บทที่ 151: เรียกรวมพลด่วน

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 151: เรียกรวมพลด่วน

แม้แต่โจวเซียนหลงเองก็เงียบไปเช่นกัน

เมื่อกลับไปที่สำนักงาน เขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองชื่อบัญชีผู้ใช้ของฉินเย่ ‘หนุ่มเนื้อแน่นสุดน่ารัก’ เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ คำแนะนำนี้…มันโดนใจเขาอย่างจัง…

“อนุมัติ” เขาตกลงอนุมัติคำแนะนำนี้ออกไปก่อนที่คนอื่น ๆ จะได้แสดงความคิดเห็นของตนเสียอีก “เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย”

เหล่าอาจารย์คนอื่น ๆ ไม่เอ่ยอะไรออกมาทั้งสิ้นในใจคิดพร้อมกันว่า หมายความว่าไงที่ว่า ‘ไม่เลว’…นี่มันเลวร้ายสุด ๆ ไปเลยต่างหาก!

“เรามากำหนดเวลาที่แน่นอนกันเลยดีกว่า ไม่ใช่แค่นักเรียนเท่านั้นที่จะต้องมีส่วนร่วม แต่เหล่าอาจารย์ผู้สอนเองก็เช่นกัน” คำพูดของโจวเซียนหลงทำให้ฉินเย่ตกลงสู่หุบเหวแห่งความโศกเศร้าที่ไร้ก้นบึ้งทันที

“คุณไปถอนคำพูดเดี๋ยวนี้!” ยิ้มกว้างเหมือนมหาสมุทรรีบส่งข้อความไปหาฉินเย่เป็นการส่วนตัวทันที “คุณเพิ่งหาเรื่องให้ตัวเองแท้ ๆ! ผมไม่เคยเห็นใครโง่เง่าเท่าคุณมาก่อนในชีวิต! ทำไมถึงได้บ้าแล้วก็โง่แบบนี้นะ?!”

“ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าคุณจะทำอะไร แต่คุณต้องไปหยุดเรื่องนี้เดี๋ยวนี้!” หลี่หยุนเซวี่ยเองก็ส่งข้อความที่สิ้นหวังไปหาฉินเย่เช่นกัน “แค่คิดว่าตัวเองต้องตะเกียกตะกายตัวลงจากเตียงกลางดึกแบบนั้น…ก็ทำให้ฉันอยากจะยกนิ้วกลางให้คุณจริง ๆ!”

ฉินเย่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก!

เขารีบจิ้มนิ้วของเขาลงไปบนหน้าจอโทรศัพท์ทันที “คือว่าเรื่องนั้น…หัวหน้าสาขา ผมคิดว่าพวกอาจารย์ไม่ควรต้องเข้าร่วมด้วย เกิดอาจารย์อย่างหลินฮั่น ที่ขี้เกียจเป็นหมู ไม่สามารถไปได้ตรงเวลาล่ะ? นั่นจะไม่ทำให้เหล่านักเรียนยิ่งดูถูกพวกเราเหรอครับ? แล้วอาจารย์หลินจะมองหน้านักเรียนต่อไปได้ยังไงล่ะทีนี้?”

หลินฮั่น ผู้ซึ่งถูกบล็อกอยู่รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก!

นี่นายหมายความว่ายังไง? นายมั่นใจได้อย่างไรว่าฉันจะไปไม่ทันเวลา? และนายกล้าพูดจาสบประมาทฉันได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ยังไง? พูดถึงเรื่องนี้ นายคิดว่าตัวเองคาดเดาเหตุการณ์ได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นได้อย่างนั้นเหรอ? นี่ขนาดยังไม่เริ่มเรียกรวมพลด่วนเลยนะ!

“นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ” คำตอบของโจวเซียนหลงทำให้ทุกคนต่างมีความหวังขึ้นในใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง พวกเราจะจัดการเรียกรวมพลด่วนขึ้นภายในอาทิตย์นี้ และพวกคุณจะต้องเข้าร่วมกับพวกนักเรียนด้วย อาจารย์ทุกท่านโปรดเตรียมตัวให้พร้อม”

ช่างมันเถอะ…

ฉินเย่เช็ดเหงื่อเย็น ๆ บริเวณหน้าผากของตัวเอง ให้ตายเถอะ…มันรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเพิ่งหาเรื่องคนทั้งสาขาไปในคราวเดียว…

“เออ คือว่า…ผมไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้นะ คุณก็เข้าใจผมใช่ไหม?” เขาส่งข้อความไปหาซู่เฟิงเป็นการส่วนตัวเพียงเพื่อที่จะได้รับคำตอบกลับมาว่า ‘คุณต้องเพิ่มอีกฝ่ายเป็นเพื่อนก่อนจึงจะสามารถส่งข้อความส่วนตัวให้อีกฝ่ายได้’

นี่เขาถูกบล็อกเหรอเนี่ย?

นอกจากนี้ ซู่เฟิงยังแก้ไขและส่งข้อความสุดท้ายให้ฉินเย่อีกด้วยว่า “ไม่ต้องมาคุยกับผมสักอาทิตย์หนึ่ง ไม่อย่างนั้นผมอาจจะไม่สามารถกลั้นจิตสังหารของตัวเองได้”

ฉินเย่ยกมือเกาศีรษะอย่างแรง พระเจ้า…ดูเหมือนว่าหนทางเชื่อมความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานของเขายังคงอีกยาวไกล….

หลายวันผ่านไป ชีวิตของเหล่าอาจารย์สาขาการต่อสู้นับว่าอยู่บนขอบเหวตลอดเวลา หนึ่งวันผ่านไป…สองวันผ่านไป แต่ทั้งสาขาก็ยังดูใจเย็นและสงบสุข

ในช่วงสองวันที่ผ่านมา นักเรียนใหม่เริ่มจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้ว พึงรู้ไว้ว่าทางสำนักได้ดำเนินการอะไรหลายอย่างในขณะที่พวกเขาไปฝึกอบรม ไม่เพียงแต่อาคารด้านหน้าเท่านั้นที่เปลี่ยนไป แต่การตกแต่งภายในของห้องเรียนและห้องบรรยายเองก็ได้รับการตกแต่งด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในการฝึกตนอื่น ๆ ด้วย

“เจ้าดื่มน้ำมากขนาดนี้ก่อนนอนทำไม? แล้วดูเจ้าสิสองวันมานี้เจ้าได้หลับบ้างไหมเนี่ย? จนตอนนี้ใต้ตาเจ้าดำหมดแล้ว หากข้าไม่รู้จักเจ้าล่ะก็ ข้าอาจจะคิดว่าเจ้าตั้งใจทำงานจนไม่ได้หลับได้นอนอยู่เป็นแน่” อาร์ทิสมองอีกฝ่ายและเอ่ยอย่างประชดประชัน

ฉินเย่เพียงตอบกลับอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ท่านจะไม่พูดเช่นนี้หากท่านรู้ว่าการหาเรื่องใส่ตัวมันเป็นอย่างไร….”

หลังจากพูดจบ เด็กหนุ่มก็รีบเข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่มตรง จากประสบการณ์ของเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่ทางสำนักจะเรียกรวมพลด่วนในเวลาเกือบเที่ยงคืนถึงตี 1 แบบนี้เพราะในเวลานี้ยังมีพวกนกฮูกกลางคืนอีกหลายตัวที่ยังตาสว่างไม่ยอมหลับยอมนอน

และจากความกวนประสาของโจวเซียนหลง ฉินเย่คิดว่าเขาน่าจะเรียกรวมพลในช่วงตี 2 หรือไม่ก็ ตี 5 มากกว่า เพราะคนส่วนใหญ่จะเข้าสู่สภาวะหลับสนิทในเวลานั้น อย่างไรก็ตาม หากเขาเข้านอนดึกเกินไป เขาอาจไม่สามารถตื่นทันเสียงสัญญาณเรียกก็ได้

เขาเคยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยและเคยผ่านการฝึกฝนในค่ายทหารมาแล้วหลายครั้ง แน่นอนว่าเขาเคยมีประสบการณ์เรียกรวมพลด่วนมาแล้วนับสิบครั้ง ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่ากระเพาะปัสสาวะของเขาจะปลุกเขาให้ตื่นขึ้นหลังจากผ่านไปประมาณสามชั่วโมง หรือก็คือเวลาประมาณตี 1 แผนของเขาก็คือเขาจะไปอาบน้ำและจะนั่งรอการเรียกชุมนุมด่วนที่น่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่เวลาตี 2 เป็นต้นไปอย่างอดทน

จากประสบการณ์ของเขา เขามั่นใจว่าทุกอย่างจะต้องเป็นอย่างที่เขาคิดแน่นอน

และก็เป็นอย่างที่คิด ฉินเย่ปลุกขึ้นโดยกระเพาะปัสสาวะของตัวเอง ฉินเย่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและพบว่าตอนนี้เป็นเวลา 01.10 น.แล้ว

“ยังเร็วไปนิดนึงนะเนี่ย คราวหลังคงต้องกะปริมาณน้ำให้ดีกว่านี้” เขาอ้าปากหาวและเดินไปที่ห้องน้ำ อาร์ทิสส่งสายตาดูถูกให้เขา “จิ๊ ๆ เจ้าดื่มน้ำก่อนนอนเพื่อเตรียมไปรวมพลด่วนเนี่ยนะ…ข้าล่ะเชื่อพรสวรรค์ด้านนี้ของเจ้าเสียจริง…”

เขาเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา ทันใดนั้น ขณะที่เขากำลังถอดกางเกง เสียงไซเรนก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของท้องฟ้ายามค่ำคืน!

หวูดดดดดดด!!!

ด้วยเสียงที่ดังขึ้น ฉินเย่ชะงักไปประมาณสองวินาทีทั้ง ๆ ที่ขาเตรียมจะก้าวเข้าห้องน้ำอยู่แล้ว เด็กหนุ่มรีบตรงกลับไปที่ห้องตัวเองและคว้าเสื้อผ้ามาใส่อย่างรวดเร็ว!

“โจวเซียนหลง…ข้าขอสาปแช่งบรรพบุรุษของเจ้า!!” เขากัดฟันกรอดขณะกำลังรีบสวมเสื้อผ้า

อาร์ทิสเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแสนักว่า “เจ้าตั้งหน้าตั้งตารออยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ไม่มีอะไรให้ต้องเสียอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมีอะไรให้ต้องกังวลกันเล่า?”

ใบหน้าของฉินเย่ดำทะมึนยิ่งกว่าก้นหม้อ ให้ตายเถอะ…อีกฝ่ายไม่ได้เล่นตามกฎเลยสักนิด!

นี่มันด่วนขนาดไหนถึงต้องเริ่มเรียกรวมพลด่วนตั้งแต่ตี 1? นี่คุณตั้งใจที่จะทำลายเวลาเรียกรวมพลด่วนที่แท้จริงอยู่หรือไง?!

อีกอย่าง…นี้คือเสียงสัญญาณเรียกรวมพลของแกจริง ๆ ดิ?! แค่เป่านกหวีดเรียกก็ได้ไหม? ว่าแต่เขาไปเอาเสียงไซเรนมาจากไหนกันนะ?!

ทันใดนั้นไฟทั้งหมดในสำนักก็ถูกเปิดขึ้นทีละดวง นักเรียนจำนวนมากต่างยืนอยู่ที่หน้าต่างอย่างมึนงงขณะที่ถามกันว่า “มีอะไร?” หรือไม่ก็ “เกิดบ้าอะไรขึ้น?”

จนกระทั่งเสียงที่น่าเกรงขามดังก้องไปทั่ว “สาขาการต่อสู้ นี่คือการเรียกรวมพลด่วน สมาชิกของสาขาการต่อสู้ทุกคนให้มารวมตัวกันด้านล่างภายในสองนาที นักเรียนที่มาไม่ทันจะต้องได้รับการลงโทษโดยหักหนึ่งคะแนนวินัย ส่วนในกรณีของอาจารย์จะถูกหักคะแนนการสอน 10 คะแนน”

………………………………………………..

เย่ซิงเฉินสะดุ้งตื่นขึ้นทันทีจากเสียงไซเรนที่ดังขึ้น

“ให้ตายเถอะตาแก่นี้!” เขาขยี้ผมที่ไม่เป็นทรงของตัวเอง ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจทำลายใบหน้าอันสมบูรณ์แบบของเขาได้ ทำให้ถูกเพื่อนนักเรียนหญิงในสาขาการต่อสู้ เข้ามาจีบเขาทั้งต่อหน้าและลับหลัง และก็เพราะเหตุผลนี้ด้วยเช่นกันที่เขารู้สึกว่าตัวเองยุ่งมากในตลอดสองวันที่ผ่านมา ออกจากห้องตั้งแต่เช้าตรู่ และกลับมาก็ดึกแล้ว ทำให้เขาต้องทรมานจากการอดนอนอย่างหนัก

ชีวิตในสำนักนั้นดีมาก และเขาก็ค่อนข้างมีความสุขกับมัน

ผ่อนคลาย สนุกสนาน และปราศจากการจู้จี้จุกจิกจากเหล่าผู้อาวุโสในนิกาย และไม่มีพวกศิษย์พี่หญิงคอยล้อมหน้าล้มหลังด้วย ดังนั้นเขาจึงอยากที่จะดื่มด่ำชีวิตที่นี่อย่างน้อยก็จนกระทั่งเพื่อนร่วมห้องของเขาดึงแขนของเขาอย่างแรง “ซิงเฉิน! ลุกเร็ว! มันคือการเรียกรวมพลด่วน! เร็วเข้า! เราต้องลงไปข้างล่างภายในสองนาที!!”

“กางเกงฉันอยู่ไหน? กางเกงฉันหายไปไหน?”

“ใครเอากางเกงฉันไปใส่?! บ้าเอ๊ย!!”

“ฉันวางเข็มขัดไปที่ไหน? ใครก็ได้ ช่วยหาที!”

ไฟสว่างชะมัด…เสียงก็ดังน่าหนวกหู…เขาส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด “เข้าใจแล้ว พวกนายลงไปก่อนเลย”

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่สนใจแล้วนะ! นายเองก็ควรรีบลงไปเหมือนกัน!!” ประตูห้องปิดลงอย่างแรงก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยจบเสียอีก

เสียงวิ่งและเสียงโวยวายที่ทางเดินด้านนอกเบาลงเรื่อย ๆ และเย่ซิงเฉินก็ล้มตัวลงนอนและหลับตาลงอีกครั้ง

ง่วงชะมัด…

เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ได้ยินเสียงบรรยายดังแว่วมาจากชั้นล่าง แสงไฟที่สนามหญ้าด้านล่างถูกเปิดขึ้น ทำให้เขาแสบตาเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงดึงผ้าห่มคลุมโปงโดยทันที

หืม?

ทำไมเขาถึงรู้สึกว่า…ทั้ง ๆ ที่ดึงผ้าห่มมาห่มแล้ว แต่ทำไมอากาศกลับเย็นลงล่ะ?

พรึ่บ….มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเบา ๆ ไฟในห้องพลันดับลง เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นทันทีเขาค่อยผ่อนลมหายใจเข้าออกช้า ๆ ร่างของเขาตอบสนองโดยอัตโนมัติ กล้ามเนื้อทุกมัดตึงเครียด ร่างกายที่ดูไม่ต่างอะไรกับเด็กวัยรุ่นทั่วไป ในตอนนี้เผยให้เห็นร่างกายที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน สัญลักษณ์รูนสีเขียวปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือพร้อมกับกริชสีขาวก็ปรากฏขึ้น

เสียงเมื่อครู่นี้…คือเสียงของผ้าม่าน

มีใครบางคนดึงผ้าม่าน….

แต่ใครล่ะ?

ด้านล่างกำลังมีการเรียกรวมพลด่วนอยู่ เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ อีกครั้งและถามออกไปว่า “พี่ใหญ่ พี่ยังไม่ลงไปด้านล่างอีกหรือ?”

ไม่มีใครตอบ

“น้องสอง? น้องสาม?” ในห้องพักแต่ละห้องจะมีนักเรียนพักอยู่สี่คน และเขาก็เรียกชื่อเล่นของคนทั้งหมดออกไป แต่กลับไม่ได้รับเสียงตอบเลยแม้แต่นิดเดียว

ราวกับว่าผ้าห่มผืนนี้ได้ตัดเขาออกจากโลกแห่งความจริงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“พวกนาย…อย่าล้อกันเล่นแบบนี้สิวะ…” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของเย่ซิงเฉินเริ่มสั่นเทา แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมามีเพียงเสียง คลิก เบา ๆ ตอบกลับมาเท่านั้น

เป็นเสียงปลดล็อกประตูห้องเขาเอง

ในเวลาเดียวกันนี้เอง เขารีบสะบัดผ้าห่ม และพุ่งตัวออกมาจากเตียง ร่างกายของเขาในตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อเย็น แต่ถึงอย่างนั้น…เขาก็ไม่เห็นใครอยู่ในห้องนี้อีกนอกจากตัวเอง

หน้าต่างทุกบานถูกปิดสนิท และผ้าม่านก็ถูกดึงออก ไฟในห้องถูกดับลงทันทีที่เหล่านักเรียนคนอื่น ๆ ลงไปด้านล่าง ตอนนี้ทั่วทั้งห้องจึงมืดสนิท

คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด อีกทั้งกลุ่มก้อนเมฆดำมืดก็ยังปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าในยามราตรีอีกด้วย ภายในสถานการณ์แบบนี้ ความมืดภายในห้องจึงดูเหมือนกับเป็นสีดำสนิท เขามองไปรอบๆเป็นครั้งที่สองเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีใครอื่นอยู่อีกจริง ๆ จากนั้นเขาก็กำกริชในมือแน่นขึ้นและค่อยๆเดินไปที่ประตูห้องอย่างระแวดระวัง

มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…

สัญชาตญาณของเขาบอกกับเขาว่าเขาต้องออกไปจากที่นี่ มีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับห้องนี้! เขามั่นใจ 80% เลยว่าตัวเองกำลังประสบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติทั้งแรกในชีวิต!

และเขาลึก ๆ เขาก็ยังคงรู้สึกลังเล

ที่นี่คือสำนักฝึกตนแห่งแรกนะ…

มันจะเป็นไปได้หรือที่วิญญาณจะปรากฏตัวขึ้นในสถานที่แบบนี้?

สายตาของเย่ซิงเฉินจับจ้องไปที่บานประตู เอาล่ะ บางทีอีกฝ่ายอาจจะออกไปแล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นฝีมือของมรดกตกทอดที่ทางตระกูลของเขามอบให้ก็ได้

ฟึ่บ…ทันทีที่เย่ซิงเฉินหมุนตัวกลับ ผ้าม่านที่หน้าต่างกระพืออย่างรุนแรงทั้ง ๆ ที่ปราศจากสายลม และร่างที่มืดมนร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากบริเวณหน้าต่าง หลังจากนั้น หนึ่งในผ้าห่มบนเตียงด้านหลังของเขาก็ลอยขึ้น และร่างเงาดังกล่าวก็นั่งลงอย่างเงียบ ๆ และจ้องมาที่เขาด้วยดวงตาแดงก่ำ

เย่ซิงเฉินเสียสติทันที เขายังอ่อนประสบการณ์เกินไป เขาค่อย ๆ เดินไปที่ประตูโดยไม่สนใจเลยว่าบนร่างของตนจะมีเพียงกางเกงชั้นในติดกาย ก่อนจะเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตู

แต่…เขาก็พบว่าประตูห้องถูกล็อก!

ทันใดนั้น สมองตื้อชา ความรู้สึกที่เหมือนกับถูกคลื่นไฟฟ้าช็อตแผ่ซ่านไปทั่วร่าง!

ทั้งหมดนี่มันหมายความว่าอย่างไร?

ตอนแรกเขาคิดว่าเสียงคลิกเมื่อครู่เป็นเพียงเสียงปิดประตู แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าแท้จริงมันคือเสียงล็อกประตู! ห้องนี้สามารถล็อกได้แค่ภายในห้องเท่านั้น หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ….

มีใครบางคนอยู่ในห้องนี้กับเขาด้วย!

ตุบ! เขาหันหลังกลับไปและยืนพิงหลังกับบานประตู พยายามกดสวิตช์ไฟซ้ำ ๆ แต่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีหลอดไฟดวงไหนภายในห้องสว่างขึ้นเลยสักดวง ทั้งหมดที่เขารู้สึกตอนนี้ก็คือลำคอที่แห้งผากและแผ่นหลังที่เปียกโชก ความมืดภายในห้องทำให้ทางเข้าห้องน้ำที่อยู่ลึกสุดของห้องดูราวกับเป็นทางเข้าสู่นรก เขาราวกับมีอะไรบางอย่างสามารถโผล่ออกมาจากห้องน้ำได้ทุกเมื่อ และรอยแยกที่มืดสนิทใต้เตียง…ก็ดูเหมือนกับซ่อนใครอีกคนเอาไว้เช่นกัน!

แม้แต่ผ้าห่มของเพื่อนร่วมห้องของเขาที่ถูกวางกอง ๆ กันเอาไว้บนเตียงก็ดูราวกับว่ามันมีซ่อนศพเอาไว้ด้านล่าง

แสงไฟสลัว ๆ ที่ส่องผ่านผ้าม่านขณะที่มันกระพือเบา ๆ ส่งผลให้เกิดบรรยากาศน่าขนลุกที่ชวนอึดอัดขึ้นภายในห้อง!

ใช่แล้ว…มีคนอยู่ด้านล่าง! โทรขอความช่วยเหลือสิ! เขายังสามารถโทรขอความช่วยเหลือได้!

ทันใดนั้นเองเสียงบางอย่างก็ดังขึ้น เย่ซิงเฉินหันไปมองที่ต้นเสียง และรูม่านตาของเขาก็หดตัวลงทันที

มือขาวซีดที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นเอื้อมออกมาจากความมืดในห้องน้ำและหยุดอยู่ที่หน้าประตู

แอ๊ดดดด…ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ พร้อมกับเสียงที่ชวนขนลุก เย่ซิงเฉินรีบพุ่งตัวไปที่หน้าต่างทันที เขาไม่สนใจความกลัวของตัวเองที่มีต่ออะไรบางอย่างในความมืดอีกต่อไป ทว่าขณะที่เขากำลังจะเปิดหน้าต่าง ผ้าม่านที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็ลอยขึ้นและสะบัดอย่างแรง!

ห้องนอนที่โดดเดี่ยว ผ้าม่านที่กระพืออย่างบ้าคลั่ง แสงสลัว ๆ ที่น่าหวาดกลัว และ…ภาพสะท้อนบนหน้าต่างก็เผยให้เห็นว่ามีร่างเงาดำมืดกำลังเผชิญหน้ากับเขาอยู่

และทันใดนั้น…ร่างตรงหน้าก็ลืมตาสีแดงก่ำของมันขึ้น