ซือหยางตกตะลึง
“เจ้า เจ้าพูดว่าอันใดนะ”
ฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงพูดเช่นนั้นออกมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของซือหยาง นางจึงทำตามน้ำไป
“ข้าพูดชัดเจนแล้ว ยังต้องให้ข้าพูดเป็นครั้งที่สองหรือไม่?”
“ไม่ใช่ ไม่…เจ้าชอบผู้ใดหรือ” ซือหยางถามอย่างไม่รู้ตัว
ในเมืองนี้จะมีผู้ใดโดดเด่นยิ่งกว่าซือถิงอีกเล่า
ฉู่หลิวเยว่เคยบอกว่าชอบองค์รัชทายาท แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน กลับชอบคนอื่นแล้ว?
“เจ้าคงไม่โกหกข้าใช่หรือไม่? เขาคือผู้ใด”
“เขาคือผู้ใดก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเจ้า นั่นมันคือเรื่องของข้า ซือหยาง พวกเจ้าคือเพื่อนของข้า เมื่อก่อนคือเพื่อน และภายภาคหน้าก็คือเพื่อน”
แต่ก็เพียงแค่นั้น
ซือหยางเข้าใจความหมายของฉู่หลิวเยว่ แม้ในใจจะไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเฉยเมยและแววตาที่ชัดเจนของนาง คล้ายว่านางจะไม่ได้โกหก
จิตใจของเขาสับสนอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นเขาจึงถูใบหน้าของตนด้วยความหงุดหงิด
“ตกลง! ข้าสัญญาว่านับแต่นี้ต่อไปข้าจะไม่รบกวนเจ้าเรื่องนี้อีก! จากนี้ไปพวกเรายังคงเป็นเพื่อนกัน!”
รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นที่มุมปากของฉู่หลิวเยว่
“ดี”
ซือหยางยังคงผิดหวังเล็กน้อย
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ข้าจะบอกอาจารย์ตงฟางเรื่องที่เจ้าจะเข้าร่วมสมาคมเยาวชน”
เขาหันหลังจากไปเมื่อพูดจบ
หากเขายังอยู่ต่อเกรงว่าจะทำให้นางขุ่นเคืองใจ
ฉู่หลิวเยว่พูด “ขอบใจเจ้ามาก”
ซือหยางโบกมือโดยที่ไม่หันกลับมา พร้อมทั้งเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมสักพัก ทันใดนั้นนางจึงนึกอะไรบางอย่างไร พลางหันไปมอง
จากระยะห่างออกไปไกลนั้นหรงซิวยังคงนอนหลับตาอยู่บนเก้าอี้หวาย ราวกับว่าเขาหลับไปอีกครั้ง
ด้วยความห่างเช่นนี้ คงจะ…ไม่ได้ยินกระมั้ง
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกจิตใจกระสับกระส่าย จึงรีบละสายตาแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
รอบข้างกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ลมพัดใบไม้ร่วงหล่นบนใบหน้าหรงซิว
เขาขยับหัวเล็กน้อย พลางลืมตาขึ้น
ยามนี้ดวงตาหงส์ที่ใสบริสุทธิ์คู่นั้นกลับซับซ้อนมาก ราวกับว่าเกิดคลื่นดำทะมึนทำให้ผู้คนสับสน
เขาหาได้นอนหลับไม่ เห็นได้ชัดว่าเขาตื่นอยู่
มุมปากของหรงซิวค่อยๆ ยกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มแผ่ซ่านไปยังมุมตาและคิ้ว
จากนั้นเขาจึงนำใบไม้ออกจากปากแล้วพับครึ่ง
เสียงหวีดหวิวที่ไพเราะดังกระจายไปทั่ว!
ฉู่หลิวเยว่ที่เดินออกมาไกลมากแล้ว ตัวแข็งทื่อทันทีเมื่อได้ยินเสียงที่ล่องลอยมาจากด้านหลัง
…
เมื่อเยี่ยนชิงนำของมาเก็บ จึงรู้สึกว่าเจ้านายของตนอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
เขาเหลือบมองเจ้านายเป็นครั้งคราวขณะกวาดลานบ้าน
เมื่อหรงซิวนำใบไม้วางบนริมฝีปากอีกครั้ง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ฝ่าบาท ชอบเป่าใบท้อขนาดนั้นเชียวหรือ?”
หรงซิวเลิกคิ้ว “เห็นหรือ?”
เยี่ยนชิง “…”
ใบท้อที่ถูกเป่าแล้วเกลื่อนเต็มที่พื้นขนาดนี้ หรือท่านคิดว่าข้าตาบอดกันเล่า!?
ท่านเป่ามากกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว!
ท่านไม่เหนื่อย แต่ข้าแสบหูไปหมดแล้ว!
เยี่ยนชิงตะโกนในใจ แน่นอนว่าไม่กล้าพูดออกไป
“ไม่เพราะหรือ?”
เยี่ยนชิงยกนิ้วด้วยความเกรงใจ “มิมีผู้ใดเทียม”
หรงซิวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
อันที่จริงไม่สำคัญว่าไพเราะหรือไม่ไพเราะ
สิ่งที่สำคัญคือมีใครบางคนสามารถได้ยิน
“องค์ชาย สิ่งของที่ท่านนำมาจากจวนเก็บเรียบร้อยแล้ว ฝ่าบาทตรวจสอบดูว่าขาดอะไรอีกหรือไม่?”
หรงซิวครุ่นคิดสักพัก
“ขาดชา”
เยี่ยนชิง “…ข้าจะรินน้ำชาให้ท่านเดี๋ยวนี้”
เป่านานขนาดนี้ แล้วจะไม่กระหายได้หรือ?
“ไม่ต้อง ข้าจะขอน้ำชาภายหลัง”
เยี่ยนชิงตอบรับอย่างเชื่อฟัง พลางมองไปยังลานที่อยู่ไกลออกไป ทั้งคร่ำครวญในใจเพื่อเจ้านายอยู่ชั่วครู่
แม่นางหลิวเยว่ ท่านต้องรีบกลับมา!
…
ในสองวันนี้ฉู่เซียนหมิ่นช่างมีชีวิตที่ยากลำบาก
นางคิดว่าฉู่หลิวเยว่ตายแล้ว ตนเองสามารถเข้ามาแทนที่นางในฐานะนักรบอันดับหนึ่งได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับสถานะของตนในจวนรัชทายาทและตระกูลฉู่
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับยังมีชีวิต! และนางยังแข็งแรงทุกประการ!
แผนการพังทลาย ต้องวางแผนใหม่ทั้งหมด สถานการณ์ในตอนนี้นับว่ายิ่งแย่ลงมากกว่าเดิม!
ฉู่เซียนหมิ่นรู้สึกกดดันมากเมื่อมองจดหมายของฉู่เยี่ยน ท่าน พ่อของนางที่เขียนเองกับมือในมือของนาง
ตอนที่ท่านแม่ปลุกเร้าคุณหญิงกู้มาวุ่นวายที่สำนัก!
นางกำลังคิดสิ่งใดอยากันแน่!
ไม่มีปัญหาหากอยากหาเรื่องฉู่หลิวเยว่ แต่เพราะเหตุใดจึงต้องพาตัวเองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเล่า?
หากตอนนั้นเขียนให้เป็นจดหมายนิรนาม ก็จะไม่ถูกคนค้นพบ และจะไม่มีปัญหาในวันนี้!
ตอนนี้ตระกูลกู้รู้จุดอ่อนของนางแล้ว ครั้งนี้นางจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!
ฮูหยินกู้สร้างความอัปยศครั้งใหญ่ ทำให้ตระกูลกู้เสียหน้า พวกเขาต้องขุ่นเคืองลู่เหยาผู้ที่เขียนจดหมายนี้เป็นแน่!
เดิมชีวิตของลู่เหยาในตระกูลฉู่ยากลำบากอยู่แล้ว แต่คราวนี้ต้องแย่มากกว่าเดิมเป็นแน่
ฉู่เซียนหมิ่นมองจดหมายในมือ ลายมือบนนั้นดูเลอะเทอะ และเขียนแบบลวกๆ คล้ายรีบร้อน
ยามนี้ฉู่เยี่ยนได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วจะไปช่วยลู่เหยาได้อย่างไร? จึงทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับนาง
เมื่อวานองค์รัชทายาทตำหนินางอย่างรุนแรงเมื่อรู้ว่าฉู่หลิวเยว่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้แม้แต่ตัวเองยังยากที่จะปกป้อง นางจะมีอำนาจมากมายมาจากที่ใดกัน?
นางฉีกจดหมายด้วยความหงุดหงิด และเดินจากไป
เนื่องจากเมื่อนางเข้าสำนัก นางมีผลการเรียนที่ดีจึงได้พักอาศัยที่ลานเล็กๆ เป็นส่วนตัว
นางเดินไปยังกำแพงด้านซ้ายของลานบ้าน จากนั้นคลำหาบางอย่างใต้รอยแยกกระเบื้องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบบางอย่างออกมาและรีบกลับเข้าบ้านไป
มันคือกระบอกโลหะที่บางกว่านิ้วก้อยเล็กน้อย
เมื่อนางบิดมันเบาๆ กระบอกจึงเปิดออก และมีกระดาษข้อความหลุดออกมา
นางคลี่กระดาษออก จากนั้นใช้พู่กันที่อยู่ข้างๆจุ่มน้ำเล็กน้อย แล้วเกลี่ยให้ทั่วกระดาษ
ตัวอักษรค่อยๆปรากฏขึ้น
“เรื่องอาจถูกเปิดเผย โปรดระมัดระวัง!”
ฉู่เซียนหมิ่นทิ้งกระดาษข้อความลงบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก
…
เมื่อฉู่หลิวเยว่กลับไป ความมืดก็เข้ามาปกคลุม
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นสว่างไสวอยู่บนท้องนภา
นางแอบเหลือบมองออกไปอย่างไม่รู้ตัว นางอดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้เมื่อไม่เห็นหรงซิวอยู่ในลานที่อยู่ไกลออกไป
“ข้าอยู่นี่”
เสียงทุ้มต่ำล่องลอยมา
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นรัว นางเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าหรงซิวยืนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นสอง
“เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่?”
ฉู่หลิวเยว่พูดโพล่งออกมา
หรงซิวจ้องมองจากระยะไกลด้วยสีหน้ายากจะคาดเดา
“ข้ากระหาย มาขอน้ำชาดื่ม”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มหยัน
“องค์ชายผู้สูงศักดิ์ ท่านยังต้องการน้ำชาจากข้าอีกหรือ?”
หรงซิวจ้องมาที่นาง แววตาของเขาเปล่งประกายน่าดึงดูด
“ใช่ เพียงชาของเจ้าเท่านั้นที่สามารถกำจัดความขมของใบท้อได้”