เล่ม 2 ตอนที่ 179 น่ารำคาญ

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ฉู่หลิวเยว่ว่าเขานั้นหน้าไม่อาย ทว่าใบหูของนางกลับร้อนผ่าว

โชคดีที่ตอนนี้มืดแล้ว เขาน่าจะมองเห็นไม่ชัด

นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ จากนั้นขึ้นไปบนชั้นสองราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ตอนนี้องค์ชายมีที่พักอาศัยของตนเองในสำนักแล้ว เหตุใดวันๆ ยังต้องวิ่งมาหาข้า?”

หรงซิวไม่ตอบ ทว่าเหมือนจะยิ้มแต่กลับไม่ยิ้ม

“ตำแหน่งตรงนี้ของเจ้าดีมาก ไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เจ้าเพียงแค่มองจากตรงนี้ก็สามารถเห็นข้าได้อย่างชัดเจนแต่ข้ามาหาเจ้าด้วยตนเองจะดีกว่า”

ฉู่หลิวเยว่ชะงัก

“องค์ชาย ข้าเลือกที่นี่ก่อน”

หากนางรู้ว่าหรงซิวจะมา หรือว่าอยู่ที่ตรงนั้น นางจะไม่เลือกที่นี่อย่างแน่นอน

นางเดินไปยังตู้ พลางหยิบขิงฝานออกมา แล้วใส่ลงในถ้วยชา

เติมน้ำร้อนลงไป รสขมและรสเผ็ดร้อนแผ่ซ่านอย่างรวดเร็ว

นางรินน้ำชาหนึ่งถ้วย แล้วส่งให้เขา

“เชิญ องค์ชาย”

หรงซิวยิ้ม พลางเหลือบมอง

“เหตุใดต้องเป็นชาขิงทุกครั้งที่ข้ามา?”

ฉู่หลิวเยว่พูดอย่างจริงจัง “ที่นี่ไม่มีชารสเลิศ หากท่านเต็มใจก็เชิญดื่ม แต่ถ้าหากไม่ก็มิต้องฝืน”

หรงซิวยิ้มมุมปาก และดึงถ้วยชาจากมือนาง

มือของทั้งสองสัมผัสกัน

ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขา ทว่ากลับเห็นสีหน้าของเขาปกติราวกับไม่รู้ว่ายามนี้ไม่ปกติ

หน้ายังหนาเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน!

ฉู่หลิวเยว่ต่อว่าในใจ

“บนตัวของเจ้ามีกลิ่นยา เมื่อวานเจ้าหลอมยาทั้งคืนหรือ?”

หรงซิวจิบชา พลางจับจ้องไปยังใบหน้าของนาง และรอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆเลือนราง

ฉู่เหลิวเย่วตาโตเล็กน้อย “องค์ชายรู้ได้อย่างไร?”

หรือว่าเมื่อวานเขามา?

ไม่ นางจำไม่ได้ว่าเขามา?

หรงซิวเชยคางนางขึ้น

ฉู่หลิวเยว่เอื้อมมือมาลูบหน้าตนเอง “มีสิ่งใดติดหน้าข้าหรือ?”

หรงซิวถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมทั้งหัวเราะเบาๆ

คนฉลาดมักจะสับสนในเวลาแบบนี้

เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกสองสามก้าว และยืนอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่

การอยู่ใกล้ร่างสูงใหญ่ ทำให้รู้สึกถูกกดขี่อย่างอธิบายไม่ถูก

จากนั้น เขาก็ยื่นมือออกมา

ฉู่หลิวเยว่กำลังจะก้าวถอยหลัง ทว่าดวงตากลับสอดประสานกับเขา

ราวกับว่ามีคลื่นน้ำไหลเชี่ยวที่เต็มไปด้วยความหวงแหนภายใต้ดวงตาที่สงบและลึกซึ้ง

ร่าวกายของฉู่หลิวเยว่แข็งทื่อ ขยับเขยื้อนไม่ได้

นิ้วอันอบอุ่นของหรงซิวสัมผัสที่ใต้ตาของนาง

ภายใต้เสียงไฟสามารถเห็นรอยคล้ำจางๆ ใต้ตาของนางได้อย่างชัดเจน

หากไม่อยู่ทั้งคืนคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้

“แค่เพื่อนร่วมชั้นผู้หนึ่ง มันคุ้มค่าหรือ?”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและสีหน้าที่อยากจะคาดเดา

ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปาก

นางไม่ใช่คาดไม่ถึงว่าหรงซิวจะรู้ว่านางกำลังช่วยเลี่ยวจงซู เพราะถึงอย่างไรนางตั้งใจที่จะล่องูออกจากถ้ำ

“ข้ากับเขาเคยทุกข์ยากลำบากมาด้วยกัน เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะตาย แน่นอนว่าข้าไม่สามารถอยู่เฉยๆ โดยไม่ช่วยเขาได้”

หรงซิวหรี่ตา

คำพูดเช่นนี้ไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่ว่าเขาไม่สบายใจ

หากไม่ใช่เพราะรู้ว่านางมีจุดประสงค์อื่น…

“ไม่มีโอกาสหน้าอีกแล้ว”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็น ยากที่จะปฏิเสธ

ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว

“องค์ชายนี่คือเรื่องของข้า ดูเหมือนท่านจะไม่มีสิทธิยุ่งใช่หรือไม่?”

ริมฝีปากบางของหรงซิวยกขึ้นเล็กน้อย

“โอ้? หากข้าบอกว่าข้ามีสิทธิล่ะ?”

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มหยัน

“องค์ชาย มันเป็นเรื่องจริงที่ท่านนั้นสูงศักดิ์ แต่เหตุใดข้าต้องฟังท่านด้วยเล่า?”

มือของหรงซิวเลื่อนมาจับที่แก้มและใบหน้าของนาง พร้อมทั้งขยับเข้ามาประชิดตัว

หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นรัวผิดจังหวะ พลางมองไปที่ใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเขาที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

นางอยากจะถอยหลังกลับ ทว่ามือในแขนเสื้อกลับกำแน่น เมื่อคลายออกก็ยังไม่สามารถขยับได้

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ดูเหมือนว่านางจะคุ้นเคยกับความใกล้ชิดของหรงซิว

ประหนึ่ง…ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ

เขาจ้องมองนางด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง ราวกับว่ามีแรงดึงดูดที่จะกลืนกินทุกสิ่ง

ทันใดนั้น เขาเอียงหัวเล็กน้อย พร้อมทั้งยิ้มและกระซิบข้างหูของนางอย่างแผ่วเบา “มีสิทธิเพราะว่า…ข้าคุ้นเคยกับคนที่เจ้าชอบเป็นอย่างดี”

แม้เป็นประโยคที่เรียบง่าย ทว่ากลับเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจของฉู่หลิวเยว่ในทันใด!

เขาได้ยิน!

และยังได้ยินอย่างชัดเจน!

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนฉู่หลิวเยว่ยังสามารถแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเขาได้ยินอะไร ทว่าตอนนี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

หัวใจของนางเต้นรัว ใบหน้าร้อนผ่าว

นางเอื้อมมือออกไป พร้อมทั้งผลักเขาออกอย่างรวดเร็ว “องค์ชาย ท่านได้ยินผิดแล้ว ข้าไม่ได้พูดว่าคนผู้นั้นคือท่าน”

“แล้วข้าพูดหรือว่าคนผู้นั้นคือข้า?”

หรงซิวถามกลับอย่างเย็นชา ทำให้การโต้เถียงของฉู่หลิวเยว่หยุดลงอย่างกะทันหัน

นางวางมือทั้งสองข้างบนแผ่นอกกว้างและแข็งแกร่งของเขา โดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ควรถอยเดินหน้าหรือถอยหลัง

ยิ่งปกปิดกลับยิ่งเปิดเผย มันคือเหตุการณ์เช่นนี้เอง!

หรงซิวมองไปที่นางเพื่อดื่มด่ำสีหน้าเขินอายของหญิงสาว เมื่อรู้สึกสบายใจ

เขาจึงอุ้มนางขึ้นมา

“องค์ชาย!?”

“เมื่อวานเจ้าพักผ่อนไม่เต็มที่ วันนี้ข้าจะอยู่กับเจ้า”

หรงซิวอุ้มนางไปที่เตียง และวางนางลงอย่างนุ่มนวล จากนั้นเขาจึงเอนกายลงข้างๆ นาง

ฉู่หลิวเยว่กลับรู้สึกประหลาดใจ “…เอ่อ องค์ชายไม่นอนหรือ?”

หรงซิวนอนหนุนแขนหนึ่งแขน และหันมามองนางด้วยรอยยิ้ม

“นอนได้แล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น”

ฉู่หลิวเยว่กลืนคำพูดที่เหลือทันที นางลังเลอยู่สักพักแล้วหลับตาลง

อาจเป็นเพราะสองวันที่ผ่านมานางเหนื่อยมาก ไม่นานนัก นางจึงผล็อยหลับไป

หรงซิวจับมือนางด้วยมืออีกข้าง จากนั้นกระแสสีเงินแวววับจึงไหลเข้าสู่ฝ่ามือนางอย่างเงียบๆ

ฉู่หลิวเยว่เริ่มหายใจได้ยาวมากขึ้น

ไม่รู้ว่าเพราะนางฝันร้ายหรือไม่ คิ้วของนางจึงขมวดปมแน่นด้วยสีหน้าเจ็บปวด

ครั้นเมื่อหรงซิวเห็น เขาจึงยื่นมือออกไปลูบคิ้วของนางช้าๆ เพื่อให้คิ้วคลายปมแน่น พลางพึมพำเบาๆ “เยว่เอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่…”

เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับจะสลายหายไปกับสายลมเมื่อใดก็ได้

สีหน้าเจ็บปวดของฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ จางหายไป และกลับมาสงบอีกครั้ง

นางเอนตัวเข้าใกล้พื้นที่ที่อบอุ่นโดยไม่รู้ตัว และในที่สุดนางก็เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของหรงซิว

หรงซิวมองไปยังใบหน้าที่หลับใหลของหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้าเขา จากนั้นร่องรอยความสงสารในดวงตาของเขาก็เอ่อล้นออกมา