ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 84 ชีวิตดั่งละคร ทุกอย่างคือการแสดง!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เมื่อมองอาหู่ที่ราวกับกำลังกัดโดนลิ้น เยี่ยนจ้าวเกอก็หัวเราะพลางส่ายหน้า “เหตุใดเจ้าถึงต้องตื่นตระหนกถึงขนาดนั้น”

“นำข้อมูลที่ตอนนี้รู้แล้ว กับการคาดเดาของข้ารายงานให้กับเบื้องบนก็เป็นอันใช้ได้ ท้ายที่สุดถ้าหากวางแผน จะตัดสินอย่างไร พวกเรารอการแจ้งมาอีกครั้งก็พอ”

“ถ้าจะมาเปิดการแสดงละครชุดใหญ่ เช่นนั้นพวกเราก็แสดงกันต่อไปเถอะ”

“หากต้องการจะปกปิด เช่นนั้นที่ใดปลอดภัยพวกเราก็จะไปหลบซ่อนที่นั่นทันที อย่างไรเสียที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่อัคคีพิภพ ต่อให้คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีใจคิดจะขุดดินลึกสามฉื่อลากข้าออกมา ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”

เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ อาหู่ก็ขยับปากพูดราวกับปวดฟัน “คุณชายขอรับ ครั้งนี้เหมือนจะเล่นใหญ่เกินไปหน่อยนะขอรับ ในสถานการณ์ปกติแล้วไม่ใช่คนในระดับพวกเราจะเข้ามามีส่วนร่วมได้”

“หากไม่รอบคอบแค่ครั้งเดียว ต่อให้โดยรวมแล้วเขากว่างเฉิงจะได้รับชัยชนะ แต่ตัวท่านก็อาจจะต้องชดใช้นะขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมา “การทุ่มเทจะคุ้มค่าหรือไม่ ก็ต้องดูว่าผลตอบแทนนั้นใหญ่พอหรือไม่”

ชายหนุ่มหุบรอยยิ้มลง แล้วกล่าวอย่างช้าๆ “ไม่ว่าจะมาอีกกี่ครั้งข้าก็จะฆ่าเซียวเซิงเสีย ไม่ยั้งมือโดยเด็ดขาด”

“แต่ด้วยความสามารถโดยรวมของสำนักแล้ว สำนักของเรายังด้อยกว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์อยู่ขั้นหนึ่ง ถ้าหากไม่หาวิธีทิ้งระยะห่าง หรือทำได้เพียงแค่ทำตามบทเล่นตามน้ำแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็คงจะด้อยกว่าไปเรื่อยๆ”

“อย่างไรเสียสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังก้าวหน้า ไม่มีทางยืนรอพวกเราอยู่ที่เดิม กลับกันพวกเขาอาจจะอาศัยข้อได้เปรียบที่นำหน้าอยู่ตัดทอนกำลังของพวกเราให้มากที่สุด”

เขามองไปทางอาหู่ “ว่าแต่เจ้า อย่าเสี่ยงอันตรายเป็นเพื่อนข้าอีกเลย ปลาเน่าตัวเดียวจะได้ไม่เหม็นทั้งบ่อ”

อาหู่ยิ้มอย่างจริงใจ “ข้าย่อมต้องการติดตามท่านไปอยู่แล้ว”

“อีกอย่าง หากข้างกายท่านไม่มีใครสักคนอยู่ด้วย นั่นก็อาจจะผิดปกติเกินไป”

“รีบเคลื่อนตัวออกจากหุบเขาวายุวิญญาณทันที พูดอีกอย่างก็คือ หากยังจดจ่ออยู่กับสถานการณ์ของถังตะวันออก ฝ่ายตรงข้ามอาจจะสงสัยได้ ทว่าท่านกลับเคลื่อนไหวเพียงผู้เดียว ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องรู้ตัวทันทีแน่ ว่ามีคนล่วงรู้แผนการของพวกเขา”

เยี่ยนจ้าวเกอตบบ่าของเขา “ไปส่งข่าวก่อนเถอะ จากนั้นค่อยวางแผนกันอีกที”

อาหู่ผงกศีรษะ “ขอรับ คุณชาย”

กลุ่มคนของเขากว่างเฉิงเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ตลอดทาง เพื่อหลบหลีกสายตาของจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

ฝ่ายของตนมีกิจการอันใดอยู่ที่ถังตะวันออกบ้าง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็รู้อยู่แก่ใจอยู่พอควร จึงสังเกตการณ์ทุกอย่างอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางกลับเข้าสู่เมืองชมตะวัน

ทว่าอย่างไรเสียเขากว่างเฉิงก็ดำเนินกิจการอยู่ ณ ที่แห่งนี้มาหลายปี อีกทั้งยังมีจ้าวซื่อเฉิง ราชาอาณาจักรถังตะวันออกสนับสนุนอีก สถานที่และกิจการที่เป็นความลับบางอย่างก็เป็นสิ่งที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจทราบได้

เป็นอย่างเช่นที่เยี่ยนจ้าวเกอคิดทั้งหมด ตนเองคิดซ่อนตัวที่นภาพิภพ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ยากที่ค้นหาให้พบได้ในเวลาอันสั้น

นอกเสียจากว่าถังตะวันออกจะอยู่ในกำมือของพวกเขาโดยสิ้นเชิงแล้ว เช่นนั้นพวกเขาถึงจะค่อยๆ ค้นหาอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม

หลังจากนั้นไม่กี่วัน สวีชวนก็มาพบเยี่ยนจ้าวเกอ “นายน้อยเยี่ยน พวกราชาอาณาจักรจ้าวไปที่ตำหนักของจ้าวซื่อเลี่ย จิ่นอ๋องแล้ว!”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางกล่าวว่า “ไปก็ดีแล้ว”

“พวกเราซ่อนตัวไม่กลับเมืองชมตะวันก็ยังพอจะเข้าใจได้ แต่การที่ราชาอาณาจักรเช่นเสด็จลุงจ้าวกลับไม่กลับไปยังเมืองหลวงนั้นก็ยากที่จะไม่ทำให้ผู้คนสงสัยได้”

“แต่นี่ไปตำหนักเจ้ากบฏต่ำช้าจ้าวซื่อเลี่ยรอบหนึ่ง ไปกลับหนึ่งรอบ ยื้อเวลายื้อได้สะอาดไม่เหลือร่องรอย”

“จ้าวซื่อเลี่ยถูกเสด็จลุงเล่นงานจนบาดเจ็บ ตัดขาดจากการเชื่อมต่อกับเขตอาคมโดยสิ้นเชิง”

“เมื่อไม่มีเขตอาคมแล้ว เขาอยู่ที่เมืองชมตะวันก็ราวกับเป็นสุนัขที่ถูกปิดประตูล้อมตีทำได้แค่เพียงถอยกลับไปที่ตำหนักของตนเองเท่านั้น เพื่อรอโอกาสอีกครั้ง”

“รอให้การประมือระหว่างทะยานบูรพาและท่านผู้อาวุโสฉิน ถึงจุดที่จะตัดสินแพ้ชนะ”

เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตนเอง “สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์สนับสนุนจ้าวซื่อเลี่ย คงจะมีทรัพยากรไม่น้อย”

“เสด็จลุงบุกยึดฐานที่มั่นของเขาและได้ในสิ่งที่ต้องการ แล้วก็ใช้เป็นที่พักฟื้นสถานที่ที่ถูกทำลายจากสงครามได้พอดี”

สวีชวนได้ยินดังนั้นก็ผงกศีรษะ “จ้าวซื่อเลี่ยแย่งชิงเขตอาคมชมตะวันไปไม่ได้ ความสามารถที่สามารถใช้ได้กับสงครามครั้งนี้ ก็เป็นสิ่งที่มีจำกัดมากแล้ว”

“ในสถานการณ์ที่แม้แต่ยอดฝีมือระดับยอดฝีมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยังยากที่จะเอาตัวรอดได้ เกิดกว่าครึ่งคงไม่มีกะจิตกะใจจะมาสนใจเขา จ้าวซื่อเลี่ยจึงทำได้เพียงซ่อนตัวก่อน รออยู่นิ่งๆ จนตอนที่สถานการณ์มั่นคงแล้วค่อยออกมาอีกครั้ง”

“หากประจันทะยานบูรพาและยอดฝีมือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ได้รับชัยชนะแล้ว ถึงตอนนั้นก็ยากที่จะรักษาเมื่อชมตะวันเอาไว้ได้ จ้าวซื่อเลี่ยสามารถตามหลังทะยานบูรพาหวนกลับมามีอำนาจอีกครั้งได้”

“หากพวกทะยานบูรพาพ่ายแพ้ เช่นนั้นจ้าวซื่อเลี่ยก็คงจะต้องตัดสินใจเด็ดขาดถอยไปอยู่ที่อัคคีพิภพ ขอการคุ้มครองจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์”

สวีชวนมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความรู้สึกลังเลอยู่บ้าง “แต่ว่า อย่างที่นายน้อยเยี่ยนคิด สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่มากกว่าที่พวกเราคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้อีก ดูเหมือนจะมีแผนการอย่างอื่น ที่ตำหนักของจ้างซื่อเลี่ยทางนั้น…”

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า “พวกเขาไม่สนใจจ้าวซื่อเลี่ยแล้วล่ะ”

“ยิ่งไปกว่านั้น…” เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลง “ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็สังหารเซียวเซิงไปแล้ว เป้าหมายหลักของฝ่ายตรงข้ามในตอนนี้คือข้า”

กล่าวจบเจาก็หันศีรษะไปมองสวีชวน “ลำบากท่านผู้อาวุโสสวีและผู้ร่วมสำนักคนอื่นๆ แล้วขอรับ ที่ร่วมเสี่ยงอันตรายไปกับข้า”

สวีชวนยิ้มเล็กน้อย “นายน้อยกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเชื่อว่านายน้อยเยี่ยนสามารถเปลี่ยนความทุกข์ยากที่พบให้กลายเป็นความโชคดีได้”

เยี่ยนจ้าวเกอมองเขาแวบหนึ่ง “ท่านมองสิ่งใดออกหรือ? ”

สวีชวนส่งกระแสจิตไปว่า ‘แม้ว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะมียอดฝีมือออกมาเคลื่อนไหว แต่นายน้อยเยี่ยนน่าจะมีที่พึ่งหนุนหลังอยู่ใช่หรือไม่’

‘นายน้อยเยี่ยนสังหารเซียวเซิง น่าจะเป็นแค่สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย แต่เดิมเป้าหมายที่เจาะจงไว้ อาจจะไม่ใช่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ข้าเดาว่าเป็น…’

นิ้วมือของสวีชวนเขียนอักษร ‘เหยียน’ กลางอากาศ

เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้าอย่างช้าๆ “เรื่องเกี่ยวข้องกับความลับสำคัญ แม้แต่ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วเป็นสถานการณ์เช่นไร”

“แต่ว่า ท่านอย่าเพิ่งรีบมองในแง่ร้ายจะดีที่สุด หากร่วมเดินทางไปกับข้า สถานการณ์ที่จะต้องเผชิญหน้า มีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะแย่ยิ่งกว่าผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่ท่านคาดการณ์ไว้ก็ได้”

สวีชวนได้ยินดังนั้นก็ตระหนกอยู่บ้าง

ทว่าเขาก็ไม่ได้ปากมากถามต่อไปอีก แต่ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสกิจปฏิบัติแห่งถังตะวันออกคนหนึ่ง เมื่อมีศัตรูภายนอกย่างกรายเข้ามาในถังตะวันออก ข้าก็คงจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต่อให้อาจจะต้องสิ้นชีพด้วยเหตุนี้ ก็เป็นภัยพิบัติที่ชีวิตนี้ควรมี”

เยี่ยนจ้าวเกอโบกไม้โบกมือ “แม้จะพูดเช่นนี้ แต่บางครั้ง การยอมปล่อยมือก็เป็นการกระทำที่ฉลาด การรบราไม่ใช่ความผิดแต่ก็ไม่ควรมี”

“ส่วนข้านั้น ข้าเกิดที่เขากว่างเฉิง ท่านพ่อเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนัก ข้าได้รับความรุ่งเรืองของสำนัก เสพสุขกับทรัพยากรที่สำนักสนับสนุนให้ ได้รับอ้อมแขนของสำนักช่วยข้าต้านลมต้านฝน”

“เช่นนั้น เมื่อถึงคราวที่ข้าจะต้องยืนขึ้นเพื่อทุ่มเทให้กับสำนักแล้ว ข้าก็จะไม่ถอยเป็นแน่”

“เรื่องที่จะส่งตัวเองไปตายเปล่าๆ ตายอย่างไร้ค่าข้าไม่ทำอย่างแน่นอน แต่ถ้าต้องแบกรับความเสี่ยงอันเตราย ข้าก็ไม่ถือ”

เยี่ยนจ้าวเกอมองไปที่สวีชวน “แต่พวกท่านไม่จำเป็นต้องไปกับข้า”

สวีชวนกล่าวตอบอย่างหนักแน่ว่า “นายน้อยเยี่ยนวางใจ ข้ารู้กฎระเบียบดี สิ่งที่ไม่ควรถามข้าก็จะไม่ปากมาก”

“ส่วนคนอื่นๆ ตรงนั้น ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ ข้าก็จะไม่บังคับ ขณะเดียวกันก็จะเตรียมการเอาไว้ให้ดี รับประกันว่าจะไม่ทำให้ผู้อื่นสงสัย”

“ขอเพียงแค่ไม่กลายเป็นตัวถ่วง ข้ายินดีที่จะเสี่ยงอันตรายไปกับนายน้อยเยียนครั้งนี้ด้วย”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางกล่าวว่า “แน่นอนว่าไม่เป็นตัวถ่วงอยู่แล้ว ผู้อาวุโสสวี ท่านเป็นปรมาจารย์เคียงนภา อีกทั้งระดับวรยุทธ์ยังสูงกว่าข้าด้วย”

“แต่เรื่องครั้งนี้ประเด็นหลักไม่ได้อยู่ที่ความสูงต่ำของระดับวรยุทธ์ของพวกเรา” สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอทอดมองออกไปไกล แล้วพูดกับตนเองเสียงเบาว่า “ประเด็นสำคัญครั้งนี้อยู่ที่การเข้าใจข่าวสารเป็นอย่างดี อยู่ที่การปกปิดเป้าหมายที่แท้จริงของตน”

“ชีวิตคนดั่งละคร ทั้งหมดคือการแสดงทั้งนั้น! ”

สองประโยคหลังทั้งเบาทั้งไม่ชัดเจน สวีชวนได้ยินไม่ชัดจึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอด้วยสีหน้างุนงง

………….