชาปีศาจเจ็ดประทีปและราชาภูตอัคคีต่อสู้มาแล้วสี่วันสี่คืน ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก ยังคงสู้กันอย่างดุเดือด ดูสถานการณ์แล้วอีกสิบกว่าวันก็สู้กันไม่จบ
หลินมู่อวี่เก็บติ่งหลอมอย่างสบายใจ แล้วไปจับกบเพลิงมาประทังชีวิตต่อ
คำนวณวันเวลาดู ตนเข้ามาในเจดีย์ทงเทียนได้สิบวันแล้ว ยังมีชีวิตอยู่ แถมไม่นึกว่าจะทะลุมิติเข้ามาในนรก นี่ทำให้เขาอดรู้สึกภาคภูมิใจเล็กๆ ไม่ได้ เพียงแต่มองรอยแยกมิติที่อยู่บนท้องฟ้าสูงขึ้นไปประมาณสามสิบเมตร เขาก็เจอเข้ากับปัญหาอีกอย่าง เข้ามาได้อย่างง่ายดาย แต่จะออกไปอย่างไร ตนเองก็บินไม่ได้ กระโดดขึ้นไปได้มากสุดก็แค่สิบกว่าเมตร การกลับออกไปเป็นปัญหาที่ต้องคิดหนักอีกข้อ
“อ๊บๆ…”
กบเพลิงตัวที่หนึ่งอยู่ในมือแล้ว จากนั้นเขาก็ไปจับตัวที่สอง โชคดีที่รอยแยกบริเวณหินมีกบเพลิงเพียงพอ กินอีกหนึ่งเดือนก็ไม่เป็นปัญหา
แต่ผลลัพธ์คือตัวที่สามหาตั้งนานก็ยังหาไม่เจอ กลับเดินเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ในส่วนลึกของรอยแยกหินมีพลังงานความร้อนพุ่งออกมา
เขาเดินต่อไปข้างหน้า อ้อมผนังหิน พลันเบื้องหน้ากลายเป็นสีแดงเพลิง นั่นคือลาวาชั้นใต้ดินลึก เพียงแต่ไม่เหมือนลาวาทั่วไป ท่ามกลางลาวาเหล่านี้มีท่อนแขนที่ไร้รูปร่างหลายอันผสมผสานอยู่ ราวกับมีวิญญาณปีศาจกำลังกรีดร้อง นี่มันตัวอะไรกัน
ลู่ลู่ส่งเสียงขึ้นมาในทะเลจิต “พี่ชาย นี่คือเปลวไฟในนรก น่าจะเรียกได้ว่าไฟหลอมโลกันตร์ ความรุนแรงของเปลวไฟสูงกว่าไฟวิญญาณนิดหน่อย พี่ชาย ท่านลองหลอมไฟโลกันตร์นี้ดู หลอมมันให้มาเป็นไฟหลอมชั้นที่ห้าของติ่งหลอมอาวุธ แบบนี้ติ่งหลอมอาวุธก็จะแสดงความสามารถได้มากยิ่งขึ้น”
“อืม!”
เขาพยักหน้าหนักแน่น หลังกินกบเพลิงเสร็จจึงเริ่มลองหลอมไฟโลกันตร์ทันที และไฟหลอมที่ใช้ก็คือไฟวิญญาณชั้นที่สี่ที่เพิ่งจะหลอมได้มา ไฟวิญญาณมีอุณหภูมิสูงขึ้นและยังบริสุทธ์ขึ้นเมื่ออยู่ในติ่งหลอมอาวุธ นี่คือคุณสมบัติของไฟโลกันตร์ แต่กระบวนการหลอมนั้นก็ไม่ได้สบายแบบนั้น ผ่านไปทั้งคืนก็ยังไม่มีความคืบหน้า แต่ตนเองนั้นกลับเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง
ไม่เป็นไร พยายามต่อไป ถึงอย่างไรก็มีเวลาเหลือเฟือ!
เขานับนิ้วคำนวณวันไปพลาง ลองหลอมไฟโลกันตร์ไปพลาง
ส่วนราชาปีศาจเจ็ดประทีปและราชาภูตอัคคีก็ต่อสู้กันด้วยความสะใจ สู้กันมาหลายวันแล้วก็ยังไม่หยุด ท่าทางเหมือนจะต้องสังหารอีกฝ่ายให้ได้
ดังนั้น นรกชั้นสิบเอ็ดจึงเต็มไปด้วยภาพความสุขที่อธิบายไม่ได้
……
เร่งเดินทางห้าวัน ทหารเกือบห้าพันนายของตระกูลถังแห่งชีไห่ก็มาถึง
ขบวนคนและม้าอันยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นที่นอกเมืองหลันเยี่ยน ไกลออกไป ทหารรักษาพระองค์เฟิงจี้สิงรีบนำคนเข้าไปต้อนรับ ทหารราชองครักษ์หมื่นนายตั้งขบวนต้อนรับอยู่นอกเมือง ภายนอกดูเหมือนเป็นการต้อนรับ แต่ความจริงแล้วทุกคนต่างดูออกว่าเมืองชีไห่นำทหารมามากมายเพียงนั้น กองทหารรักษาพระองค์จึงต้องเตรียมระวังไว้
เฟิงจี้สิงในชุดคลุมขาวควบม้าขึ้นมาข้างหน้า ประสานมือคำนับ “ข้าน้อยเฟิงจี้สิงคารวะท่านหลันกง!”
ถังหลันโบกมือ ยิ้มกล่าว “ผู้บัญชาการเฟิงไม่ต้องมากพิธี”
“ท่านหลันกง…” เฟิงจี้สิงถามหยั่งเชิง “ครั้งนี้ท่านหลันกงนำทหารม้าห้าพันนายมาที่เมืองหลันเยี่ยนด้วยเรื่องอันใดหรือขอรับ”
ถังหลันตอบ “ก็เพราะเสี่ยวซีนั่นแหละ เฮ้อ เด็กคนนี้เอาแต่ใจเกินไปแล้ว หากข้าไม่มาขอความเมตตาให้หลินมู่อวี่ เสี่ยวซีคงไม่ต้องการปู่คนนี้แล้วล่ะ…”
ถังเสี่ยวซีหน้าแดง “ท่านปู่ ท่านพูดอะไรน่ะ ข้าจะไม่ต้องการท่านได้อย่างไรกัน!”
เฟิงจี้สิงหัวเราะฮ่าๆ “ในเมื่อท่านหลันกงมาเพื่อขอความเมตตาให้อาอวี่ เช่นนั้นข้าน้อยยินดีนำทาง ท่านหลันกงโปรดตามข้ามาเถิดขอรับ!”
“ช้าก่อน ผู้บัญชาการเฟิง”
ถังหลันชี้ไปที่ทหารม้าของเมืองชีไห่ที่อยู่ด้านหลัง กล่าวขึ้น “ให้ทหารม้าห้าพันนายนี้รักษาการณ์อยู่นอกเมืองเถอะ ข้าและเสี่ยวซีตามท่านไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็พอแล้ว”
เฟิงจี้สิงเผยสีหน้าขอบคุณ “ขอบคุณท่านถังหลันที่เข้าใจความลำบากใจของข้าเฟิงจี้สิง”
“ฮ่าๆ พวกข้าก็เป็นขุนนางของจักรวรรดิ เป็นธรรมดาที่ต้องคำนึงถึงฝ่าบาท!”
“ไปกันเถอะขอรับท่านหลันกง ข้าน้อยจะนำทางเอง”
“ได้!”
……
เมื่อถังหลันมาถึงตำหนักเจ๋อเทียน คาดไม่ถึงว่าฉินจิ้นจะทรงเสด็จออกมาต้อนรับด้วยพระองค์เอง เห็นชัดว่าจักรวรรดิให้ความสำคัญกับเมืองซีไห่เป็นอย่างมาก หลังจากเชิญถังหลันเข้ามาในตำหนักแล้ว ฉินจิ้นแย้มพระโอษฐ์เหมือนทรงคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว “ท่านถังหลันคงมาเพราะเรื่องหลินมู่อวี่ใช่หรือไม่”
ถังหลันพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสี่ยวซีและหลินมู่อวี่สนิทสนมกันเป็นอย่างดี เฮ้อ…ปู่อย่างกระหม่อมไม่อาจขัดใจได้จริงๆ ตามใจนางมาตั้งแต่เด็กจนเสียนิสัยไปแล้ว!”
ฉินจิ้นอดแย้มพระสรวลไม่ได้ “จะได้อย่างไรกัน เสี่ยวซีทั้งเฉลียวและฉลาด ทั้งยังมีจิตใจงดงาม นี่เป็นเรื่องที่ดี! เพียงแต่ท่านถังหลัน หลินมู่อวี่เข้าเจดีย์ทงเทียนสิบวันแล้ว…ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวอะไร นี่…”
ถังหลันกราบทูล “กระหม่อมมิบังอาจ เพียงแต่ขอให้ฝ่าบาทลดระยะเวลาลงมาสักเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ จากสามสิบวันเป็นยี่สิบวัน เป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ เช่นนี้กระหม่อมก็นับว่ามีคำอธิบายให้เสี่ยวซีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ถังเสี่ยวซีที่อยู่ด้านข้าง มองฉินจิ้นตาเป็นประกายด้วยความหวัง “ฝ่าบาท ขอทรงพระเมตตาด้วยเพคะ!”
ฉินจิ้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองเหล่าขุนนางที่อยู่ด้านข้าง ก่อนตรัสถาม “ถังหลันมาขอร้องด้วยตนเอง เจิ้งชิง หลัวซิ่ง ท่านสองคนมีความเห็นอะไรหรือไม่”
เจิ้งอี้ฝานสีหน้าไม่สู้ดี ประสานมือก่อนกราบทูล “แล้วแต่ฝ่าบาทจะทรงตัดสินพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
หลัวซิ่งเองก็ตามน้ำ “กระหม่อมก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นอดทรงพระสรวลไม่ได้ “เช่นนั้นก็ดี เฟิงจี้สิงรับคำสั่ง สิบวันหลังจากนี้ไปเปิดประตูเจดีย์ทงเทียน หากหลินมู่อวี่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ปล่อยตัวเขาไป ให้เขากลับมารับคำสั่งโยกย้ายที่ตำหนักเจ๋อเทียน”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ!” เฟิงจี้สิงยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ฉินจิ้นหันพระวรกายกลับ พระพักตร์เผยความยินดี เช่นนี้ เขาก็มีคำอธิบายให้บุตรีฉินอินแล้ว เพียงแต่หลินมู่อวี่ไม่มีความเคลื่อนไหวมาหลายวัน โอกาสรอดนั้นมีน้อยมาก