“เจ้าอย่ามองว่าเด็กเยี่ยเฟิงคนนี้เป็นคนเย็นชาเลย จริงๆ แล้วเขาเป็นคนจิตใจดีนะ เมื่อหลายเดือนก่อนเขาพายายที่ป่วยใกล้ตายผ่านมาที่หมู่บ้านของเรา เขาท้องร้องด้วยความหิวและไร้เรี่ยวแรง ข้าเห็นแล้วสงสารก็เลยให้หมั่นโถวเขาไปหนึ่งลูก ตอนแรกเขาไม่ยอมรับมัน แต่สุดท้ายเมื่อเห็นว่ายายของเขาหิวจนทนแทบไม่ไหว เขาจึงขอหมั่นโถวหนึ่งลูกไปให้ยายกินอย่างไม่เต็มใจนัก”

“แต่เจ้ารู้หรือไม่ เพียงเพราะข้าให้หมั่นโถวเขาไปหนึ่งลูก ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาช่วยงานที่แปลงผักของพวกข้าอย่างดี ทั้งยังซ่อมหลังคาเรือนให้ ตอนที่ลูกสะใภ้ของข้าจะคลอด เขาก็เป็นคนแบกนางพาไปหาหมอตำแย ช่วยชีวิตลูกสะใภ้กับลูกเอาไว้”

กู้ชูหน่วนที่กินบะหมี่อยู่หยุดชะงักไปนิดหนึ่ง

ถ้าเป็นอย่างที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่พูดจริงๆ เยี่ยเฟิงก็จิตใจดีใช่ย่อยทีเดียว

“เยี่ยเฟิงเป็นคนดี เขาไม่เพียงแต่ช่วยพวกข้า แต่ยังช่วยชาวบ้านในหมู่บ้านอีกหลายคน ตราบใดที่เขาพอจะทำได้ เขาจะพยายามทำอย่างเต็มที่ ทุกคนในหมู่บ้านของเราชอบเยี่ยเฟิงกันทั้งนั้น”

“ท่านบอกว่าเขาพายายของเขามาที่หมู่บ้านของพวกท่านเมื่อหลายเดือนก่อน นอกจากยาย เขาไม่มีญาติคนอื่นอีกเลยเหรอ”

เถ้าแก่ส่ายหน้า “ไม่มี ได้ยินมาว่าเขาอาศัยอยู่กับยายแค่สองคนมาตั้งแต่เล็ก ที่บ้านเกิดของเขาเกิดภัยพิบัติ ดังนั้นเขาจึงระหกระเหเร่ร่อนมาถึงหมู่บ้านของพวกเรา ตอนที่เราพบกับเยี่ยเฟิงครั้งแรก เนื้อตัวของเขามีแต่บาดแผลจนน่าตกใจ มีรอยถูกเฆี่ยนกับรอยแผลไฟไหม้หลายต่อหลายที่ ไม่รู้เลยว่าระหว่างทางที่ผ่านมาเขาต้องพบเจออะไรมาบ้าง”

รอยเฆี่ยน?

แผลไฟลวก?

กู้ชูหน่วนนึกถึงตอนที่อยู่ในหอไร้กังวลที่อยู่ๆ ก็มีจิตสังหารพุ่งมาจากเยี่ยเฟิง ตลอดจนการใช้เสียงโจมตีที่รุนแรงด้วยมือเดียวของเด็กหนุ่มเมื่อครู่นี้

นางไม่เชื่อว่าคนธรรมดาจะทำร้ายเขาได้

“ท่านรู้หรือไม่ว่ายายของเขาป่วยเป็นโรคอะไร”

“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก รู้เพียงแต่ว่ายายของเขามักจะไอ แถมยังไอออกมาเป็นเลือด นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจด้วย”

“อ้อยังมีอีก ตอนที่พวกเราพบกับยายของเขาเป็นครั้งแรก ดวงตาของนางเต็มไปด้วยเลือด ราวกับถูกใครควักลูกตาออกมาสดๆ ยังไงยังงั้น แต่เยี่ยเฟิงบอกว่าตาของนางมีปัญหามานานแล้ว ระหว่างทางที่ร่อนเร่มาตาจึงได้รับบาดเจ็บและมีเลือดไหลเช่นนี้ พวกเราไม่มีใครเชื่อเขาเลย แต่ในเมื่อเขาไม่อยากบอก พวกเราจึงไม่ได้ถามอะไรอีก”

เมื่อเถ้าแก่ร้านบะหมี่เริ่มพูดถึงเยี่ยเฟิง เขาก็พูดได้ไม่มีหยุดจนกู้ชูหน่วนไม่ต้องถามอะไรมาก

“ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้เยี่ยเฟิงทำงานหามรุ่งหามค่ำ กินอยู่อย่างประหยัด แล้วก็ไม่รู้ว่าทำงานอยู่กี่ที่ ทั้งหมดนั่นก็เพื่อหาเงินไปเป็นค่ารักษายาย ที่น่าสงสารก็คือเขาไปหาหมอมาหลายที่ แต่ก็รักษาอาการป่วยของยายไม่ได้เลย”

“อาการป่วยของยายเขาแปลกมาก นางมักจะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดในตอนกลางคืน เสียงอันโหยหวนนั่นฟังแล้วน่าสงสารมาก มีหมอคนหนึ่งในเมืองของเราบอกว่ายายของเขาอาจจะถูกยาพิษ เมื่อพิษกำเริบขึ้นมาอาจทำให้เจ็บปวดเจียนตาย”

“ทว่าหมอผู้นั้นก็ตรวจดูไม่ได้เหมือนกันว่าพิษที่ว่านั่นคือพิษอะไร ทุกครั้งที่พิษของยายกำเริบคือตอนที่เขาเจ็บปวดทรมานที่สุด มีหลายครั้งที่เราเห็นเขาแอบร้องไห้อยู่คนเดียว”

“แอบร้องไห้?” กู้ชูหน่วนเลิกคิ้ว

“ใช่ นั่งกอดเข่าซุกตัวสะอึกสะอื้นอยู่ในที่ลับตาคน ช่างน่าสงสารยิ่งนัก”

“เยี่ยเฟิงสุขภาพไม่ค่อยดี เราเลยตุ๋นเนื้อให้เขาบำรุงร่างกาย แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาพูดว่าอย่างไร เขาบอกว่าเขาไม่กินเนื้อสัตว์ เขากินมังสวิรัติ”

“ตอนแรกเราคิดว่าเขาเสียดายเงินที่จะซื้อเนื้อ ก็เลยแก้ตัวว่าตัวเองไม่กินเนื้อสัตว์ ต่อมาที่หมู่บ้านของเราจัดงานเฉลิมฉลองอยู่หลายครั้ง เราเชิญเขาไปดื่มฉลอง แต่เขาไม่กินเนื้อเลยสักชิน นั่นเองพวกเราถึงรู้ว่าเขาไม่กินเนื้อสัตว์จริงๆ”