บทที่ 152 อาหารที่ทำให้ผู้คนมีความสุข

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

กลิ่นหอมหวนน่ากินพุ่งออกจากรอยกัดบนตัวเกี๊ยวเข้าใส่หน้าของจีเฉิงเสวี่ย ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย กลิ่นเข้มข้นพลันซอกซอนเข้าไปในโพรงจมูกแล้วปลุกประสาทสัมผัสของเขาขึ้นมาทันที

กลิ่นหอมสีรุ้งปรากฏขึ้นในพริบตาแล้วสลายหายไปในพริบตาเช่นกัน ราวกับเป็นน้ำที่ราดลงบนกระทะเดือดจัดก็ไม่ปาน ตอนที่จีเฉิงเสวี่ยหายจากความตื่นตะลึง กลิ่นหอมสีรุ้งก็สลายหายไปแล้ว

จักรพรรดิหนุ่มค่อยๆ เคี้ยวอาหารที่อยู่ในปาก เขาพลันรู้สึกถึงความสุขเอ่อล้น รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ในใจเต็มเปี่ยมด้วยความรื่นรมย์ที่ไม่อาจควบคุมได้

เกี๊ยวตรงหน้าส่งผลต่ออารมณ์ของเขาอย่างที่สุด หลังจากได้กิน ในอกของชายหนุ่มก็เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมายไม่ต่างอะไรจากสีสันของสายรุ้ง ความรู้สึกสุดท้ายที่ปรากฏคือความปีติยินดีล้นปรี่

จีเฉิงเสวี่ยไม่ได้แปลกใจอะไรที่เกี๊ยวตรงหน้าไม่มีพลังปราณแม้แต่น้อย เนื่องจากปู้ฟางใช้วัตถุดิบธรรมดาในการทำ ทว่า…รสสัมผัสของเกี๊ยวนั้นทำให้เขาประหลาดใจเหลือล้น

เกี๊ยวที่ชุ่มฉ่ำหอมกรุ่นให้ความรู้สึกละมุนลิ้นอยู่ภายในปากของเขา ราวกับเป็นสายลมเย็นที่พัดผ่านไป…

จีเฉิงเสวี่ยไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เขารีบเอาเกี๊ยวครึ่งตัวที่เหลือใส่ปากเคี้ยวกลืนแล้วดื่มด่ำรสชาติของมันอย่างมีความสุข

หลังจากกินเกี๊ยวเสร็จ จักรพรรดิหนุ่มก็ยกชามกระเบื้องสีฟ้าขาวขึ้นเป่าลมเบาๆ ก่อนดื่มน้ำซุปเข้าไปอึกใหญ่ น้ำซุปนั้นใสแจ๋วแต่รสชาติก็ไม่ได้จืดจาง มันเข้มข้นเหมือนทำด้วยวัตถุดิบจากทะเลไม่มีผิด

เมื่อได้ดื่มน้ำซุปหลังกินเกี๊ยว ร่างกายของชายหนุ่มก็พลันรู้สึกอบอุ่นท่ามกลางความหนาวที่เย็นเยียบ

ขณะเดียวกัน ปู้ฟางยังเอาเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวที่ห่อแล้วใส่ลงในกระทะพลางตักเกี๊ยวที่ลอยอยู่บนผิวน้ำขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ขาดมือ ชามสีฟ้าขาวทุกใบเต็มไปด้วยเกี๊ยวสามตัวและต้นหอมโรยหน้า มันดูเรียบง่ายน่าพึงพอใจอย่างยิ่ง

เหล่าขันทีต่างยกชามใส่เกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งไปให้ขุนนางระดับสูงเพื่อให้คนเหล่านั้นได้ลิ้มลองรสชาติเช่นเดียวกัน

พอแต่ละคนกัดเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวเข้าไป พวกเขาก็พากันตื่นตะลึงกับกลิ่นหอมหวนสีรุ้งและไอหอมกรุ่นลึกลับที่พุ่งเข้าใส่ใบหน้า มันช่าง…สวยงามดีจริงๆ

หนำซ้ำรสชาติของเกี๊ยวก็ดีงามเกินกว่าที่พวกเขาคาดหวังไปไกล มันอร่อยเสียจนทุกคนอยากกลืนลิ้นตัวเองลงไปด้วย ความสุขล้นเปี่ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้า อาหารจานนี้เป็นอาหารที่ทำให้ทุกคนสำราญใจอย่างยิ่ง

คราวนี้ก็ถึงตาเหล่าชาวบ้านแล้ว พวกเขาแทบจะอดรนทนไม่ไหว เมื่อได้เห็นสีหน้าเปี่ยมสุขของเหล่าขุนนางระดับสูง ความอดทนก็แทบจะสะบั้นไป เป็นอาหารจานใดกันที่ทำให้คนเหล่านั้นมีความสุขเช่นนี้

ชาวบ้านทุกคนที่ได้รับชามใส่เกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งแล้วต่างกระตือรือร้นที่จะลิ้มลองอาหารตรงหน้า ทันทีที่กัดเกี๊ยว กลิ่นหอมหวนสีรุ้งก็พลันพุ่งออกมาโอบล้อมทุกคนเอาไว้

กลิ่นหอมรุนแรงแทรกซึมไปในอากาศแล้วเข้าปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ ทุกคนต่างทำจมูกบานสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยล่องอยู่อย่างรุนแรง ความอยากกินในใจถูกกระตุ้นไปจนถึงจุดที่ไม่อาจควบคุมได้

เมื่อคู่ผู้เฒ่าสามีภรรยาได้ลิ้มรสเกี๊ยวในมือ ความสุขล้นก็พลันปรากฏบนใบหน้า พวกเขารู้สึกราวกับว่าได้กลับมาเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นอีกหลายปี

“ยายเฒ่าเอ๊ย ลองกินไอ้นี่ดู จานนี้…อร่อยเหลือเกิน” ชายชราใช้ช้อนตักเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวแล้วยื่นไปตรงหน้าหญิงชราที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

หญิงชราพลันหัวเราะออกมาด้วยความกระดากอายพลางกลอกตาใส่อีกฝ่าย แต่ก็ไม่วายเปิดปากกัดเกี๊ยวที่ยื่นมาให้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วหน้าอกของคนทั้งคู่

เมื่อสองผู้เฒ่าผมสีดอกเลากินเกี๊ยวในมือ ความรู้สึกสุขล้นก็พลันแผ่ปกคลุมรอบตัวพวกเขา

ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งกินเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวอยู่ข้างๆ ภรรยา ก่อนหน้านี้พวกเขามีปากเสียงกันเรื่องไม่เป็นเรื่อง และตอนนี้ก็กำลังเมินกันอยู่ ฝ่ายภรรยายนั้นยังไม่ได้รับชามใส่เกี๊ยว จึงได้แต่ใช้หางตาเหลือบแลสามีที่กำลังกินเกี๊ยวอย่างเบิกบานใจ ความขุ่นเคืองในใจพุ่งสูงขึ้นทุกเสี้ยวลมหายใจที่ผันผ่าน แต่จู่ๆ นางก็ประหลาดใจขึ้นมาเมื่อช้อนกระเบื้องสีขาวที่มีชิ้นเกี๊ยววางอยู่ด้านบนถูกยื่นมาให้ตรงหน้า

หญิงสาวหันไปมองแล้วก็ได้เห็นผู้เป็นสามีที่กำลังมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน

“แหะๆ ที่รัก ลองชิมสักคำสิ มันอร่อยจริงๆ นะ… อาหารจานนี้เหมือนมีเวทมนตร์อยู่เลย” ผู้เป็นสามีเอ่ยพลางหัวเราะเสียงแผ่ว ขณะยกช้อนที่ใส่เกี๊ยวไปตรงปากของอีกฝ่าย

หญิงสาวที่ก่อนหน้านี้กำลังขุ่นใจ มาบัดนี้ความขุ่นข้องพลันมลายหายไปทันที ดวงหน้าสวยเข้มขึ้นด้วยเลือดฝาดขณะอ้าปากกัดเกี๊ยวอย่างเอียงอาย กลิ่นหอมหวนสีรุ้งพวยพุ่งออกมาจนทำให้ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ

ภรรยายสาวกัดเกี๊ยวไปครึ่งตัว ส่วนอีกครึ่งตัวนั้นคนเป็นสามีกินเข้าไปหมดในคำเดียว ดวงหน้าสีเรื่อของนางพลันสว่างไสวขึ้น นางหยิกแขนคนเป็นสามีพลางกระมิดกระเมี้ยนพูดออกมา “เจ้าทำอะไรน่ะ ไม่เห็นหรือว่าคนเต็มเลย! น่าอายจะตายไป!”

ฉากคล้ายๆ กันนี้ปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ภายในประตูมายาสวรรค์ ทุกคนที่ได้ลิ้มรสเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งต่างพากันปลื้มปริ่มด้วยความสุขล้น หนำซ้ำคู่รักที่ก่อนหน้านี้ทะเลาะไม่พูดไม่จากันก็ล้วนแล้วแต่คืนดีกันด้วยความชื่นมื่นใจ

มนต์เสน่ห์ของเกี๊ยวทำให้ทุกคนเปี่ยมล้นด้วยความสุขและยิ่งทำให้บรรยากาศของงานเทศกาลเพิ่มพูนขึ้นไปอีก

“เมื่อไหร่จะถึงตาพวกเราเสียที?! รอมานานแล้วนะ!”

เหล่าชาวบ้านที่อดรนทนไม่ไหวหลายคนต่างพากันลุกออกจากที่ แล้วตรงไปยังทิศทางที่ปู้ฟางยืนอยู่

เมื่อมีคนกล้านำ คนจำนวนมากจึงตัดสินใจลุกขึ้นบ้างแล้วเดินตามไปด้วย บรรยากาศที่ดูเรียบร้อยเป็นระเบียบพลันวุ่นวายขึ้นมาทันที

ปู้ฟางมุ่นคิ้วขณะมองกลุ่มคนที่พุ่งเข้าหาตนเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ขณะเดียวกันบนยกพื้นสูง จีเฉิงเสวี่ยที่กินเกี๊ยวทั้งสามตัวในชามเรียบร้อยก็ดื่มน้ำซุปจนไม่เหลือแม้สักหยด ชายหนุ่มวางชามลงบนโต๊ะด้วยความพึงพอใจพลางหายใจเอาลมอุ่นๆ ออกมา

“ไปห้ามพวกเขา บอกให้มานั่งรอดีๆ ไม่อย่างนั้นจะถูกตัดสิทธิ์แล้วต้องออกไปจากที่นี่ทันที” จีเฉิงเสวี่ยพูดกับขันทีที่ยืนอยู่ใกล้ตัวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หลังจากเหลือบตามองฉากความวุ่นวายที่อยู่เบื้องล่าง

ขันทีผู้นั้นรับคำสั่ง จากนั้นเหล่าองครักษ์ในชุดเกราะจำนวนมากก็ตรงเข้าไปจัดการฝูงชนให้อยู่ในระเบียบทันที

ชาวบ้านเหล่านี้ไม่กล้าขัดคำสั่งของจักรพรรดิ จึงได้แต่นั่งลงประจำที่และอดทนต่อความหิวโหยขณะตั้งหน้าตั้งตารอเกี๊ยวของปู้ฟาง

สีหน้าของพ่อครัวจินเริ่มซีดเผือดขณะที่ศีรษะโล้นเลี่ยนของเขาดูจะหม่นหมองลงภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า…

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นได้ เขาใช้แค่วัตถุดิบธรรมดาแท้ๆ แล้วเหตุใดจึงทำอาหารที่อร่อยเช่นนั้นออกมาได้” พ่อครัวจินกังวลใจเป็นอันมาก ความพึงพอใจของจีเฉิงเสวี่ยและกลุ่มคนบอกชายหัวล้านได้เป็นอย่างดีว่าเกี๊ยวจันทร์เสี้ยวสีรุ้งของปู้ฟางนั้นเอาชนะลูกชิ้นสุขสราญสี่สหายของเขาอย่างขาดลอย

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ต่างจากสายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ สำหรับพ่อครัวจินผู้ที่ภาคภูมิใจในตนเองมาตลอด เขาเที่ยวคุยโวต่อหน้าพ่อครัวแม่ครัวคนอื่นๆ ว่าเถ้าแก่ปู้นั้นเป็นแค่พ่อครัวที่บังเอิญโชคดีและไม่มีสิ่งอื่นใดให้ต้องกังวล ทว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับฟาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ปรานี เขาโดนตบเข้าเต็มเปาจนแม้กระทั่งหัวล้านต้องหม่นแสงไป

“ข้า…ไม่เชื่อเด็ดขาด!” พ่อครัวจินรู้สึกร้อนใจขึ้นมา เขาถึงกับปล่อยลูกชิ้นในมือแล้วตั้งใจจะเดินไปหาปู้ฟาง

“พ่อครัวจิน… ช่วยทำอาหารของท่านให้เสร็จด้วย ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้เดินไปไหนมาไหนได้ตามใจ” ขันทีผู้หนึ่งรีบห้ามพ่อครัวจินด้วยน้ำเสียงแหลมสูงจนทำให้อีกฝ่ายได้สติขึ้นมา

พ่อครัวจินหายใจเข้าลึกแล้วมองปู้ฟางที่กำลังห่อเกี๊ยวอย่างเป็นขั้นตอนด้วยสายตามีความนัย ก่อนจะพ่นลมเยาะออกมา

ฉี่

เสียงฉี่จากการที่น้ำมันกระเด็นเข้าใส่เปลวไฟดังเข้าหูพ่อครัวจินแล้วทำให้เขาตื่นตระหนกเล็กน้อย พ่อครัวหัวล้านหมุนตัวกลับไปมองยังจุดจุดหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก

นัยน์ตาของเขาหดแคบอีกครั้งขณะสูดเอาลมเย็นเข้าปอด

อาลู่กับอาเหวยสองพี่น้องก็ทำอาหารเสร็จแล้วเช่นกัน… ทว่าภาพที่เห็นนั้นดูน่าตื่นตะลึงเกินไป

บนเตาทำอาหารของอาลู่มีท่อนโลหะขนาดใหญ่ตั้งตรงอยู่แทนที่จะเป็นกระทะ ท่อนโลหะแทงทะลุชิ้นเนื้อขนาดยักษ์ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วจมูก

หยดน้ำมันวาววับซึมออกมาจากชิ้นเนื้ออย่างต่อเนื่อง แล้วก่อให้เกิดเสี่ยงดังฉี่ทุกครั้งที่มันตกกระทบเปลวไฟในเตา

อาเหวยที่ยืนอยู่ข้างๆ อาลู่ก็ทำอาหารเสร็จแล้ว… อาหารที่เขาทำคือเนื้อย่างเช่นกัน แต่เขาใช้กรรมวิธีการทำที่แตกต่างจากผู้เป็นน้องชาย

อาเหวยยืนถือไม้เสียบเนื้อจำนวนมากอยู่ในมือทั้งสองข้าง บนไม้นั้นเสียบอสูรเวทตัวเล็กๆ ที่ฉ่ำไปด้วยมันวาววับเอาไว้

…………………….