ฉู่หลิวเยว่ว่าเขานั้นหน้าไม่อาย ทว่าใบหูของนางกลับร้อนผ่าว
โชคดีที่ตอนนี้มืดแล้ว เขาน่าจะมองเห็นไม่ชัด
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ จากนั้นขึ้นไปบนชั้นสองราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ตอนนี้องค์ชายมีที่พักอาศัยของตนเองในสำนักแล้ว เหตุใดวันๆ ยังต้องวิ่งมาหาข้า?”
หรงซิวไม่ตอบ ทว่าเหมือนจะยิ้มแต่กลับไม่ยิ้ม
“ตำแหน่งตรงนี้ของเจ้าดีมาก ไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เจ้าเพียงแค่มองจากตรงนี้ก็สามารถเห็นข้าได้อย่างชัดเจนแต่ข้ามาหาเจ้าด้วยตนเองจะดีกว่า”
ฉู่หลิวเยว่ชะงัก
“องค์ชาย ข้าเลือกที่นี่ก่อน”
หากนางรู้ว่าหรงซิวจะมา หรือว่าอยู่ที่ตรงนั้น นางจะไม่เลือกที่นี่อย่างแน่นอน
นางเดินไปยังตู้ พลางหยิบขิงฝานออกมา แล้วใส่ลงในถ้วยชา
เติมน้ำร้อนลงไป รสขมและรสเผ็ดร้อนแผ่ซ่านอย่างรวดเร็ว
นางรินน้ำชาหนึ่งถ้วย แล้วส่งให้เขา
“เชิญ องค์ชาย”
หรงซิวยิ้ม พลางเหลือบมอง
“เหตุใดต้องเป็นชาขิงทุกครั้งที่ข้ามา?”
ฉู่หลิวเยว่พูดอย่างจริงจัง “ที่นี่ไม่มีชารสเลิศ หากท่านเต็มใจก็เชิญดื่ม แต่ถ้าหากไม่ก็มิต้องฝืน”
หรงซิวยิ้มมุมปาก และดึงถ้วยชาจากมือนาง
มือของทั้งสองสัมผัสกัน
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขา ทว่ากลับเห็นสีหน้าของเขาปกติราวกับไม่รู้ว่ายามนี้ไม่ปกติ
หน้ายังหนาเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน!
ฉู่หลิวเยว่ต่อว่าในใจ
“บนตัวของเจ้ามีกลิ่นยา เมื่อวานเจ้าหลอมยาทั้งคืนหรือ?”
หรงซิวจิบชา พลางจับจ้องไปยังใบหน้าของนาง และรอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆเลือนราง
ฉู่เหลิวเย่วตาโตเล็กน้อย “องค์ชายรู้ได้อย่างไร?”
หรือว่าเมื่อวานเขามา?
ไม่ นางจำไม่ได้ว่าเขามา?
หรงซิวเชยคางนางขึ้น
ฉู่หลิวเยว่เอื้อมมือมาลูบหน้าตนเอง “มีสิ่งใดติดหน้าข้าหรือ?”
หรงซิวถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมทั้งหัวเราะเบาๆ
คนฉลาดมักจะสับสนในเวลาแบบนี้
เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกสองสามก้าว และยืนอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่
การอยู่ใกล้ร่างสูงใหญ่ ทำให้รู้สึกถูกกดขี่อย่างอธิบายไม่ถูก
จากนั้น เขาก็ยื่นมือออกมา
ฉู่หลิวเยว่กำลังจะก้าวถอยหลัง ทว่าดวงตากลับสอดประสานกับเขา
ราวกับว่ามีคลื่นน้ำไหลเชี่ยวที่เต็มไปด้วยความหวงแหนภายใต้ดวงตาที่สงบและลึกซึ้ง
ร่าวกายของฉู่หลิวเยว่แข็งทื่อ ขยับเขยื้อนไม่ได้
นิ้วอันอบอุ่นของหรงซิวสัมผัสที่ใต้ตาของนาง
ภายใต้เสียงไฟสามารถเห็นรอยคล้ำจางๆ ใต้ตาของนางได้อย่างชัดเจน
หากไม่อยู่ทั้งคืนคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้
“แค่เพื่อนร่วมชั้นผู้หนึ่ง มันคุ้มค่าหรือ?”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและสีหน้าที่อยากจะคาดเดา
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปาก
นางไม่ใช่คาดไม่ถึงว่าหรงซิวจะรู้ว่านางกำลังช่วยเลี่ยวจงซู เพราะถึงอย่างไรนางตั้งใจที่จะล่องูออกจากถ้ำ
“ข้ากับเขาเคยทุกข์ยากลำบากมาด้วยกัน เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะตาย แน่นอนว่าข้าไม่สามารถอยู่เฉยๆ โดยไม่ช่วยเขาได้”
หรงซิวหรี่ตา
คำพูดเช่นนี้ไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่ว่าเขาไม่สบายใจ
หากไม่ใช่เพราะรู้ว่านางมีจุดประสงค์อื่น…
“ไม่มีโอกาสหน้าอีกแล้ว”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็น ยากที่จะปฏิเสธ
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว
“องค์ชายนี่คือเรื่องของข้า ดูเหมือนท่านจะไม่มีสิทธิยุ่งใช่หรือไม่?”
ริมฝีปากบางของหรงซิวยกขึ้นเล็กน้อย
“โอ้? หากข้าบอกว่าข้ามีสิทธิล่ะ?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มหยัน
“องค์ชาย มันเป็นเรื่องจริงที่ท่านนั้นสูงศักดิ์ แต่เหตุใดข้าต้องฟังท่านด้วยเล่า?”
มือของหรงซิวเลื่อนมาจับที่แก้มและใบหน้าของนาง พร้อมทั้งขยับเข้ามาประชิดตัว
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นรัวผิดจังหวะ พลางมองไปที่ใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเขาที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
นางอยากจะถอยหลังกลับ ทว่ามือในแขนเสื้อกลับกำแน่น เมื่อคลายออกก็ยังไม่สามารถขยับได้
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ดูเหมือนว่านางจะคุ้นเคยกับความใกล้ชิดของหรงซิว
ประหนึ่ง…ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ
เขาจ้องมองนางด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง ราวกับว่ามีแรงดึงดูดที่จะกลืนกินทุกสิ่ง
ทันใดนั้น เขาเอียงหัวเล็กน้อย พร้อมทั้งยิ้มและกระซิบข้างหูของนางอย่างแผ่วเบา “มีสิทธิเพราะว่า…ข้าคุ้นเคยกับคนที่เจ้าชอบเป็นอย่างดี”
แม้เป็นประโยคที่เรียบง่าย ทว่ากลับเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจของฉู่หลิวเยว่ในทันใด!
เขาได้ยิน!
และยังได้ยินอย่างชัดเจน!
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนฉู่หลิวเยว่ยังสามารถแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเขาได้ยินอะไร ทว่าตอนนี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
หัวใจของนางเต้นรัว ใบหน้าร้อนผ่าว
นางเอื้อมมือออกไป พร้อมทั้งผลักเขาออกอย่างรวดเร็ว “องค์ชาย ท่านได้ยินผิดแล้ว ข้าไม่ได้พูดว่าคนผู้นั้นคือท่าน”
“แล้วข้าพูดหรือว่าคนผู้นั้นคือข้า?”
หรงซิวถามกลับอย่างเย็นชา ทำให้การโต้เถียงของฉู่หลิวเยว่หยุดลงอย่างกะทันหัน
นางวางมือทั้งสองข้างบนแผ่นอกกว้างและแข็งแกร่งของเขา โดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ควรถอยเดินหน้าหรือถอยหลัง
ยิ่งปกปิดกลับยิ่งเปิดเผย มันคือเหตุการณ์เช่นนี้เอง!
หรงซิวมองไปที่นางเพื่อดื่มด่ำสีหน้าเขินอายของหญิงสาว เมื่อรู้สึกสบายใจ
เขาจึงอุ้มนางขึ้นมา
“องค์ชาย!?”
“เมื่อวานเจ้าพักผ่อนไม่เต็มที่ วันนี้ข้าจะอยู่กับเจ้า”
หรงซิวอุ้มนางไปที่เตียง และวางนางลงอย่างนุ่มนวล จากนั้นเขาจึงเอนกายลงข้างๆ นาง
ฉู่หลิวเยว่กลับรู้สึกประหลาดใจ “…เอ่อ องค์ชายไม่นอนหรือ?”
หรงซิวนอนหนุนแขนหนึ่งแขน และหันมามองนางด้วยรอยยิ้ม
“นอนได้แล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น”
ฉู่หลิวเยว่กลืนคำพูดที่เหลือทันที นางลังเลอยู่สักพักแล้วหลับตาลง
อาจเป็นเพราะสองวันที่ผ่านมานางเหนื่อยมาก ไม่นานนัก นางจึงผล็อยหลับไป
หรงซิวจับมือนางด้วยมืออีกข้าง จากนั้นกระแสสีเงินแวววับจึงไหลเข้าสู่ฝ่ามือนางอย่างเงียบๆ
ฉู่หลิวเยว่เริ่มหายใจได้ยาวมากขึ้น
ไม่รู้ว่าเพราะนางฝันร้ายหรือไม่ คิ้วของนางจึงขมวดปมแน่นด้วยสีหน้าเจ็บปวด
ครั้นเมื่อหรงซิวเห็น เขาจึงยื่นมือออกไปลูบคิ้วของนางช้าๆ เพื่อให้คิ้วคลายปมแน่น พลางพึมพำเบาๆ “เยว่เอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่…”
เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับจะสลายหายไปกับสายลมเมื่อใดก็ได้
สีหน้าเจ็บปวดของฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ จางหายไป และกลับมาสงบอีกครั้ง
นางเอนตัวเข้าใกล้พื้นที่ที่อบอุ่นโดยไม่รู้ตัว และในที่สุดนางก็เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของหรงซิว
หรงซิวมองไปยังใบหน้าที่หลับใหลของหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าเขา จากนั้นร่องรอยความสงสารในดวงตาของเขาก็เอ่อล้นออกมา