บทที่ 156

พวกขุนนางโดยรอบเริ่มคิดตามสิ่งที่ถังหยินกล่าวมา เพราะเมื่อมองในด้านผลประโยชน์แล้ว ข้อเสนอดังกล่าวก็นับได้ว่าดีต่อทั้งสองฝ่าย

สำหรับข้อแรกที่ห้ามมีทหารประจำการอยู่ตามแนวชายแดนระหว่างดินแดนทั้งสองนั้น นับว่าสมเหตุผลดี ด้วยสามารถลดและหลีกเลี่ยงการปะทะกันที่อาจเกิดขึ้นได้

ส่วนข้อสองที่ว่าเปิดเมืองทุกเมืองให้เป็นอิสระเพื่อการค้าขาย ซานเชสเองก็สนใจในจุดนี้เหมือนกัน แต่ทว่ายังต้องถกเถียงกันเรื่องจำนวนคนที่ควรจะถูกจำกัดเอาไว้ในการเดินทางแต่ละครั้งเสียหน่อย ก่อนที่สุดท้ายจะตกลงกันได้ที่การเปิดเมืองทั้งหมด 5 เมืองเป็นการนำร่อง

และเมื่อมาถึงข้อที่สาม ถังหยินก็ได้เรียกร้องค่าประติมากรรมสงครามเป็นจำนวน 5 แสนทองกับอีก 5 ล้านเงินออกมา

ทว่าพวกเบสซ่าไม่มีเงินในคลังจำนวนมากขนาดนั้น จึงยังไม่สามารถทำข้อตกลงในข้อนี้กันได้

มาตอนนี้มันก็มืดแล้ว หากแต่การทำข้อเจรจายังไม่สิ้นสุด ทว่าพวกเขานั้นก็ดูจะเหนื่อยกว่าตอนที่สู้กันในสนามรบเสียอีก

ซานเชสกล่าว “แม่ทัพถัง นี่มันก็เย็นแล้ว พวกเรามาทำข้อตกลงกันพรุ่งนี้ดีกว่าไหม ?”

ชายหนุ่มตอบ “ข้าเห็นด้วย”

ราชาชราหัวเราะ “ถ้างั้นก็ไหนแล้ว ๆ คืนนี้ที่วังของเราจะมีการจัดงานเลี้ยงกัน ดังนั้นข้าหวังว่าท่านจะเข้าร่วมด้วยนะ”

ถังหยินอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อคิดดูแล้วเขาก็ได้แต่ต้องยอมรับออกไป “ได้สิ”

งานเลี้ยงที่วังของเมืองเบสซ่านั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะกล่าวได้ แค่เพียงตัวห้องที่จัดงานเลี้ยงนั้นก็ยิ่งใหญ่มากแล้ว ตัวอาคารมีความสูงราว 2 จั้ง และกว้างกว่า 6 จั้งได้ ซึ่งมันก้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพวกขุนนางหรือคนในครอบครัวของพวกเขา

ถังหยินไม่คุ้นชินกับงานเลี้ยงแบบตะวันตกนี้เช่นเดียวกับหยวนยู่ ที่ทุกอย่างดูแปลกตาสำหรับเขามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแก้วไวน์ใสแจ๋วที่หาดูไม่ได้ในแคว้นเฟิง

ทุกคนที่มาที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นสูงของเมืองนี้ ดังนั้นจึงมีเพียงชายหนุ่มสองคนนี้เท่านั้นที่ดูโดดเด่นสะดุดตาด้วยเครื่องแต่งกายที่แตกต่าง

ทำให้ผู้คนโดยรอบพากันหันมอง ด้วยอยากรู้อยากเห็นหน้าตาของทั้งสองคนนี้ว่าเป็นเช่นไร ใช่ว่ามี 6 แขน 8 ขาอย่างที่คิดหรือเปล่า ? หากแต่เมื่อมองแล้ว มันก็กลับกลายเป็นว่าชายหนุ่มนั้นก็เหมือนกับคนธรรมดา ๆ ทั่วไปเท่านั้น

ในงานเลี้ยงครั้งนี้ มีผู้คนมากมายได้เข้ามาทำความรู้จักและแนะนำตัวกับถังหยิน แต่ต่อให้ชายหนุ่มจะฉลาดแค่ไหนก็ตาม เขาก็จำชื่อใครในนี้ไม่ได้หมดหรอก

ทว่ากลับมีหญิงสาวพร้อมกระโปรงสีขาวที่เข้าตาเขามาก ด้วยนางมีอายุราว ๆ 23 หรือ 24 ปีโดยประมาณ กับผมบลอนด์และดวงตาสีฟ้าอันโดดเด่น

นางจ้องมาที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ราวกับว่าพวกเขาเคยเจอกันมาก่อน

ทำให้หยวนยู่มองมายังเขาสลับกับหญิงสาวนางนั้น ก่อนพูดว่า “รู้จักนางหรือ ?”

ชายหนุ่มส่ายหัว

“แต่เหมือนนางจะสนใจเจ้านะ” หยวนยู่หัวเราะออกมา

ถังหยินขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะได้กลิ่นแอลกอฮอลล์บนเนื้อตัวของสหายข้าง ๆ “ดื่มให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ”

“เทียบกับเหล้าของพวกเราแล้ว ไวน์ของพวกนี้มันอ่อนกว่ากันเยอะ” หยวนยู่พูดขึ้นอย่างมึนเมา

“ไวน์พวกนี้มันจะออกฤทธิ์หลังจากนี้ ดังนั้นอย่าเมามากก็แล้วกัน เดี๋ยวจะกลับบ้านไม่ได้ !” เหล้าที่ถูกให้บริการในงานครั้งนี้คือไวน์แดง มีรสแรงมาก และทำให้คนเมาโดยไม่ทันรู้ตัวได้อย่างง่ายดาย

หยวนยู่มองถังหยินอย่างตกตะลึง ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ลึกขนาดนี้ “ไม่มีเหล้าชนิดไหนทำให้ข้าเมาได้หรอก” ว่าแล้วเขาก็ยกแก้วขึ้นดื่ม

จู่ ๆ คนีสก็พลันเดินมาหาถังหยินพร้อมด้วยคนคุ้มกัน

เมื่อสังเกตจากท่าทางของพวกเขา ชายหนุ่มก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดีแน่ ๆ และไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่รู้สึก พวกขุนนางที่อยู่รอบ ๆ เองก็สัมผัสได้เช่นกัน พวกเขาพากันถอยหนีอย่างรวดเร็ว

คนีสถาม “แม่ทัพถัง งานเลี้ยงของพวกเราเป็นยังไงบ้าง ?”

ชายหนุ่มตอบอย่างใจเย็น “ก็ไม่ดีไม่ร้ายเท่าไหร่นะ”

เมื่อได้ยินคำนั้น คนีสก็พลันหัวเราะอย่างฉุนเฉียว ก่อนชี้ไปยังชายร่างใหญ่ด้านหลังเขา “เจ้านี่คือราชันย์แห่งการต่อสู้ของเมืองเรา เขาไม่เคยแพ้ใครมาก่อนเลย”

ถังหยินมองตามก็เห็นชายผิวดำสูงกว่าราว 4 ศอกที่มีร่างกายกำยำล่ำสันยิ่งกว่านักมวยปล้ำเสียอีก เขาหัวโล้น มีผิวมันแผล็บ ดั้งโด่งและริมฝีปากหนา

ทั้งสองจ้องหน้ากันและกัน

“พลังปราณของเจ้าแกร่งมาก แต่ข้าสงสัยเสียจริง ๆ ว่าเจ้าจะมีทักษะการต่อสู้โดยที่ไม่มีมันได้หรือเปล่า ?” คนีสเชิดหน้าขึ้นแล้วถามเขาด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

ทั้งห้องโถงเงียบกริบ ทุกคนพากันหันมองมายังถังหยินไม่เว้นแม้แต่ซานเชส

หยวนยู่ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่ แต่ก็พอจะเดาได้ ดังนั้นจึงหัวเราะออกมาก่อนพูดว่า “ถ้าจะสู้ล่ะก็ ให้ข้าจัดการเอง !”

ทว่าถังหยินกลับห้ามเอาไว้ ด้วยเขารู้ว่าชายคนนี้แกร่งก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องทักษะการต่อสู้ล่ะก็ หยวนยู่ไม่มีทางเอาชนะชายผิวดำคนนี้ได้แน่ ๆ

“อย่าดีกว่า ข้ากลัวว่าท่านจะเสียทาสฝีมือดีไปน่ะ”

“ฮ่า ๆ” คนีสหัวเราะลั่นแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย “ถ้าแม่ทัพถังคิดว่าจะเอาตัวเองไม่รอด จะใช้พลังนั่นก็ได้นะ”

“ไม่จำเป็นหรอก” ชายหนุ่มยักไหล่

“ถ้างั้น พวกเจ้าถอยออกไปกันเสีย มาดูความสามารถของแม่ทัพถังกันดีกว่า !” คนีสกล่าวพร้อมดันผู้คนออกไป

ชายผิวดำนาม ‘กริว’ หันมองถังหยิน ก่อนขยับแขนไปมาด้วยความคุ้นชิน

ส่วนถังหยินเดินนั้น เขากลับเดินไปยังโต๊ะแล้วหยิบแก้วไวน์ขึ้นมา “ถ้าจะสังหารเขา ข้าใช้แค่นี้ก็พอแล้ว”

หลังจากที่ได้ยินแบบนี้ พวกขุนนางเบสซ่าก็พากันกู่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ด้วยพวกเขานั้นรู้ดี ว่าถึงแม้กริวจะเป็นแค่ทาสแต่ก็แกร่งมาก เขาไม่เคยพ่ายแพ้ในการต่อสู้เลย และครั้งนี้เขาจะต้องทำให้ถังหยินประสบกับความพ่ายแพ้ได้อย่างแน่นอน !

ซานเชสที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เองก็มองมาที่พวกเขาอย่างตื่นตาตื่นใจ

ถังหยินถือแก้วไว้ในมือ แล้วจึงเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ผิดกับกริวที่พุ่งเข้าหาชายหนุ่มพร้อมหอกในมือที่มุ่งแทงไปยังเป้าหมาย

ทุกคนในห้องนี้ตื่นตะลึงและลุ้นว่าการต่อสู้นี้จะสนุกสนานแค่ไหน

ถังหยินรู้ดีว่าพวกเบสซ่าไม่ให้ความสำคัญกับทาสสักเท่าไหร่ ดังนั้นเมื่อหอกพุ่งเข้ามา ชายหนุ่มก็พลันย่อตัวลงหลบมันก่อนไปปรากฏตัวด้านหลังของกริว

ถึงแม้ว่าชายผิวดำจะมีร่างกายที่ใหญ่โต แต่ก็รวดเร็วมากเช่นกัน เขาจัดแจงเหวี่ยงหอกเข้าใส่เป้าหมายที่อยู่ข้างหลังทันที โดยไม่ชะงักแม้แต่น้อย