ตอนที่ 245 ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องหย่าอย่างแน่นอน
เขาบอกกับเธอว่าจะไม่ทอดทิ้งอย่างแน่นอน พี่โอวหยางชอบเธอมากขนาดนี้ แล้วเหลียวเว่ยอะไรนั่น ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องหย่าอย่างแน่นอน
ตอนนี้ที่เมือง A ได้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว อากาศก็เริ่มเย็นลง ที่ด้านนอกก็มีลมหนาวพัดผ่านมาตรงหน้าต่าง
อันโหรวที่กำลังยืนอยู่ข้างในห้องตากลมอุ่น ๆ จากเครื่องทำความร้อน ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ทันทีว่าข้างนอกน่าจะอากาศหนาวเย็นแล้ว ไม่รู้เลยว่าลูกน้อยของเธอที่อยู่โรงเรียนอนุบาลจะเป็นหวัดบ้างหรือเปล่า
“คิดอะไรอยู่?” คนที่เซ็นชื่ออยู่ตรงหน้าเอ่ยถามขึ้น
เธอก้มหน้าลงมองไปยังตรงช่องเซ็นชื่อที่เขียนว่า ‘จิ่ง’ เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ประธานจิ่ง ช่วยเซ็นให้มันเสร็จในครั้งเดียวจะได้ไหม เข้าใจหรือเปล่า?”
ดวงตาที่ดูลึกลับของเขาค่อย ๆ หรี่ลงเล็กน้อย ก่อนที่มือขวาจะตวัดเซ็นใหม่อีกครั้ง พร้อมกับเอื้อมมืออีกข้างไปแตะที่ริมฝีปาก และพูดว่า “แบบนี้หรือเปล่าน้าา….”
“น้องสาวนายสิ! อย่าพูดแบบนั้นอีกนะ!” เธอกลัวคำว่า ‘น้าา’ ของเขาจริง ๆ น้ำเสียงพวกนี้มันช่างลึกซึ้งเสียจนทำให้ตกอยู่ในห้วงความคิดที่น่าประหลาด
เธอไม่คิดเลยว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นพวกชอบเล่นอารมณ์แบบนี้ด้วย ทั้งยังจดจำและนำมันมาล้อเลียนท่าทางของเธออีก!
“ในฐานะที่เป็นเลขา กล้าพูดกับเจ้านายแบบนี้ ไหนมาคุยกันหน่อยสิ! ต้องการบทลงโทษแบบไหนดี!” เขาเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะจ้องมองไปที่เธอ แต่ปากกาในมือก็เซ็นสองคำสุดท้ายไปในที่สุด
คนที่ไอคิวสูงมักจะใช้มือโดยไม่ต้องมองก็สัมผัสมันได้ ไม่แปลกใจเลยที่หยางหยางถึงได้ดูรู้อะไรมากมายตั้งแต่ยังเด็กแบบนั้น
ไม่สิ เธอเองก็ไม่ได้โง่เสียหน่อย! แต่ว่าต่อหน้าจิ่งเป่ยเฉินแล้ว เธอกลับดูเปิ่นและดูโง่เขลาเสียจริง ๆ
“ขออนุญาตถามประธานจิ่ง บทลงโทษที่ว่านั้นคืออะไร?” รอยยิ้มที่ดูมาตรฐานบนใบหน้าที่ซีดเซียวเผยออกมา เธอที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำท่าทางดูราวกับเคารพคนตรงหน้า
“A มาจูบฉัน B มานอนกับฉัน C สองข้อรวมกัน แต่จิตสำนึกแนะนำว่าเธอน่าจะเลือก C นะ”
“ลองแตะสมองของนายดูและเอ่ยถามว่ามีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีบ้างไหม? อย่าได้ดูถูกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีนักเลย โอเคไหม?” เธอหยิบเอกสารที่เขาเซ็นชื่อเรียบร้อยแล้วขึ้นมา ก่อนจะยิ้มให้กับเขาและพูดว่า “ฉันเลือกข้อ D เอาเอกสารแล้วออกไป!”
หลังจากพูดจบ เธอก็รีบเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว จิ่งเป่ยเฉินได้แต่มองแผ่นหลังของเธอและพูดว่า “เลือก C ฉันเลือกให้เธอเลยละกัน”
ปัง! เสียงปิดประตูดังขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งเขาเองก็ได้ยินที่เธอปิดประตูแรง ๆ ใส่หน้าเขาเหมือนกัน
เลือกข้อ C มันก็ดีอยู่นะ ยังไงคืนนี้เธอก็หนีไม่พ้นอยู่ดี
สองคำว่า ‘ยับยั้ง’ ชั่วชีวิตนี้เธอรู้สึกว่าคงสอนจิ่งเป่ยเฉินเขียนไม่เป็นแน่ ๆ
เธอส่งมอบเอกสารในมือให้กับหัวหน้างานที่รับผิดชอบ เมื่อทำอะไรเสร็จเธอก็กลับไปนั่งที่หน้าคอมพิวเตอร์และเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับเหลียนมู่ที่เธอได้รับมาเมื่อเร็ว ๆ นี้
ชายคนนี้มีการเตรียมตัวป้องกันอย่างแน่นหนา ตอนนี้เรียกได้ว่าหาข้อมูลเท่าไรก็ไม่พบข้อมูลที่ต้องการ
หรือว่าควรจะเริ่มจากเฉาลี่เฟย?
เขารู้ว่าจิ่งเป่ยเฉินได้ทำการเคลื่อนไหวหลายอย่าง ทั้งยังปล้นผู้ร่วมมือของโอวหยางลี่ไปจำนวนมาก เธอเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเวทนาโอวหยางลี่ที่ตอนนี้เริ่มจะหมดหนทางไปเรื่อย ๆ
มันไม่ฉลาดเอาเสียเลยที่คิดจะยั่วยุจิ่งเป่ยเฉิน
โชคดีหน่อยที่พวกเขาไม่ใช่ศัตรูกัน
เพียงแต่ว่าโอวหยางลี่ก็ไม่ใช่โอวหยางลี่คนเดิมอีกแล้ว อย่างน้อยจนถึงตอนนี้กลุ่มโอวหยางกรุ๊ปเองก็แตกต่างจากเมื่อก่อนค่อนข้างมาก หากดูผิวเผินแล้วก็แทบตรวจสอบอะไรไม่พบเลยด้วยซ้ำ
ขณะที่เธอกำลังจดจ่ออยู่ในห้วงความคิด ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอสะดุ้งตกใจขึ้นมาทันที ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองดู ก็เห็นเป็นสายโทรศัพท์ของโรงเรียนอนุบาลที่โทรมา
เธอรีบกดรับโทรศัพท์ทันที “สวัสดีค่ะ”
“คุณแม่ของหน่วนหน่วนใช่ไหมคะ? เธอลื่นล้มระหว่างเล่นน้ำในโรงเรียนอนุบาลค่ะ ตอนนี้กำลังส่งตัวไปที่โรงพยาบาลอันหยาแล้ว คุณแม่ช่วยมาเร็ว ๆ นะคะ”
เมื่อเธอได้ยินสองคำว่าโรงพยาบาลเธอก็รู็สึกไม่ดีขึ้นมาทันที เธอรีบลุกขึ้นจากที่นั่งและวางสายโทรศัพท์ ก่อนจะตรงไปที่ลิฟต์ทันที
แต่เมื่อเธอไปได้เพียงครึ่งทาง เธอก็วิ่งกลับไปอีกครั้ง โดยไม่ได้เคาะประตูของห้องจิ่งเป่ยเฉินแต่อย่างใด เธอรีบวิ่งเข้าไปและพูดว่า “จิ่งเป่ยเฉิน หน่วนหน่วนอยู่ที่โรงพยาบาล นายจะไปด้วยไหม?”
นี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือล้อเล่นใช่ไหม?
เขารีบหยิบเสื้อกันลมสีดำที่แขวนอยู่ที่ราวและหยิบเสื้อโค้ตมาสวม ก่อนจะรีบเดินไปหาเธออย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่เป็นกังวลของเขาเริ่มเผยให้เห็นอย่างชัดเจน อันโหรวเองก็กังวลไม่ใช่น้อย แต่เมื่อคิดว่าตอนนี้หยางหยางน่าจะอยู่ข้างกายเธอ เธอก็ค่อย ๆ ใจร้อนมากขึ้น
เมื่อพวกเขาวิ่งออกไปก็พบกับฉีเซิงเทียนที่กำลังมองหาจิ่งเป่ยเฉินอยู่พอดี “พี่เฉิน ข้อความสำคัญ…..”
ทั้งสองคนเดินผ่านเขาไปราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย “นี่รีบไปทำอะไรที่ไหนกันเนี่ย?”
ฉีเซิงเทียนส่ายหน้าทันที ก่อนจะมองเอกสารในมือและเดินไปที่ห้องทำงานของตัวเองที่อยู่ด้านหลัง ช่วงระหว่างที่กำลังเดินผ่านไปห้องทำงานก็ต้องผ่านห้องทำงานของหลินจือเซี๋ยว เขาชะงักฝีเท้าก่อนจะหมุนตัวเดินตรงเข้าไป
เขาเคาะประตูเบา ๆ เมื่อหลินจือเซี๋ยวได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่เขา “เธอรู้ไหมว่าทำไมประธานจิ่งกับเลขาอันถึงได้รีบวิ่งออกไปเร็วขนาดนั้นกัน?”
“พวกเขาออกไปแล้วเหรอคะ?” หลินจือเซี๋ยวถามกลับ
ฉีเซิงเทียนทุบหน้าผากตัวเองเบา ๆ มองเธออย่างพูดไม่ออก ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าภายในสมองของตัวเองเกิดความสับสนขึ้นมา เมื่อครู่นี้หลินจือเซี๋ยวทำไมถึงได้ถามเขาแบบนั้น “ดูท่าเธอเองก็คงไม่รู้เหมือนกันสินะ”
หลินจือเซี๋ยวมองเขาที่หมุนตัวเดินกลับออกไปอย่างสงสัย เธอถึงกับพูดไม่ออก เขายังไม่ทันบอกอะไรเธอเลยกลับทิ้งเธอไว้กับเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ แล้วจู่ ๆ ก็เดินออกไปซะแล้ว
นี่ประธานฉี คงไม่คิดจะมารังแกคนเพราะเรื่องแค่นี้หรอกใช่ไหม?
นั่นก็เพราะว่าตอนนี้เธอไม่ได้ทำงานเป็นหัวหน้าเลขา เรื่องของประธานจิ่งจะไปไหนหรือจะไปทำอะไร เธอเองก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอก
โอ๊ะ ก่อนหน้านั้นเธอไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้นี่นา เธอเองก็คงไม่คิดจะมานั่งถามอะไรให้มากความ ไม่รู้นี่แหละดีที่สุด เธอควรทำงานที่อยู่ตรงหน้าอย่างจริงจังก่อนที่บิ๊กบอสจะกลับมา!
ในขณะเดียวกัน จิ่งเป่ยเฉินก็ขับรถไปที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว ส่วนอันโหรวเองก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ตำแหน่งคนขับพลางมองไปที่ด้านหน้าอย่างวิตกกังวล ในใจยังคงนิ่งคิดอยู่เงียบ ๆ และคิดว่าทุกอย่างจะต้องไม่เป็นอะไร ต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน
เธอไม่กล้าแม้แต่จะโทรหาหยางหยาง เพราะกลัวว่าจะได้ยินเสียงของเขา ด้วยระยะห่างที่ไกลขนาดนี้ แน่นอนคงไม่มีทางปลอบเขาได้แน่ จึงได้แต่อดทนเอาไว้
เอาไว้รอพวกเขาถึงโรงพยาบาลทุกอย่างก็คงดีขึ้น
โรงเรียนอนุบาลสายรุ้งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทจิ่ง ส่วนโรงพยาบาลอันหยาเองก็ไม่ได้อยู่ไกลมากเท่าไร ล้วนอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน
หิมะค่อย ๆ ตกลงที่นอกหน้าต่าง ลมก็พัดอย่างรุนแรง ฤดูหนาวในครั้งนี้ไม่ได้หนาวอย่างที่ควรจะเป็น ตอนนี้เธอมองไปที่สีหน้าที่จริงจังของจิ่งเป่ยเฉินซึ่งกำลังขับรถอยู่ ใบหน้านั้นเผยความอบอุ่นไม่ใช่น้อย
ภายในรถที่อุ่น ๆ จู่ ๆ เขาก็พูดออกมาว่า “หน่วนหน่วนจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน”
“ฉันรู้” เธอเองก็เชื่อว่าลูก ๆ ของเธอจะต้องไม่เป็นอะไร
ไม่นานพวกเขาก็ขับมาถึงโรงพยาบาล รถยังไม่ทันจอดสนิท เธอก็รีบลงจากรถไปทันที จิ่งเป่ยเฉินที่จอดรถเรียบร้อยก็รีบเดินตามหลังของเธอไป ไม่ช้าก็ถึงตัวเธอ ก่อนจะดึงแขนเธอไว้และตบหน้าเธอเบา ๆ
“จิ่งเป่ยเฉินนี่นายทำอะไร?” ที่ตรงนี้มีคนอยู่มากมาย ซึ่งตัวเธอเองก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ว่าตอนนี้เขายังมีอารมณ์ที่จะมาตีเธออีกนะ
เจ้าของใบหน้าเย็นชาที่ยืนอยู่ตรงหน้าล็อบบี้ที่มีผู้คนพลุกพล่านดึงตัวเธอไว้ เธอเงยหน้าขึ้นมามองอย่างใจจดใจจ่อ พลางรอฟังว่าทำไมเขาถึงได้ตบหน้าเธอเมื่อครู่นี้
“ถ้ารถยังไม่จอดนิ่งสนิทก็ไม่อนุญาตให้ลงจากรถ!” พูดจบเขาก็พาเธอเดินต่อไป จริง ๆ แล้วหัวใจของเขาเองก็กระวนกระวายไม่แพ้กัน
แต่ว่าตัวเขาก็ต้องสั่งสอนเธอเอาไว้บ้าง ถ้ามีครั้งแรกกับเหตุการณ์แบบนี้ย่อมต้องมีครั้งที่สองเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน การเคลื่อนไหวที่ดูอันตรายแบบนี้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก
เดิมทีอันโหรวก็โมโหที่จู่ ๆ เขามาตบหน้าเธอแบบนั้น แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ความโกรธก็ได้จางหายไปทันที
จิ่งเป่ยเฉินกับอันโหรวเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยอย่างเร่งรีบ พวกเขาเห็นหน่วนหน่วนกำลังนั่งกินกล้วยอยู่บนเตียง ส่วนหยางหยางก็กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียงเช่นกัน
นอกจากนี้ภายในห้องก็มีอาจารย์ที่กำลังดูแลพวกเขาอยู่
แม้จะเห็นภาพบรรยากาศที่ดูไม่เป็นอะไร แต่ภายในใจของเธอก็ไม่ได้โล่งอกเลยแม้แต่น้อย เธอจึงรีบเดินไปที่ข้าง ๆ เตียง เพื่อดูอย่างละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น “หน่วนหน่วน!”