บทที่ 185 ข้อดีของกระดานซักผ้า

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 185 ข้อดีของกระดานซักผ้า

“ซิ่วเอ๋อ กระดานซักผ้านี่ใช้ดีจริงด้วย” โจวเหวินชื่นชม

วันนั้นเขาทำกระดานซักผ้าเสร็จแล้ว อาจารย์ถามเขาว่าเอาไว้ทำอะไร เขาแค่พูดไปอย่างไม่ใส่ใจ อาจารย์จึงเอาไปให้อาจารย์แม่ลอง

พอลองแล้วใช้ดีจริง ๆ

ที่ตัวเมืองไม่เหมือนในหมู่บ้าน ในหมู่บ้านยังไปซักผ้าในลำธารได้ ไม้ตีผ้ามีที่ให้ออกฤทธิ์ แต่คนในตัวเมืองต้องซักผ้าในกะละมังไม้ ไม้ตีผ้าจึงใช้ไม่ง่ายขนาดนั้น

การมีกระดานซักผ้านี่จึงช่วยประหยัดแรงไปมากโข

อาจารย์จึงให้เขาทำมาขายเพิ่ม ขายหนึ่งชิ้นได้รางวัลตอบแทน 2 เหรียญ

ถึงรายได้จะไม่มากนัก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหาเงินได้ด้วยความสามารถตัวเอง ของในร้านที่ขายไปก่อนหน้านี้ต่อให้ได้เงินมากขนาดไหนก็ไม่เกี่ยวกับเขา

และอาจารย์ก็ชมเขาเพราะเรื่องนี้ด้วย

บอกว่าเขามีไหวพริบเหมาะที่จะเป็นช่างไม้!

โจวเหวินมองจางซิ่วเอ๋ออย่างซาบซึ้ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นต้องขอบคุณจางซิ่วเอ๋อโดยเฉพาะ!

“ซิ่วเอ๋อ เอ้านี่ ข้าทำให้เจ้า” โจวเหวินยื่นกระดานซักผ้าชิ้นหนึ่งให้จางซิ่วเอ๋อ

ชิ้นนี้ไม่เหมือนที่เขาทำขาย โจวเหวินทำมันขึ้นจากไม้แดงแข็งอย่างดี ต่อให้จางซิ่วเอ๋อไม่รู้เรื่องไม้เลยแม้แต่น้อยยังรู้ว่ากระดานซักผ้าชิ้นนี้ไม่ธรรมดา

ที่หายากยิ่งกว่านั้นคือโจวเหวินสลักลายดอกไม้อย่างประณีตบนกระดานซักผ้าด้วย แถมยังนำเศษหยกไปฝังเป็นดอกไม้เล็ก ๆ น่ารักให้อีกต่างหาก

จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่ากระดานซักผ้านี่ไม่ใช่แค่กระดานซักผ้าตามความหมาย นี่ถือเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งแล้ว

“ชอบไหม?” โจวเหวินถามด้วยความคาดหวัง

จางซิ่วเอ๋อพูดอย่างปลื้มปริ่ม “ชอบเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านน้าเล็กนะเจ้าคะ”

โจวเหวินยิ้ม เขาหยิบถุงเงินออกมาหนึ่งถุงและยื่นให้จางซิ่วเอ๋อ

“นี่อะไรหรือเจ้าคะ?” จางซิ่วเอ๋อถามอย่างฉงน

“กระดานซักผ้าเป็นความคิดของเจ้า ทุกครั้งที่ขายได้หนึ่งชิ้น อาจารย์จะให้รางวัลข้าสองเหรียญ เหรียญพวกนี้มาจากการเก็บสะสมของข้า” โจวเหวินพูดยิ้ม ๆ

ในช่วงแรกทุกคนยังไม่ค่อยให้การยอมรับกระดานซักผ้า จึงขายออกไปได้ไม่มากนัก

จางซิ่วเอ๋อหัวเราะ “ท่านน้าเล็ก เงินนี่ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ข้าบอกตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าข้าขอแค่กระดานซักผ้าหนึ่งชิ้น เรื่องหลังจากนั้นไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว”

โจวเหวินเห็นจางซิ่วเอ๋อบ่ายเบี่ยงไม่รับ จึงจนปัญญาที่จะให้ ทำได้เพียงปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน

จากนั้นจางซิ่วเอ๋อจึงมอบปลาให้โจวเหวิน

ตอนที่โจวเหวินกลับไป เถ้าแก่ก็อดยิ้มไม่ได้หลังได้เห็นปลา

โจวเหวินเป็นเด็กดี เขายิ่งดูยิ่งพอใจ

ก่อนหน้านี้โจวเหวินไม่มีสิทธิ์กินข้าวโต๊ะเดียวกับครอบครัวเถ้าแก่ ทุกครั้งโจวเหวินกินข้าว เขาจะได้กินแค่ข้าวต้มที่เหลือไว้ให้ แต่ช่วงนี้โจวเหวินได้กินข้าวโต๊ะเดียวกับครอบครัวเถ้าแก่แล้ว

อาหารที่โจวเหวินได้กินก็ดีขึ้นไม่น้อย

จางซิ่วเอ๋อจัดการธุระตัวเองเสร็จแล้วจึงไปเดินเล่น

และในตอนนั้นเอง นางก็ตาโตเมื่อมองเห็นคุณชายฉินและเด็กติดตามชุดเขียวข้างกายเขา

ใบหน้าคุณชายฉินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั่นดูอย่างไรก็ทำให้จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าคุณชายฉินเป็นหมาป่าหางใหญ่แล้ว

เห็นคุณชายฉินเดินเข้ามาทีละก้าว จางซิ่วเอ๋อก็รีบถอยหลังไปหลายก้าว

จางซิ่วเอ๋อไม่อยากแพ้ที่มาด แต่ช่วยไม่ได้ที่คุณชายฉินรัศมีรุนแรงเหลือเกิน

จางซิ่วเอ๋อรีบเอ่ยขึ้น “ถ้าท่านมีเรื่องอะไร ก็ยืนพูดอยู่ตรงนั้นแหละ!”

คุณชายฉินคลี่ยิ้ม “แม่นางเถาฮวา ไม่เจอกันนานเลยนะ”

จางซิ่วเอ๋อได้ยินว่าตัวเองถูกเรียกว่าแม่นางเถาฮวา มุมปากกระตุกอย่างอดไม่ได้ “ข้าชื่อจางซิ่วเอ๋อ!”

คุณชายฉินทำท่าเหมือนไม่ได้ยินที่จางซิ่วเอ๋อพูด เขาเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ “ไม่เจอกันนานเลยนะ เจ้าไม่ชวนข้าไปเยี่ยมเยียนที่บ้านเจ้าหน่อยหรือ?”

จางซิ่วเอ๋อได้ยินแล้วรู้สึกเสียวสันหลังอย่างอดไม่ได้ “ที่บ้านข้ากินแต่อาหารจืดชืดเรียบง่าย ไม่กล้าอาจหาญไปเชิญคุณชายสูงศักดิ์อย่างท่านมาเป็นแขกหรอกเจ้าค่ะ”

คุณชายฉินโบกพัดในมือตัวเองเบา ๆ พูดด้วยท่าทางสง่างาม “อาหารจืดชืดเรียบง่ายก็อร่อยไปอีกแบบ”

จางซิ่วเอ๋อคิดอย่างเคียดแค้นในใจ เคยเจอคนหน้าด้านมาเหมือนกัน แต่ไม่เคยเจอที่หน้าด้านขนาดนี้เลย!

“คนสูงศักดิ์อย่างคุณชายฉินอย่าไปที่ชนบทของเราเลยเจ้าค่ะ” จางซิ่วเอ๋อพูดต่อ

คุณชายฉินกล่าวยิ้ม ๆ “ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าอายจริง ๆ กับการเลี้ยงข้าวข้าด้วยอาหารจืดชืดเรียบง่าย ข้าเตรียมวัตถุดิบไปเองย่อมได้ ถึงตอนนั้นเจ้าแค่ปรุงอาหารให้ข้าก็พอ”

จางซิ่วเอ๋อชักจะทนไม่ไหวแล้ว

“คุณชายฉิน! ข้าบอกแล้ว! ว่าบ้านของข้าเป็นวิหารหลังเล็ก! บูชาเทพเจ้าองค์ใหญ่อย่างท่านไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ!” จางซิ่วเอ๋อกัดฟันแน่นตอนกล่าวซ้ำ นางเองก็ถึงขีดจำกัดความอดทนแล้วเช่นกัน

คุณชายฉินยิ้มกว้างขึ้น “โบราณว่าไว้ ธุรกิจล่มสัมพันธ์ยังอยู่ หากเจ้าล่วงเกินข้า คงไม่เป็นผลดีหรอกนะ”

จางซิ่วเอ๋ออัดอั้นตันใจ คุณชายฉินกำลังเตือนนางอยู่! ว่าอย่าล่วงเกินเขา!

ตอนนี้นางไม่มีต้นทุนในการตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับคุณชายฉินเลย

ถ้าคุณชายฉินโมโหขึ้นมาจริง ๆ คนต่ำต้อยเช่นนางต่อให้ตายก็ไม่มีใครเรียกร้องความยุติธรรมให้หรอก

คิดได้ดังนั้น จางซิ่วเอ๋อก็แสร้งฉีกยิ้ม “ในเมื่อคุณชายฉินอยากไปกินข้าวที่บ้านข้าขนาดนี้ เช่นนั้นข้าก็จะทำตามที่ท่านต้องการดีกว่ามัวแต่คอยเกรงใจเจ้าค่ะ”

คุณชายฉินยิ้มและหันไปสั่งเด็กติดตามชุดเขียว “ตวนอู่ ไปซื้อวัตถุดิบ”

จางซิ่วเอ๋อมองเด็กติดตามชุดเขียวและยิ้มพลางถาม “เจ้าชื่อตวนอู่เหรอ ข้านึกว่าเจ้าจะชื่อหยวนเป่าหรือจินจื่อซะอีก” (หยวนเป่า จินจื่อ แปลว่า ทอง)

ตวนอู่หน้าเสีย ถลึงตาใส่จางซิ่วเอ๋อ

ก่อนหน้านี้เขามีชื่อทำนองนั้นแหละ แต่คุณชายเปลี่ยนชื่อให้เขาไปหลายชื่อแล้ว

ใช่แล้ว คุณชายมีงานอดิเรกอย่างหนึ่ง ก็คือชอบเปลี่ยนชื่อให้เขา

ถ้าเขาทำให้คุณชายไม่พอใจ คุณชายก็จะเปลี่ยนชื่อให้เขา ตวนอู่ที่เปลี่ยนให้รอบนี้ถือว่าเพราะแล้ว

ตวนอู่รับคำ “ขอรับ”

ตวนอู่ก้าวเท้ากำลังจะไปแต่เขาชะงักก่อน “คุณชาย ไม่ทราบว่าต้องซื้ออะไรบ้างขอรับ?”

ตวนอู่เป็นเด็กติดตาม ไม่ใช่แม่ครัว ย่อมไม่รู้ว่าต้องซื้ออะไรไปทำกับข้าว

คุณชายฉินครุ่นคิด สะบัดแขนเสื้อพลางกล่าว “เอาเถอะ เช่นนั้นเราไปซื้อด้วยกัน”

“แม่นางเถาฮวา เจ้าคงไม่ถือสาเรื่องไปซื้อวัตถุดิบด้วยกันกับพวกเราใช่หรือไม่?” คุณชายฉินถามยิ้ม ๆ

จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าตอนนี้ตัวเองสลัดหลุดจากคุณชายฉินไม่ได้แล้ว ต่อต้านไปก็ไร้ความหมาย สู้ปรนนิบัติคุณชายฉินให้ดียังจะดีเสียกว่า

ไม่อย่างนั้นเสียแรงเสียเวลาทนอัดอั้นตันใจแล้วยังจบไม่สวยอีก

จางซิ่วเอ๋อจึงเอ่ยขึ้น “ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”

นางเอาเนื้อที่เหลืออยู่ในบ้านไปหมักเป็นเนื้อเค็มหมดแล้ว ต้องซื้อเนื้อสดเพิ่ม

ในเมื่อครั้งนี้มีคนออกเงินให้ จางซิ่วเอ๋อจึงเลือกซื้อเนื้อชั้นดีที่สุดอย่างไม่ลังเล

ตวนอู่ไม่รู้ว่าต้องกินมากแค่ไหน เห็นจางซิ่วเอ๋อบอกจะซื้ออะไรก็ซื้อแบบเน้นมากไม่เน้นน้อย

จางซิ่วเอ๋อเองก็ไม่ว่าอะไร อย่างไรเสียถ้ากินไม่หมด คุณชายฉินก็คงไม่ห่อกลับไป นางเก็บไว้กินเองก็ได้