บทที่ 150: พิธีเปิดการศึกษา

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 150: พิธีเปิดการศึกษา

ฉินเย่กะพริบตาปริบขณะที่มองร่างสูงเดินขึ้นไปบนรถบัส ด้วยเหตุผลบางประการ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะสั่งสอน…ไม่ใช่สิ มันคือความรับผิดชอบในการดูแลและขัดเกลาพวกเขาให้เป็นผู้ที่น่าเคารพนับถือในสังคมมากกว่า

เขาไม่ได้มีความรับผิดชอบติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด แต่มันคือผลพลอยได้จากการมาบรรจบกันของเวลาและสถานที่ ถูกที่ ถูกเวลา และถูกคน ทั้งหมดนี้ทำให้เขาเกิดความคิดขึ้นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือเขาสามารถช่วยอะไรคนพวกนี้ได้บ้าง?

อาร์ทิสมักจะกระซิบอยู่ข้างหูของเขาเสมอว่า “เจ้าจะต้องพยายามให้ถึงที่สุด!” “เจ้าจะขี้เกียจไม่ได้แล้ว! เจ้าเป็นถึงเจ้านรกในอนาคตนะ!”

แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกถึงความรับผิดชอบ ๆ ใด ๆ เลยสักนิด

แม้แต่ตอนที่ได้รับคำสั่งที่ยิ่งใหญ่อย่างการสร้างยมโลกขึ้นมาอีกครั้ง ความคิดที่จะวางทุกอย่างและวิ่งหนีไปให้ไกลก็วนอยู่ในหัวของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่สิ่งที่กระตุ้นด้วยประกายแห่งความรับผิดชอบและสร้างความมุ่งมั่นให้เขาก็คือเหตุการณ์ของชู้รักคู่นั้น กับวิญญาณที่ยังไม่ได้รับโทษของการทำมาตุฆาต และดวงวิญญาณที่ยังคงหลั่งไหลเข้าไปยังยมโลก

แต่ละเหตุการณ์ล้วนปลุกสัญชาตญาณความรู้สึกภายในจิตใจของเขา และมีอยู่บ่อยครั้งที่มันสามารถกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาในส่วนลึกของจิตใจ เพราะอย่างไรเสีย การลงมือทำก็ย่อมมีน้ำหนักมากกว่าคำพูด…อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น

สายตาและคำขอบคุณที่จริงใจ และแม้แต่ท่าทางที่แสดงออกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มมาที่นี่เพราะเขาอย่างไม่ต้องสงสัย…และทันใดนั้นฉินเย่ก็รู้สึกถึงภาระที่หนักหนาบนไหล่ของตน

“เป็นวัยรุ่นนี่มันดีจริง ๆ” เขายิ้มก่อนจะกลับไปทำงานต่อ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้า จำนวนนักเรียนที่หลั่งไหลเข้ามาลงทะเบียนก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ฉินเย่ได้ทำการลงทะเบียนนักเรียนไปอีกหลายคน และเมื่อถึงเวลา 9 โมงตรง ซู่เฟิงก็มาถึงที่โต๊ะลงทะเบียน อีกฝ่ายยิ้มเล็กน้อยและถามว่า “รู้สึกยังไงบ้าง?”

“ก็ดี” ฉินเย่เริ่มเก็บของของตน “ผมตั้งตารอวันสอนแล้ว…นอกจากนี้ผมก็ลงทะเบียนให้กับพวกนักเรียนที่มารายงานตัวก่อนหน้านี้แล้วด้วย เพราะฉะนั้นผมคงต้องขอตัวก่อน”

หลังจากกลับมาที่หอ ฉินเย่ไม่ได้นอนพักทันที แต่กลับหยิบแผนการสอนออกมาและเริ่มอ่านเนื้อหาในบันทึกของตัวเองอย่างละเอียด

“อาร์ตี้ ท่านมาช่วยข้าดูแผนการสอนทีสิ ช่วยดูทีว่าข้ายังขาดอะไรอีกหรือเปล่า?” เขาหันไปพูดและหันกลับไปอ่านมันต่อ อาร์ทิสที่เห็นเช่นนั้นจึงตอบอย่างเริ่มเหลืออดว่า “เจ้าจำเป็นต้องทำอะไรพวกนี้จริง ๆ น่ะเหรอ?”

“แน่นอน…” ฉินเย่ยังคงตรวจสอบงานของตนต่อไป “การมาถึงของเหล่านักเรียนหมายความว่า…การประเมินอาจารย์รอบที่สองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้านี้”

“แล้ว?”

“แล้วข้าก็อยากจะทำให้มันสำเร็จไปเลยอย่างไรเล่า!” ฉินเย่กลอกตาให้อาร์ทิสก่อนจะมองด้วยสีหน้าสื่อชัดว่า ‘ท่านไม่เข้าใจได้ไงเนี่ย’

“โจวเซียนหลงเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าการประเมินอาจารย์รอบที่สองนี้ไม่มีเกณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วมันไม่ถูกหรือที่ข้าจะตีความว่า…ทุกวินาทีของภาคการศึกษาที่กำลังจะมาถึงล้วนเป็นส่วนหนึ่งการประเมินอาจารย์?”

“ตำแหน่งของเจ้าหมอนี่…เริ่มเหมือนกับข้าเมื่อก่อนไม่มีผิด…แถมเขายังไม่ได้ใช้สกิลเลยด้วย เป็นภาระจริง ๆ ว่าไหม? อะแฮ่ม….พูดต่อสิ ข้ากำลังฟังอยู่”

ฉินเย่ระงับความคิดที่จะตัดสายไฟของแล็ปท็อปอย่างสุดความสามารถ เพราะเขารู้ดีว่าหากทำแบบนั้นอีกฝ่ายจะต้องฆ่าเขาแน่ ๆ อาร์ทิสกำลังวุ่นอยู่กับการต่อสู้ที่ร้อนระอุในเกม ในขณะที่เขากำลังคิดวิธีรักษาตำแหน่งสามอันดับแรกไว้อย่างไรดี

ฉินเย่คิดแล้วก็ได้แต่ข่มอารมณ์ตัวเองเอาไว้แล้วพูดต่อว่า “การสอนครั้งแรกจะเป็นตัวชี้วัดมาตรฐานของอาจารย์ผู้สอน หากข้าทำมันออกมาดี คะแนนสอนของข้าก็จะสูงตามไปด้วย ถ้าท่านไม่เข้าใจข้าจะบอกว่ามันสำคัญพอ ๆ กับการสอบปลายภาคนั่นแหละ…”

เห็นหรือไม่ว่าข้าขอร้องท่านด้วยความจริงใจมากแค่ไหน?

ทำไมท่านไม่รีบมาช่วยข้าทวนเนื้อหาทั้งหมดหน่อยล่ะ?

ราวกับได้ยินเสียงกรีดร้องภายในใจของฉินเย่ ในที่สุดอาร์ทิสก็ยอมยกเท้าและเดินไปหาเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าที่งดงาม หลังจากอ่านดูแผนการสอนทั้งหมดอย่างละเอียด นางก็เอ่ยอย่างมั่นใจว่า “ไม่มีปัญหา”

“หัวข้อของการบรรยายที่จะถึงนี้คือความหลากหลายของวิญญาณ” ฉินเย่ปิดสมุดโน๊ตของตนและถอนหายใจออกมา

“จากมุมมองของข้า สาขาการต่อสู้ต้องเจอวิญญาณเหนือธรรมชาติบ่อยกว่าสาขาอื่น ๆ มาก และการแยกแยะประเภทวิญญาณก็จะช่วยให้พวกเขาต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พอ ๆ กับการรักษาชีวิตของตัวเอง มีแต่ต้องรอดเท่านั้นจึงจะสามารถปัดเป่าวิญญาณได้ และบังเอิญว่าหัวข้อนี้ก็ช่วยเติมเต็มจุดประสงค์ของสาขาเราได้อย่างพอดิบพอดี ท่านคิดว่า….ด้วยหัวข้อนี้ ข้าจะสามารถรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งไว้ได้ไหม?”

“เจ้าช่วยเอา ‘ไหม’ ออกไปได้หรือไม่?!” อาร์ทิสเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจนัก

“ข้าไม่ได้อยากอวดนะ แต่ด้วยระดับในการวิจัยเกี่ยวกับวิญญาณในแดนมนุษย์ ยมทูตขาวดำเพียงตนเดียวจากยุคสมัยที่รุ่งโรจน์ที่สุดของยมโลกก็สามารถบดขยี้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดของพวกเขาได้ในคราวเดียวแล้ว! แบบการสอนนี้มีเพียงข้ากับเจ้าเท่านั้นจึงจะทำมันสำเร็จได้ ข้าไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ แต่เพื่อตำแหน่งของ…ช่างเถอะ ประเด็นก็คือนักเรียนของเจ้าไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยแรกเกิดเลยสักนิด”

“ข้าเลือกหัวข้อนี้ก็เพราะว่าพวกมันไม่ได้มีแค่วิญญาณธรรมดา น่าเสียดายที่พวกมนุษย์ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของวิญญาณแต่ละประเภทได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดลึกมากก็ได้ เจ้าเพียงบอกลักษณะเฉพาะของมันสักข้อหรือสองข้อ แล้วพวกเขาจะเข้าใจทันที! เจ้าไม่คิดหรือว่าการเอาชนะคู่แข่งของเจ้านั้นง่ายเหมือนการกระดิกนิ้ว?”

ฉินเย่รู้สึกโล่งใจมากขึ้น เขาอ่านแผนการสอนของตนจนถึง 11 โมงเช้า จากนั้นก็โทรไปหาศาสตราจารย์ยวี

“คุณฉิน มีอะไรหรือเปล่า?” ผู้เฒ่ายวีถามพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ เขายังคงมีชีวิตชีวาเหมือนเดิม

ฉินเย่ยิ้ม “คืออย่างนี้ครับ พอดีทางสำนักเพิ่งเริ่ม….”

“เข้าใจแล้ว” ผู้เฒ่ายวีเงียบไปอย่างมีนัยก่อนจะเอ่ยเสริมว่า “ผมไม่ผิดสัญญากับคุณแน่นอน น่าเสียดายที่ตอนนี้บังเอิญว่าผู้อำนวยการของคุณก็เพิ่งจะเชิญผมไปเดินเล่นเช่นกัน จะว่าไป…ผมคงต้องขอเตือนอะไรคุณอย่าง”

โดยไม่เสียจังหวะ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเคร่งขรึมมากกว่าเดิม “ดีคือดี ไม่ดีคือไม่ดี ความเข้มงวดของการศึกษามาเป็นอันดับแรก ผมได้ยินเรื่องระบบการประเมินของสำนักผู้ฝึกตนแห่งแรกมาแล้ว และผมก็รู้ว่าคะแนนการสอนนั้นมีความสำคัญกับคุณอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตาม หากการเตรียมตัวของคุณไม่ดีพอต่อสำนัก ผมคงไม่อาจปล่อยผ่านมันไปง่าย ๆ แน่”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “ไม่ต้องห่วงครับ ผมเพียงแค่ขอให้คุณมาที่นี่เพื่อให้กำลังใจผมเท่านั้น ผมรับรองได้เลยว่าเนื้อหาของผมจะต้องแปลกใหม่สำหรับคุณแน่ ๆ และผมไม่ได้จะขอให้คุณช่วยผ่อนปรนใด ๆ เช่นกัน”

ในขณะเดียวกัน ถนนอีกด้านหนึ่งมีขบวนรถออดี้สีดำห้าคันกำลังมุ่งหน้าจากเมืองไดซานไปที่เมืองเป่าอัน

โดยเฉพาะรถออดี้คันกลางที่ถูกเสริมด้วยกระจกกันกระสุน ในขณะที่ประตูทั้งหมดถูกทำขึ้นจากโลหะผสมชนิดพิเศษ แม้แต่ช่วงล่างของรถเองก็ถูกเสริมเช่นกัน

และก็เป็นผู้เฒ่ายวีเองที่นั่งอยู่ในรถออดี้ซึ่งได้รับการเสริมนั้น เขาถือโทรศัพท์ไว้ในมือข้างหนึ่งในขณะที่ถือโน้ตบุ๊กด้วยมืออีกข้างพร้อมกับวิเคราะห์ข้อมูลตรงหน้าไปด้วย เมื่อได้ยินน้ำเสียงมั่นใจของฉินเย่ เขาก็ผงะไปเล็กน้อย แต่ในเวลาต่อมา มุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้น

เด็กคนนี้…ไม่กลัวอะไรเลยจริง ๆ

วิชาการ…วิชาการคืออะไร? โดยพื้นฐานแล้วมันคือการทำงานอย่างหนักในการตอบคำถามยาก ๆ ที่ค้างคาอยู่มานานหลายศตวรรษหรือหลายพันปี บางคำถามอาจเป็นเพียงการคาดเดาและยังไม่ได้รับการแก้ไขแม้ว่าจะพยายามมาแล้วหลายร้อยปี ผู้เฒ่ายวีคือผู้ที่ได้รับการยกย่องจากทั่วทั้งประเทศจีน เขามีประสบการณ์มากมาย มันจะยังมีคำถามที่เขาไม่เคยพบมาก่อนจริง ๆ น่ะหรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำถามจากอาจารย์หนุ่มที่มีประสบการณ์ไม่มากเนี่ยนะ?

อะไรที่แปลกใหม่อย่างนั้นเหรอ?

หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็วางสายโทรศัพท์ และชายในชุดปฏิบัติการสีขาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนรถคันเดียวกันก็หันไปมองผู้เฒ่ายวีและเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้เฒ่ายวี มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

ผู้เฒ่ายวีไม่ได้ตอบทันที กลับกันเขาเพียงหันไปมองทิวทัศน์อันงดงามของที่ราบขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ผมคิดมาเสมอว่าการเป็นนักวิชาการนั้นก็เหมือนกับนักปีนเขา เช่นเดียวกับการมองภูเขาที่อยู่เบื้องหน้า เราอาจคิดว่ามันสูงแล้ว แต่หากเรามองไกลออกไป มันก็ยังมียอดเขาที่สูงกว่านั้นรอเราอยู่อีก และยิ่งคุณศึกษามันมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงมากเท่านั้น บ่อยครั้งที่พวกเราได้พบเจอกับผู้คนที่เราคิดว่าพวกเขาต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิจัยของตนเอง แต่เรากลับพบกับความจริงอันน่าสังเวชว่าพวกเขาไม่มีความคืบหน้าอะไรนอกเหนือจากข้อมูลวิจัยที่มีมานานแล้วเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วมันอาจจะมีผู้อื่นที่เดินไปตามเส้นทางของหัวข้อวิจัยนี้มากกว่าพวกเขา แต่ถูกมองข้ามก็เป็นได้”

เขาคือหนึ่งในสามนักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่และผู้ก่อตั้งของแผนกวิจัยวิญญาณ เขาย่อมมีความมั่นใจในเรื่องนี้

“จริงอย่างที่คุณว่า” ชายในชุดปฏิบัติการสีขาวหัวเราะเบา ๆ

ผู้เฒ่ายวีเคาะกระจกรถเบา ๆ “คุณเองก็เคยเห็นคุณฉินมาก่อน เขาเพิ่งบอกกับผมว่าเขารับรองว่าเนื้อหาการสอนของเขาจะต้องแปลกใหม่อย่างแน่นอน คุณมีคิดว่ายังไง?”

ชายในชุดขาวเข้าใจทันทีว่าเหตุใดผู้เฒ่ายวีจึงยิ้มกับตัวเองเช่นนั้น

ราวกับพระพุทธเจ้าที่มองไปยังพระสงฆ์ พระที่คิดว่าตัวเองเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของหลักธรรมคำสอน แต่กลับไม่สามารถแยกแยะตัวคนของชายที่อยู่ตรงหน้าตนได้

“นั่นค่อนข้างน่าเสียดายนะครับ ตอนที่เจอกันครั้งที่แล้ว การสังเกตของเขาค่อนข้างชำนาญและเฉียบคม และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทิ้งความประทับใจไว้ในใจของผม แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เหมือนกับพ่อครัวทำขนมที่บอกกับเราว่าเขาสามารถแสดงทักษะการทำเค้กแปลกใหม่ให้เราได้ลองทาน แต่เขาจะสามารถทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนได้จริง ๆ น่ะหรือ? โดยส่วนตัวแล้วผมไม่คิดเช่นนั้น แต่….ผมก็ยังตั้งตารอมันอยู่ดี”

“ใช่แล้ว ผมเองก็ตั้งตารอเช่นกัน” ผู้เฒ่ายวีหลับตาลง “หัวข้อที่แปลกใหม่เหรอ…มารอดูกันเถอะว่าเขาได้เตรียมอะไรไว้ให้พวกเรา”

ฉินเย่ไม่รู้เลยว่าเขาจะได้รับการประเมินแบบใด แต่เขากลับมั่นใจเป็นอย่างมาก เพราะตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เขาได้ทำการตรวจดูฐานข้อมูลทั้งหมดที่ตัวเองสามารถหาได้ และเขาก็พบว่ามันแทบจะไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับหัวข้อวิจัยนี้เลยสักนิด

ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะอ่านทบทวนแผนการสอนของตัวเองเป็นครั้งที่สอง โทรศัพท์ของเขาก็สั่นเบา ๆ

มันคือข้อความแจ้งเตือนจากแอปโม่โม่ เขารีบเปิดมันดูและก็พบว่าตัวได้เพิ่งถูกเพิ่มเข้ากลุ่มที่ใช้ชื่อว่า “สาขาการต่อสู้ของสำนักฝึกตนแห่งแรก” โดยผู้ใช้ที่มี ID ว่า “หัวหน้าสาขาการต่อสู้โจวเซียนหลง”

อาจารย์ทั้งห้าและศาสตราจารย์ทั้งหมดอยู่ในกลุ่มแล้ว โจวเซียนหลงเปิดใช้รูปแบบเปลี่ยนเสียงเป็นข้อความและอธิบายว่า “ในนักเรียนกลุ่มแรกของเรา ไม่มีใครเป็นอัจฉริยะระดับสูงจากตระกูล นิกาย สายเลือด หรือสมาคมต่าง ๆ เลยแม้แต่คนเดียว แต่ทางสำนักของเราก็ยังไม่ได้ลองทดสอบพวกเขาเช่นกัน โดยปกติแล้วนักเรียนกลุ่มแรกจะเป็นผู้ฝึกคนระดับสองภายในองค์กรของตนเอง ไม่มีผู้ใดเคยมีประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่แท้จริงมาก่อน”

ไม่มีใครตอบอะไร พวกเขารอดูข้อความถัดไปอย่างใจจดใจจ่อ

“และก็เป็นเพราะเหตุนี้ เราจึงต้องดูแลและเลี้ยงดูพวกเขาเพื่อที่จะทำให้พวกเขาสามารถแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ เราจะทำให้องค์กรฝึกตนพวกนี้มาขอร้องพวกเราเพื่อที่จะส่งพวกหัวกะทิและอัจฉริยะที่แท้จริงของพวกเขามาที่นี่ภายในเวลาสองปี!”

“ระยะเวลาในการเรียนของพวกเรานั้นสั่นกว่ามหาวิทยาลัยอื่น ๆ ครึ่งหนึ่ง ภาคการศึกษาทั้งหมดใช้เวลาแค่สองปีเท่านั้น และสาขาการต่อสู้ก็คือสาขาที่จะต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติโดยตรง ผมคงต้องขอความร่วมมือจากพวกคุณทุกคน เราจะต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาได้รับการเอาใจใส่อย่างจริงจัง และในเวลาเดียวกัน เราก็ต้องรักษาความเข้มงวดและผลักดันพวกเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พวกคุณมีความคิดว่าอย่างไร? สามารถพูดออกมาได้เลย”

หลินฮั่นยังคงตรงไปตรงมาเหมือนทุกครั้ง “อัดพวกเขาซะหากพวกเขาไม่ยอมฟัง!”

“ไอดีแข็งแกร่งและมีศักยภาพถูกระงับเป็นเวลาหนึ่งนาที”

คนอื่น ๆ ที่เห็นอย่างนั้นต่างก็หวาดกลัว การแสดงอำนาจของโจวเซียนหลงไปตาม ๆ กัน หลี่หยุนเซวี่ยจึงรีบพิมพ์ไปว่า “การปฐมนิเทศดีไหม? ฉันได้ยินมาว่ามหาวิทยาลัยปกติมักจะมีอะไรพวกนี้ไว้ต้อนรับนักเรียนใหม่ของพวกเขา”

“แล้วใครจะแสดงให้พวกเขาดู?” โจวเซียนหลงตอบทันทีว่า “คุณหรือ? คุณจะแสดงอะไรล่ะ? ศิลปะการต่อสู้? หรือจะให้ผมขึ้นไปร้องเพลงให้พวกเขาฟัง?”

หลี่หยุนเซวี่ยเงียบไปทันที เมื่อเห็นข้อความนั้น

“อย่าเข้าใจผิด สิ่งที่พวกเราต้องการจะทำคือสิ่งที่เข้มงวด น่าจดจำ และความรู้ พวกเราจำเป็นต้องให้เด็กรุ่นใหม่บรรลุเป้าหมายเหล่านี้”

ทุกคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ไม่มีใครกล้าแสดงความคิดเห็นให้ตัวเองอับอาย ทว่าในอีกด้านหนึ่ง ฉินเย่กำลังหัวเราะเบา ๆ กับโทรศัพท์ของตนเอง

พวกโง่นี่ไม่เคยเรียนมหาลัยวิทยาลัยหรือไงนะ…

พวกนายจะมาเทียบกับรุ่นพี่ที่เรียนมหาวิทยาลัยมาแล้ว 6 ถึง 7 ครั้ง อย่างฉันได้ยังไง?

หากต้องการทำให้พวกเขาประทับใจ มันก็ต้องเป็นสิ่งนั้น….

ด้วยความคิดนี้ในหัว เขารีบพิมพ์ส่งไปทันทีว่า “เรียกรวมพลด่วน[1]ดีไหม?”

ทุกคนสัมผัสได้ถึงจิตใจที่มุ่งร้ายของเขา

ทั้งกลุ่มตกอยู่ในความเงียบทันที

หลินฮั่นรีบส่งข้อความไปให้อีกฝ่ายเป็นการส่วนตัวทันที “ให้ตายเถอะ…คุณนี่ร้ายมาก ร้ายมากจริง ๆ ผมรับรองได้เลยว่านักเรียนใหม่ทุกคน จะต้องรู้สึกขอบคุณคุณไปอีกเจ็ดชั่วโคตรเลย!”

“คุณก็ชมเกินไป” ฉินเย่ยิ้มอย่างชั่วร้ายขณะที่พิมพ์ตอบอีกฝ่าย

การเรียกรวมพลด่วนนั้นเป็นสิ่งที่นักเรียนทุกคนบนแผ่นดินจีนเกลียดชังอย่างไม่ต้องสงสัย

มีใครอยากจะแสดงด้านน่าเกลียดให้ผู้ชายหรือผู้หญิงในฝันของตัวเองบ้างล่ะ แล้วแบบนี้พวกเขาจะกล้ามองหน้าอีกฝ่ายได้ยังไง?

หลายคนแทบอยากจะกรีดร้องออกมาทันทีที่ได้ยินคำว่าเรียกรวมพลด่วนด้วยซ้ำ

แต่เมื่อฉินเย่คิดถึงสภาพน่าอัปยศอดสูของเหล่านักเรียนในสาขาตัวเอง…เขากลับรู้สึก…มีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก…

พวกฉันต่างได้รับการฝึกฝนมา ในขณะที่พวกนายกลับเอาแต่เล่นเกมอยู่ในองค์กรของตัวเองอย่างสะดวกสบาย…ตอนนี้…มาดูกันว่าสวรรค์จะช่วยพวกนายได้หรือเปล่า…

[1] เรียกรวมพลด่วน คือ การเรียกรวมตัวด้วยในสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งด้วยเสียงหรือสัญญาณบางอย่าง ทันทีที่มีเสียงสัญญาณเรียกรวมตัวไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ต้องมารวมตัวให้ทัน มักจะใช้ในกลุ่มทหาร