บทที่ 153 หมูป่าย่างไฟที่อยากโบยบินสู่สรวงสวรรค์

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ไขมันทั่วตัวของอาลู่กระเพื่อมไปมารุนแรงเมื่อเขากวัดแกว่งมีดทำครัวขนาดใหญ่ในมืออย่างรวดเร็ว ดวงตาเล็กหยีมีแววจริงจังขณะหั่นชิ้นเนื้อออกจากเนื้อย่างขนาดใหญ่ยักษ์

เนื้อชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกหั่นออกมาจากเนื้อย่างขนาดยักษ์ แต่ละชิ้นร่วงลงมาบนจานสีขาวที่วางเรียงรายบนโต๊ะ จานหนึ่งจานมีชิ้นเนื้อย่างวางอยู่หนึ่งชิ้น เมื่อครบห้าจาน อาลู่ก็วางมีดลงแล้วหยิบกระบวยขึ้นตักน้ำซอสราดบนเนื้อย่างเหล่านั้น

กลิ่นหอมเข้มข้นของเนื้อรวมถึงกลิ่นซอสเปรี้ยวหวานพุ่งขึ้นในอากาศแล้วเข้าโอบล้อมประสาทสัมผัสเหล่าคนที่อยู่ในบริเวณนั้นทันที

จากนั้นอาลู่ก็ส่งสัญญาณให้ขันทีรู้ว่าอาหารจานนี้พร้อมกินแล้ว

ดวงตาของจีเฉิงเสวี่ยเป็นประกายเล็กน้อยเมื่อเห็นเนื้อย่างชุ่มฉ่ำตรงหน้า เนื้อนี้ย่างมาสุกกำลังดี สีสันและลวดลายไขมันก็ดูโดดเด่นแปลกตา เพียงแค่ปรายตามองจักรพรรดิหนุ่มก็รู้ได้ว่ามันไม่ใช่เนื้อของอสูรเวทธรรมดา

“นี่เป็นเนื้อของหมูป่าดอกท้อลาย อสูรเวทระดับสามสินะ” จีเฉิงเสวี่ยพึมพำกับตนเองเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้

ชายหนุ่มรับมีดทองคำที่ขันทียื่นมาให้อย่างนอบน้อม เขาใช้ตะเกียบกดเนื้อไว้จากนั้นก็หั่นเนื้อชิ้นเล็กๆ ออกมาชิ้นหนึ่งด้วยมีดทองคำ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะใช้มีดคมๆ หั่นเนื้อที่สุกเรียบร้อยแล้ว

ทันทีที่เนื้อย่างถูกหั่น ไอร้อนและกลิ่นหอมเข้มข้นก็พวยพุ่งออกมาจากรอยหั่น กลิ่นนั้นละมุนละไมราวกับเป็นน้ำนมก็ไม่ปาน

จีเฉิงเสวี่ยใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อมาจิ้มน้ำซอสแล้วเอาเข้าปาก

ขณะที่เคี้ยวเนื้อย่างในปาก สีหน้าของจักรพรรดิหนุ่มก็เหมือนล่องลอยอยู่ในความฝัน ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ชายหนุ่มดูเหมือนกำลังดื่มด่ำกับรสชาติอันแสนวิเศษของเนื้อที่ระเบิดออกมาในปาก ร่างทั้งร่างราวกับกำลังถูกชำระล้างด้วยม่านหมอกของกลิ่นหอม

จักรพรรดิหนุ่มดื่มด่ำกับความรู้สึกนี้จนแทบไม่อยากลืมตา

ผ่านไปพักใหญ่ จีเฉิงเสวี่ยก็ค่อยๆ เปิดตาขึ้นช้าๆ แล้วเอ่ยชมออกมาเสียงดังด้วยความปรีดา

จากนั้นเขาก็หั่นเนื้อออกเป็นชิ้นเล็กๆ อีกรอบแล้วกินอย่างต่อเนื่อง ความหวานอมเปรี้ยวของน้ำซอสทำให้ชายหนุ่มหยุดกินไม่ได้

เมื่ออาลู่ได้เห็นสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของจักรพรรดิหนุ่ม เขาก็ระเบิดหัวเราะออกมา ไขมันบนใบหน้ากระเพื่อมอย่างรุนแรง ชายอ้วนเกือบฉลองให้ตนเองด้วยการดึงน่องไก่จากผ้ากันเปื้อนออกมาฉีกกินแล้ว แต่ก็หยุดมือไปหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาเคยโดนอาจารย์ตำหนิมาแล้วครั้งหนึ่งเรื่องกินน่องไก่ระหว่างทำอาหาร

เนื้อย่างจานแล้วจานเล่าถูกนำไปวางตรงหน้าผู้เข้าร่วมงาน คนเหล่านั้นล้วนดื่มด่ำกับกลิ่นหอมและรสชาติที่เลิศล้ำของมันด้วยกันทั้งสิ้น

ทันใดนั้นอาลู่ก็ทำจมูกฟุดฟิด ไขมันบนใบหน้าเริ่มกระเพื่อมอีกครั้ง เขาหันไปมองยังทิศที่พี่ชายของตนทำอาหารอยู่ กลิ่นหอมยวนยั่วที่ราวกับมีมนต์วิเศษเป็นส่วนประกอบลอยมาจากตรงนั้นนั่นเอง

“หอมอะไรเช่นนี้! ข้าละอยากกินบ้างจัง! ทักษะการทำอาหารของพี่ใหญ่พัฒนาไปอีกขั้นแล้วสินะ!” อาลู่แทบน้ำลายไหลขณะสูดดมกลิ่นหอมที่อยู่ในอากาศ

ทักษะการทำอาหารของอาเหวยนั้นยอดเยี่ยมอย่างไม่มีข้อกังขา อาลู่มั่นอกมั่นใจในตัวพี่ชายของตนอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่ออาเหวยถูกเถ้าแก่ปู้กระตุ้นมา

อึ๊ก! ขณะสูดดมกลิ่นหอม สีหน้าของอาลู่ก็เริ่มอดรนทนไม่ไหวมากขึ้น “ในเมื่อกินเนื้อย่างนั่นไม่ได้… เช่นนั้นข้าขอกินน่องไก่แก้ขัดไปก่อนแล้วกัน!”

ขณะเดียวกัน ปู้ฟางที่กำลังห่อเกี๊ยวอย่างไร้อารมณ์ก็พลันสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นหอมหวนที่ลอยอยู่ในอากาศ เขาทำจมูกฟุดฟิดพลางเลิกคิ้ว

“มีคนใช้สมุนไพรพลังปราณรมควันเนื้อด้วยแฮะ…” ปู้ฟางพึมพำกับตนเองขณะที่ความเร็วในการห่อเกี๊ยวเริ่มลดลงอย่างไม่รู้ตัว สมุนไพรพลังปราณย่อมมีพลังปราณอยู่สมชื่อ ดังนั้นมันจึงสามารถชูรสชาติและรูปลักษณ์ของวัตถุดิบให้โดดเด่นขึ้นได้

แม้การปรุงสมุนไพรพลังปราณตรงๆ จะเป็นวิธีที่เสียเปล่า แต่การใช้มันรมควันเนื้อก็นับเป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

สีหน้าของปู้ฟางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขายอมรับในใจว่ากลิ่นของเนื้อย่างที่ลอยเข้าจมูกนี้หอมหวนชวนกินอย่างมาก กลิ่นหอมของเนื้อผสานกับกลิ่นยาของสมุนไพรนั้นออกมาดีงามอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อกลิ่นดังกล่าวแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ สีหน้าของแต่ละคนที่สูดกลิ่นเข้าไปก็พลันเปลี่ยนไป พวกเขาต่างหันไปทางต้นตอของกลิ่นด้วยสีหน้าที่มึนเมาและลุ่มหลงอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนกลืนน้ำลายลงคอไม่หยุดขณะที่กระเพาะก็ส่งเสียงโครกครากไม่ขาดสายเช่นกัน

จีเฉิงเสวี่ยกินเนื้อย่างของอาลู่เสร็จแล้ว และกำลังงุนงงเมื่อกลิ่นหอมจนเกินบรรยายดึงดูดความสนใจของเขา จักรพรรดิหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหันศีรษะไปยังทิศที่อาเหวยอยู่ มือข้างหนึ่งของอาเหวยถือไม้เสียบอสูรเวทย่างไฟที่วาววับไปด้วยไขมันเอาไว้ห้าไม้ อสูรเวทเหล่านี้ดูน่ากินเป็นอย่างมากเมื่อเอามาปรุงเป็นอาหารเรียบร้อย

หลังจากตกแต่งขั้นตอนสุดท้ายเสร็จ อาเหวยก็ยื่นอสูรเวทย่างไฟทั้งห้าไม้ให้ขันที

“ให้ท่านจักรพรรดิหนึ่งไม้ ส่วนโต๊ะอื่นๆ ให้โต๊ะละไม้” อาเหวยกล่าวพลางยืดคางคมกริบของตนขึ้น

ขันทีผู้นั้นรีบพยักหน้ารับหลังหายจากอาการตื่นตะลึง แล้วค่อยๆ นำอสูรเวทย่างไฟเสียบไม้ไปให้จีเฉิงเสวี่ย

หลังจากส่งไม้เสียบอสูรเวทขนาดเล็กย่างไฟที่ดูสวยงามให้จักรพรรดิหนุ่มแล้ว ขันทีก็บรรจงแบ่งอีกสี่ไม้ที่เหลือให้เหล่าขุนนางชั้นสูง

ทุกคนต่างพากับจับจ้องไปที่อสูรเวทเสียบไม้ย่างไฟ แม้กลิ่นหอมของมันจะยังอบอวลอยู่ไม่ขาดสายและกระตุ้นความอยากกินของพวกเขาไม่หยุด… แต่ไม่มีใครสักคน รวมถึงจีเฉิงเสวี่ยด้วยที่คิดจะลงมือกิน

เหตุผลหลักก็คืออสูรเวทย่างไฟของอาเหวยนั้นดูเหมือนยังมีชีวิตอยู่เกินไป ผิวนอกของมันยังแดงและดูอ่อนนุ่ม อสูรเวทแต่ละตัวดูมีชีวิตชีวาและสวยงามยิ่ง สวยเกินกว่าที่ใครจะกล้ากิน

“เริ่มกินได้แล้ว จะจ้องให้ได้อะไรขึ้นมา อาหารน่ะมีไว้กิน อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าจะเอาแต่จ้องอย่างเดียว” อาเหวยพูดเยาะออกมาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครกินเลยสักคน

พอพูดจบเขาก็กลับไปประจำหน้าเตาแล้วเริ่มย่างอสูรเวทต่อ…

จีเฉิงเสวี่ยหรี่ตาก่อนจะหยิบมีดขึ้นมาหั่นอสูรเวทหมูป่าที่เหยียดแข้งขาออกราวกับกำลังโบยบินสู่สรวงสวรรค์

หนังของหมูป่าย่างไฟนั้นทั้งกรอบและอ่อนนุ่ม ขณะที่เขาใช้มีดผ่าลงไปมันก็ส่งเสียงกรอบออกมา และให้ความรู้สึกราวกับตัดผ่านกระดาษ

กระเพาะของหมูป่าย่างไฟบรรจุวัตถุดิบเอาไว้จนเต็ม ทันทีที่กระเพาะถูกผ่า น้ำซอสที่ยังร้อนจนไอขึ้นก็พุ่งออกมาปกคลุมหมูป่าย่างไฟไปทั้งตัว

“อาหารซ้อนอาหารเช่นนั้นหรือ” จีเฉิงเสวี่ยอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ กลิ่นน้ำซอสกลมกล่อมยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากกินมากขึ้น

ซอสเปรี้ยวนี้แตกต่างจากซอสของอาลู่เล็กน้อย มันเหมือนปรุงขึ้นจากน้ำแกงที่เคี่ยวพร้อมสมุนไพรพลังปราณแล้วเทใส่ลงไปในกระเพาะของหมูป่าย่างไฟ เมื่อผ่ากระเพาะ น้ำซอสที่ว่าย่อมกระจายออกมาทั่วเป็นธรรมดา

ซอสของอาลู่นั้นเป็นเครื่องปรุงรส ส่วนซอสของอาเหวยนับได้ว่าเป็นอาหารอีกหนึ่งจาน

จีเฉิงเสวี่ยใช้ช้อนกระเบื้องตักน้ำซอสขึ้นมา ก่อนจะหั่นหมูป่าย่างไฟออกมาชิ้นหนึ่ง แล้วกินทั้งสองอย่างเข้าไปพร้อมกัน

ทันทีที่ช้อนเข้าปาก ขนทั่วร่างของเขาก็ตั้งชัน กระทั่งรูจมูกของชายหนุ่มยังมีไอร้อนพวยพุ่งออกมาเล็กน้อย

เนื้อหมูป่าย่างไฟนั้นให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มในปาก มันไม่ได้ให้รสชาติเหมือนหมูย่างทั่วไป แต่เมื่อกินร่วมกับน้ำซอสรสกลมกล่อมที่ทำมาจากวัตถุดิบนับไม่ถ้วน ก็กลับทำให้จีเฉิงเสวี่ยลุ่มหลงในรสชาติขึ้นมา เนื้อหมูป่าย่างไฟหนึ่งชิ้นกับน้ำซอสหนึ่งช้อนในปาก ชายหนุ่มหลงใหลในรสชาตินี้ และทำกิริยาซ้ำเดิมอยู่หลายรอบ เนื้อหมูป่าครึ่งหนึ่งหายวับลงไปในท้องของจีเฉิงเสวี่ยภายในลมหายใจเดียว ส่วนน้ำซอสชายหนุ่มก็ขอดจนหยดสุดท้าย

“อร่อยมาก! อร่อยจริงๆ!” จีเฉิงเสวี่ยเอ่ยชมด้วยรอยยิ้มสว่างไสวแล้วพยักหน้าไม่หยุด

เมื่อได้ยินเช่นนั้น มุมปากของอาเหวยก็ม้วนขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาเลิกคิ้วสูงพลางเชิดคางขึ้น แล้วหันไปมองปู้ฟางราวกับพยายามกวนโทสะอีกฝ่าย

ทว่าปู้ฟางเอาแต่จดจ่ออยู่กับการห่อเกี๊ยว ไม่ได้เงยหน้ามามองอาเหวยแม้แต่น้อย

การกวนโทสะของอาเหวยล้มเหลวไม่เป็นท่าจนทำให้ชายร่างผอมรู้สึกฉุนเฉียวอยู่ในใจ เขาใช้ความพยายามอย่างหนักในการปรุงอาหารจานนี้ขึ้นมาเพื่อล้างอายและทำให้อีกฝ่ายได้รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของเขา แต่ดูเหมือนว่า… ปู้ฟางจะไม่ได้ใส่ใจมองเขาเป็นคู่แข่งตั้งแต่แรก!

“หึ! เถ้าแก่ปู้ ไม่นานเจ้าต้องได้ลิ้มรสชาติความพ่ายแพ้แน่!” อาเหวยกล่าวพร้อมพ่นลมเยาะ

พ่อครัวแม่ครัวส่วนใหญ่เริ่มทำอาหารของตัวเองเสร็จ อาหารจานแล้วจานเล่าถูกนำไปวางบนโต๊ะ แม้แต่เหล่าชาวบ้านก็ได้ลิ้มรสอาหารไปเกือบทุกจานแล้ว แม้ความเร็วในการกินจะแตกต่างกันไปก็ตาม

ทว่าใบหน้าของทุกคนก็อาบไล้ไปด้วยรอยยิ้มสว่างไสว

อาหารนั้นมีอำนาจวิเศษที่สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นสุขและมีความปิติเปี่ยมล้นอย่างไม่อาจอธิบายได้