EP.145****ไอ้ลูกวัว
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบกว่าวัน
ด้านล่างเจดีย์ทงเทียน ทหารราชองครักษ์นับพันถือหอกตั้งแถวเป็นขบวนเฝ้ารออยู่ ธงโบกพลิ้วปลิวสะบัดอย่างยิ่งใหญ่
เฟิงจี้สิงกำดาบสะบั้นวาโย ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ตะโกนขึ้น “ทหาร เปิดประตู!”
“ขอรับ ใต้เท้า!”
ทหารรักษาพระองค์สองนายถือกุญแจเดินขึ้นไปข้างหน้า ไขประตูใหญ่ ทันทีที่ประตูเปิดออก กระแสลมเย็นสายหนึ่งก็พัดออกมา จนนายทหารทั้งสองหน้าซีดขาวผงะถอยไปหลายก้าว
“อาอวี่ล่ะ”
ฉินอินขมวดพระขนงงาม ทรงชักกระบี่อยู่บนหลังม้า พระวรกายถูกปกคลุมด้วยประกายแสงของโซ่เทวะ พระองค์ค่อยๆ เดินไปทางเจดีย์ทงเทียนทีละก้าว
“องค์หญิง ทรงระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินเหลยถือดาบอัสนีทลายตามมาอย่างรวดเร็ว ด้านข้าง ถังเสี่ยวซีเองก็ชักกระบี่ออก และตามมาติดๆ ด้วยเหมือนกัน
ฉินอินทรงยืนอยู่หน้าประตูที่มืดสนิท พระพักตร์งดงามเต็มไปด้วยความกังวลและเคร่งเครียด ทรงตะโกนขึ้นเบาๆ “อาอวี่ เจ้าอยู่หรือไม่ อาอวี่…เจ้ารีบออกมาเถอะ…”
ที่ด้านข้าง นายกองของค่ายเสินเวยนายหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความนอบน้อม “องค์หญิง ตั้งแต่เมื่อสิบวันก่อน เจ้าเด็กนี่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมวางอาหารและน้ำไว้ที่ชั้นหนึ่งก็ยังอยู่ที่เดิม ทรงทอดพระเนตร วางไว้ตรงนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีการขยับแม้แต่นิดเดียวเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ตรงประตูทางเข้า เสบียงสามถุงและถุงน้ำที่วางไว้ยังคงวางอยู่ตรงนั้นอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีการถูกขยับ
“เป็นไปไม่ได้…”
ฉินอินทรงปวดร้าวในพระทัยเหมือนถูกมีดกรีด ก้าวเท้าพุ่งเข้าไปด้านในของเจดีย์
“เสี่ยวอิน!” พระสุรเสียงของฉินจิ้นดังขึ้นด้านหลัง น้ำเสียงพระองค์ทรงดุดันมาก “เจ้าเข้าไปไม่ได้!”
จังหวะนั้น พระวรกายของฉินอินเคลื่อนไหวไม่ได้ พลังไร้ลักษณ์สายหนึ่งแผ่เข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบ นั่นเป็นพลังของขอบเขตปราชญ์
เหลยหงในชุดขาวเดินออกมาจากกลุ่มคนอย่างช้าๆ กล่าวขึ้น “องค์หญิง หลินมู่อวี่ไม่ได้อยู่ในเจดีย์ทงเทียนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่รู้สึกถึงลมปราณของเขา ทรงยอมแพ้เถอะพ่ะย่ะค่ะ…”
ระหว่างที่พูด เหลยหงถอนหายใจคราหนึ่ง ใบหน้าชราดูแก่ขึ้นหลายปีในพริบตาเดียว
“ไม่จริง…” ฉินอินยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
ถังเสี่ยวซีกัดฟันแน่น น้ำตาคลอเต็มเบ้า ดวงตาคู่งามจ้องไปที่เจดีย์ทงเทียน ร้องไห้เงียบๆ “หลินมู่อวี่ เจ้าไม่ใช่คนที่จะตายง่ายแบบนี้ บอกข้ามาว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ทว่าในเจดีย์ที่ว่างเปล่าไม่มีผู้ใดตอบนางกลับมา
ฉินจิ้นยกพระหัตถ์ขึ้น กล่าว “องครักษ์อวี้หลิน เข้าไปค้นหา แต่ห้ามขึ้นไปที่ชั้นสอง”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
องครักษ์อวี้หลินหลายนายควบม้าเข้าไป ด้านหน้าสุดก็คือฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เขากระโดดลงจากม้า พุ่งเข้าไปในเจดีย์ทงเทียนชั้นที่หนึ่ง เบิกตามองหา “อาอวี่! อาอวี่! เจ้าออกมานะ!”
แต่รอบด้านนั้นว่างเปล่า ไหนเลยจะมีหลินมู่อวี่
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนมองไปที่ขั้นบันไดที่จะนำไปสู่ชั้นที่สอง เขากัดฟันกรอดแล้วจับกระบี่พุ่งขึ้นไป องครักษ์อวี้หลินสองนายด้านหลังรีบกล่าว “ใต้เท้าฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ห้ามขึ้นชั้นสองนะขอรับ เป็นรับสั่งของฝ่าบาท!”
แต่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยังคงพุ่งขึ้นไปที่ชั้นสอง กวาดตามอง เห็นแต่กองกระดูกสีขาว
“อาอวี่…” เขาสับสนทันที ยืนตะลึงนิ่งอยู่ตรงนั้น “อาอวี่…ทำไมเจ้าถึงจากไปแบบนี้…เจ้ารู้ไหมว่าอาเหยากำลังรอเจ้ากลับไป เจ้าเด็กเวรไม่รักษาคำพูด! เจ้า…”
ด้านหลัง องครักษ์อวี้หลินนายหนึ่งกล่าวเสียงเบา “พี่ฉู่ พอเถอะ ขึ้นไปต่อไม่ได้แล้ว มิเช่นนั้นฝ่าบาทจะเอาผิดท่านได้”
ไม่นานนัก ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและองครักษ์อวี้หลินสามนายออกมาจากเจดีย์ทงเทียน หน้าซีดไร้ชีวิตชีวาและสิ้นหวัง
ฉินอินและถังเสี่ยวซีจึงทราบคำตอบแล้ว
“แซ่ก แซ่ก…”
ฉินจิ้นในชุดมังกรทรงลงจากหลังม้า เสด็จมาข้างฉินอิน ทรงประคองไหล่ของบุตรี ตรัสด้วยเสียงอ่อน “ฉินอิน ยอมแพ้เถอะ หลินมู่อวี่ไม่อาจทนผ่านยี่สิบวันได้ กลับไปกับพ่อเถอะ”
“ไม่”
ฉินอินกัดพระโอษฐ์ ดวงเนตรคู่งามเปล่งประกายเด็ดเดี่ยว ตรัสขึ้น “นี่เพิ่งจะยี่สิบวัน ยังไม่ครบหนึ่งเดือน อาอวี่ต้องออกมา ท่านพ่อเสด็จกลับไปเถอะเพคะ หม่อมฉันจะเฝ้าอยู่ที่นี่”
ฉินจิ้นถอนหายใจ “ก็ได้…ครบสามสิบวันเจ้าต้องกลับตำหนักเจ๋อเทียน! ใต้เท้าเหลยหง ท่านอยู่ที่นี่รับหน้าที่คุ้มกันองค์หญิงอินเถอะ”
เหลยหงประสานมือ “กระหม่อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นเหลือบมองถังเสี่ยวซี ก่อนตรัสถาม “เสี่ยวซี เจ้าเองก็จะอยู่ที่นี่ด้วยใช่หรือไม่”
สายตาของถังเสี่ยวซีมีประกายความเกลียดชัง นางไม่หันไปมององค์จักรพรรดิ เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ หากหลินมู่อวี่ตายอยู่ในเจดีย์ทงเทียนจริง ใครเป็นคนผิดอันดับแรก บางทีในใจของถังเสี่ยวซี ก็คือจักรพรรดิตรงหน้าผู้นี้แหละ
สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านชุดคลุมของฉินอินและถังเสี่ยวซี หญิงงามทั้งสองดึงดันที่จะอยู่ด้านล่างของเจดีย์ รอคอยหลินมู่อวี่ที่ไม่รู้จะปรากฏตัวหรือไม่
……
พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกหลายวัน ในนรกยังคงมีเสียงต่อสู้กันไม่ขาด การต่อสู้ของราชาปีศาจเจ็ดประทีปและราชาภูตอัคคีใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ปราณของทั้งสองอ่อนลงไปมาก ส่วนในชั้นหินส่วนลึกของภูเขา หลินมู่อวี่ยังคงฝึกพลังต่อไป
ลาวาสีแดงพุ่งทะลักขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ปะปนด้วยพลังงานวิญญาณหลายสาย ความร้อนที่แผดเผาโจมตีใส่ร่างของหลินมู่อวี่ไม่หยุดหย่อน และเขาก็ยังคงไม่ขยับ แขนทั้งสองข้างกางออกบังคับควบคุมติ่งหลอมอาวุธ ทำให้มันดูดซับและหลอมไฟโลกันตร์ที่ทะลักขึ้นมาไม่หยุด
เขาหลับตาลง ปล่อยให้ไฟโลกันตร์ทะลุผ่านผิวหนังเข้าสู่เส้นชีพจร เซลล์ทุกอณูในร่างกายถูกไฟโลกันต์หลอมอย่างรวดเร็ว ประกายสีแดงที่ร้อนแรงเปล่งออกมาจากชั้นผิวหนัง ผิวหนังทั้งร่างเปล่งประกายราวกับทารกแรกเกิด
“อ่า…”
เขาผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
ไฟโลกันต์ หลอมสำเร็จแล้ว!
เขานับนิ้วคำนวณ นี่วันที่ยี่สิบแล้วที่เขามายังนรกชั้นสิบเอ็ด สิบหกวันเต็ม ในที่สุดก็หลอมรวมไฟโลกันต์ได้แล้ว และทำให้ติ่งหลอมอาวุธมีเปลวไฟชั้นที่ห้าได้สำเร็จ!
เพียงแต่หลินมู่อวี่ไม่ได้รู้สึกดีใจ เพราะเขารู้สึกได้ว่าระดับกลิ่นอายความแข็งแกร่งของราชาปีศาจเจ็ดประทีปสามารถบดขยี้ราชาภูตอัคคีได้ นี่ไม่ใช่เรื่องดี ในเมื่อวิญญาณของราชาปีศาจเจ็ดประทีปจะถูกปล่อยออกมาจากทะเลจิต เช่นนั้นมันต้องไม่ยอมกลับเข้าไปดีๆ เป็นแน่ บางทีหลังจากสังหารราชาภูตอัคคีแล้ว ก็อาจเป็นการต่อสู้แย่งชิงร่างของเขาแทนก็เป็นได้
หลินมู่อวี่ถือกระบี่เหลียวหยวนออกมาจากชั้นหินอย่างรวดเร็ว ที่ห่างออกไปนั้น มือทั้งสองข้างของราชาปีศาจเจ็ดประทีปเต็มไปด้วยพลังดวงดารา กำลังปล่อยหมัดโจมตีใส่ร่างของราชาภูตอัคคีจนแตกเป็นเสี่ยง ต่อสู้ดุเดือดกันมากว่าครึ่งเดือน ราชาภูตอัคคีอ่อนแรงมาก ไหนเลยจะมีพลังต้านทาน กลับกลายเป็นราชาปีศาจเจ็ดประทีปที่ยิ่งต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น มันโจมตีเข้าที่ลำตัวช่วงล่างของราชาภูติอัคคีจนแตกเป็นผุยผง!
“ไอ้ราชาปีศาจเจ็ดประทีป เจ้าเดรัจฉาน!” ราชาภูตอัคคีคำรามด้วยความโกรธแค้น
ราชาปีศาจเจ็ดประทีปกลับยิ้มอย่างชั่วร้าย “ภูตอัคคี ข้าต้องขอบใจเจ้ามาก หากไม่มีพลังของเจ้า ข้าคงไม่ได้รับอิสระใหม่อีกครั้ง ขอบใจเจ้ามากจริงๆ เพื่อนยาก!”
“เจ้าพูดอะไร?!” ราชาภูตอัคคีงุนงง
วินาทีถัดมา ราชาปีศาจเจ็ดประทีปกระโจนตัวขึ้น กำปั้นสองข้างอัดแน่นด้วยพลังเจ็ดประทีปพลิกดารา และโจมตีลงมาอย่างรุนแรง ตรงเข้าใส่ร่างของราชาภูตอัคคีจนกลายเป็นผุยผง แก่นพลังทั้งหมดรวมตัวกันเป็นวิญญาณที่มีประกายสีแดงเลือดสายหนึ่ง ราชาปีศาจเจ็ดประทีปพุ่งตัวลงมาอย่างรวดเร็ว มันอ้าปาก เริ่มการดูดซับด้วยสีหน้าที่โหดเหี้ยม!
กลืนกิน!
แค่ไม่กี่วินาที ราชาปีศาจเจ็ดประทีปก็กลืนกินวิญญาณของราชาภูตอัคคีจนหมด พลังวิญญาณของมันพลันแข็งแกร่งขึ้นมาหลายเท่าตัว มันหันกลับมาเห็นหลินมู่อวี่ อดยิ้มหยันไม่ได้ “หลินมู่อวี่ วันดีๆ ของเจ้ามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว”
หลินมู่อวี่ยกกระบี่ขึ้น ใบหน้าเคร่งเครียด รีบเรียกวิญญาณยุทธ์และกำแพงน้ำเต้าออกมา
“โฮก!”
ราชาปีศาจเจ็ดประทีปคำรามพร้อมพุ่งเข้ามา ในกำปั้นมีพลังดวงดาราอันทรงพลัง ระเบิดเสียงคำราม “เจ็ดประทีปพลิกดารา!”
ความจริงแล้วการคิดไม่ซื่อของราชาปีศาจเจ็ดประทีปนี้อยู่ในการคาดการณ์ของหลินมู่อวี่อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงตอบสนองอย่างรวดเร็ว ขาข้างหนึ่งกระทืบพื้น ติ่งหลอมอาวุธใบยักษ์ก็ปรากฏขึ้นมาโดยพลัน ล้อมตัวเขาและราชาปีศาจเจ็ดประทีปเอาไว้ตรงกลาง ไฟหลอมชั้นที่ห้า ไฟโลกันตร์ ร่วงลงมาจากท้องฟ้า ล้อมตัวราชาปีศาจเจ็ดประทีปไว้อย่างกำแหง
ไม่เพียงแค่นี้ หลินมู่อวี่ยกมือสองข้างขึ้น กลางฝ่ามือสะท้อนภาพของสรรพสิ่งบนโลก เขากระโจนออกไป ปล่อยหมัดทั้งสองข้างโจมตีพร้อมกัน!
สามประทีปทรกรรมชีวี!
“เปรี้ยง!”
เสียงดังสนั่นสะเทือนไปทั่วมิตินรก เดิมร่างของราชาปีศาจเจ็ดประทีปที่อยู่กลางติ่งหลอมอาวุธก็ถูกดึงพลังออกไปเกือบเก้าส่วนแล้ว แถมในสภาพวิญญาณแบบนี้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งพอ ทั้งยังเจอกับการโจมตีด้วยประทีปที่สามที่หลินมู่อวี่เพิ่งจะสำเร็จ ร่างวิญญาณของมันจึงพลันแตกสลาย สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า…เจ้าหลอมไฟโลกันตร์ได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว”
หลินมู่อวี่คำรามออกมาก็เพิ่มพลังให้ติ่งหลอมอาวุธจนถึงขีดสุด และหลอมร่างขแงราชาปีศาจเจ็ดประทีปให้กลายเป็นปราณวิญญาณสายหนึ่งทันที แต่ราชาปีศาจเจ็ดประทีปนั้นยังเฉลียวฉลาด รีบบินเข้าไปในทะเลจิตของหลินมู่อวี่อย่างรวดเร็ว หนีอันตรายจากการถูกหลินมู่อวี่หลอมทิ้ง
“เป็นยังไง จะยอมไหม” หลินมู่อวี่ถามขึ้นในทะเลจิต
ราชาปีศาจเจ็ดประทีปพ่นคำด่าออกมา “ข้าไม่ยอมแพ้ ไอ้ลูกวัว ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
เนื่องจากคนกับปีศาจด่ากันในทะเลจิตเป็นประจำ ราชาปีศาจเจ็ดประทีปจึงหัดสำเนียงตงเป่ยมาโดยไม่รู้ตัว จึงด่าได้อย่างเจ็บแสบรุนแรง
……
หลินมู่อวี่ไม่ไปสนใจราชาปีศาจเจ็ดประทีปอีก เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับสมดุลชีพจร เงยหน้ามองดวงตาปีศาจบนฟ้า รอยแยกมิตินี้ยังมีสายฟ้าและลมพายุเหมือนเดิม แต่มันอยู่สูงเกินไป อีกทั้งตนเองก็เป็นคนธรรมดา จึงไม่อาจกระโดดเข้ารอยแยกมิติได้ภายในครั้งเดียว แล้วยังไม่รู้ว่าอีกด้านของรอยแยกมิติจะมีอะไรรอคอยตนอยู่กันแน่
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาพึมพำ ปล่อยฌาณสัมผัสให้ทะลุผ่านเข้าไปในรอยแยกมิติ เป็นไปตามที่คิด ที่อีกด้านหนึ่งมีมารโลหิตและชื่อกุ่ยกำลังตั้งหน้าตั้งตารออยู่ พวกเขาก็กำลังมองตนอยู่ ทันทีที่เขาทะลุมิติกลับไป จะต้องเผชิญกับการโจมตีของมารโลหิตและชื่อกุ่ย ถึงแม้ตนเองจะพัฒนาขึ้น แต่ก็ไม่ใช่การต่อสู้ของคนสองคน ขนาดแค่ชื่อกุ่ยคนเดียวก็ยากจะต้านทานแล้ว
เขาตัดสินใจแล้ว มองไปรอบด้าน หยิบก้อนหินใหญ่สองก้อนขึ้นมา จากนั้นมองไปที่ดวงตาปีศาจบนฟ้า สูดลมหายใจ เร่งปราณยุทธ์แล้วขว้างก้อนหินทั้งสองก้อนออกไป!
“เปรี้ยง!”
เขาย่อตัวลงแล้วดีดตัวขึ้น ร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศ เหยียบหินก้อนแรกด้วยเท้าเปล่าอย่างรุนแรงจนหินแตก อาศัยแรงนี้ดีดตัวขึ้นต่อไปได้อีกสิบเมตร แล้วเหยียบก้อนหินก้อนที่สองอย่างแม่นยำ กระโดดสูงขึ้นไปได้อีกสิบเมตร พุ่งตรงเข้าไปในรอยแยกมิติ ทันใดนั้นกระแสความร้อนก็แผดเผาร่างกายเขา นั่นคือกระแสเวลา!
ต้องอดทนต่อความเจ็บปวดการจากทะลุมิติครั้งที่สองนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะอย่างไรเสียก็มีสายเลือดมังกรปกป้องร่างกายอยู่