ถังหยินใช้ความรวดเร็วหลบการโจมตีที่เข้ามา ทว่าชายหนุ่มนั้นไม่ได้คิดจะโจมตีสวนกลับเลยแม้แต่น้อย เขาเอาแต่หลบไปมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายเริ่มมีน้ำโห

ทว่าในมุมมองของพวกขุนนาง พวกเขากลับคิดว่าถังหยินสู้ไม่ได้ จึงได้เริ่มตะโกนเหยียดหยามและดูหมิ่นออกมา

ไม่นานนักชายผิวดำก็เริ่มหมดท่วงท่าที่จะใช้ เพราะแท้ที่จริงแล้วเขาไม่มีทักษะการต่อสู้อะไรเลย หากแต่เน้นแค่การใช้งานกล้ามเนื้อและร่างกายที่ใหญ่โตของตนเท่านั้น

เมื่อกริวแทงหอกอีกครั้ง ถังหยินก็ถอยกลับมาแล้วพุ่งเข้าไปพร้อมแก้วไวน์ในมือ ตรงเข้าไปที่ใบหน้าของกริว “ข้าจะจัดการเจ้าด้วยไวน์แก้วนี้เท่านั้น”

ชายร่างใหญ่ไม่เข้าใจ พยายามแทงหอกเข้าใส่แบบไม่ยั้งมือ ทว่าชายหนุ่มก็อาศัยจังหวะนี้กลิ้งตัวไปด้านข้าง ก่อนใช้แก้วในมือทุบไปที่หลังหัวของอีกฝ่ายอย่างแรง

เพล้ง !

ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วหัวของเขา ก่อนที่ถังหยินจะใช้นิ้วหยิบเศษแก้วเอามาปาดลำคอของกริวอย่างรวดเร็ว

เลือดสีแดงพุ่งออกมา ทำให้ชายร่างใหญ่โยนหอกทิ้งไป พร้อมกับยกมือขึ้นกุมคอของตัวเองอย่างเร่งรีบ หากแต่ก็ไม่สามารถหยุดเลือดเอาไว้ได้

พวกขุนนางได้แต่ถอยออกมาเมื่อเห็นฉากนี้

กริวพยายามร้องขอความช่วยเหลือ ทว่าก็ไม่มีใครชายตามองเขาเลย

สุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่คุกเข่าลง หันมองไปยังคนีสด้วยสายตาเวทนา

น้องชายของผู้เป็นราชาถึงกับตะลึง ไม่คิดว่าจะมีใครล้มทาสของเขาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ แค่ใช้แก้วไวน์เท่านั้นหรือ ? นี่มันช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว !

ทว่ามาถึงตอนนี้เขาก็ไม่สนใจกริวอีกต่อไปแล้ว สายตาเอาแต่จดจ้องไปที่ถังหยินด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น

ถังหยินเดินเข้าหาคู่ต่อสู้ที่กำลังจะขาดใจตาย ก่อนง้างหมัดชกเข้าไปที่กราม เสยให้อีกฝ่ายลอยกระเด็นขึ้นไปแล้วตายลง ณ จุดที่เขาลองนอนบนพื้น

จากนั้นชายหนุ่มจึงหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมือแล้วกล่าวอย่างเย้ยหยัน “ข้าบอกแล้วว่าท่านจะเสียทาสฝีมือดีไปเปล่า ๆ ฝ่าบาท”

คนีสที่ได้สติก็จ้องมองอีกฝ่ายกลับด้วยสายตาดุดัน แล้วจึงเดินกลับออกไปอย่างขุ่นเคือง

เมื่อเขาเดินออกไป ทั้งห้องก็กลับมาส่งเสียงกันอีกครั้ง พวกเขาพากันพูดถึงเรื่องนี้และมองถังหยินด้วยความตื่นเต้น

ในตอนแรกพวกเขาไม่คิดว่าถังหยินจะทำได้ขนาดนี้ แต่หลังการต่อสู้แล้วมันก็ทำให้พวกเขาเปลี่ยนความคิดกันไปหมด หลาย ๆ คนต่างก็กล่าวชื่นชมและมอบดอกไม้หรือสิ่งของให้กับเขา

ร่างกายของชาวมอร์ฟีสนั้นใหญ่กว่าชาวเฟิงมาก จึงทำให้พวกเขามีวัฒนธรรมในการเชิดชูความแข็งแกร่ง และการที่ถังหยินจัดการกริว มันก็เป็นการสร้างความประทับใจ ทั้งยังเรียกคะแนนเสียงจากพวกขุนนางได้เป็นอย่างดี

ชายหนุ่มไม่หวาดกลัวใครอยู่แล้ว และดื่มด่ำไปกับความรื่นเริงนี้จนหยวนยู่ต้องมาห้ามแทน

ทว่าในจังหวะนั้นเอง หญิงสาวที่อยู่ข้างตัวซานเชสก็ได้เดินเข้ามาแล้วบอกกับเขา “ข้าอยากจะสู้กับเจ้า”

ถังหยินประหลาดใจมาก จะบอกว่าเขากับนางเคยเจอกันมาก่อนมันก็ไม่ใช่ แล้วแบบนี้จะให้สู้กันไปทำไม ?

นางตอบกลับอย่างจริงจัง “ครั้งล่าสุดที่เจ้ามาที่นี่ เจ้าก็ได้สู้กับข้าแล้วครั้งหนึ่ง”

เมื่อได้ยินคำนั้น ถังหยินก็พลันนึกขึ้นมาได้ทันที ถึงตอนที่ได้สู้กับนักรบพลังยุทธ์คนหนึ่ง หากแต่ก็ไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะเป็นหญิงสาวแบบนี้ และยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ทรงพลังใช่ย่อยเลยด้วย

เขามองนางในชุดขาว ก่อนจะคิดกับตัวเองว่านางนั้นดูผิดกลับที่เคยเห็นครั้งก่อนมากนัก “เจ้านี่เองหรือ”

“เจ้ากล้าสู้กับข้าอีกครั้งไหมเล่า ?” นางจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชาพร้อมชี้ดาบเข้าใส่หน้า

โดยไม่รอให้ตอบกลับ ซานเชสก็พลันกล่าวเตือนนางให้ถอยกลับมา ก่อนที่เขาจะมองถังหยินแล้วพูดออกมาว่า “นางคือลูกสาวของเรา ชัวน่า เรารู้ว่านางเก่งกาจ หากแต่ก็คงไม่อาจเทียบฝีมือของแม่ทัพถังได้หรอก”

ถังหยินหัวเราะเบา ๆ “ท่านก็พูดเกินไป”

ไม่ต้องพูดถึงชัวน่าเป็นเจ้าหญิงเลย แค่เป็นหญิงเขาก็ไม่อยากสู้แล้ว

หลังจากที่ถูกห้ามเอาไว้ ชัวน่าก็ไม่คิดจะท้าสู้ต่อ

จากนั้นทั้งงานก็ดำเนินต่อไปโดยที่ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องถังหยินอีก ซึ่งก่อนที่งานจะจบซานเชสก็ได้เสนอถังหยินให้พักในเมืองนี้เป็นการส่วนตัว

คราแรกถังหยินนั้นคิดอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อคิดดูแล้ว เขาก็พบว่านี่นับเป็นโอกาสอันดีที่จะลองใช้ชีวิตในเมืองเบสซ่าดูสักครั้ง ดังนั้นชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล

เมื่อรับคำเสร็จ ซานเชสก็พลันสั่งให้ขุนนางต่าง ๆ ช่วยกันจัดหาที่พักให้ถังหยินในทันที

และเมื่อหญิงสาวทราบว่าถังหยินคิดจะพักในเมือง ชัวน่าก็ดูจะคิดแผนอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ภายใต้การนำทางของพวกขุนนาง ถังหยินและหยวนยู่ก็พลันออกจากวังและตรงไปยังโรงแรมในทันที

ระหว่างทางเดิน ชายหนุ่มก็ได้หันบอกกับสหายข้างกายของเขาว่า “หยวนยู่ เจ้าจะออกไปเพื่อไปนอนกับพวกเราข้างนอกก็ได้นะ เดี๋ยวข้าจะบอกพวกเขาทีหลังเอง”

“ถ้าข้าไปแล้วเจ้าจะทำยังไงต่อ ?”

คำพูดและน้ำเสียงของเขาดูจะเปลี่ยนไปอย่างมาก ด้วยตอนนี้นั้น ชายเลือดร้อนเริ่มจะถือทักษะของถังหยินขึ้นมาบ้างแล้ว

ถังหยินยิ้มออกมา “หยวนยู่ เจ้าอย่าลืมสิว่าพวกเรามาทำอะไรที่นี่ เจ้าไม่เข้าใจหรือไง ?”

หยวนยู่ทำหน้าไม่เข้าใจในตอนแรก แต่แล้วก็พยักหน้าให้ “ข้าเข้าใจแล้ว” จากนั้นเขาก็เดินกลับออกไป

โรงแรมในเมืองเบสซ่านั้นหรูหรามาก การตกแต่งนั้นเทียบได้ดั่งวังหลวงเมื่อครู่เลยทีเดียว

ทางด้านหยวนยู่ เขานั้นก็ได้ขี่ม้าวิ่งกลับออกไปข้างนอกเมือง ก่อนมุ่งตรงไปหาพวกทหารของฝั่งแคว้นเฟิงที่ตั้งรออยู่ข้างนอก

จากนั้นเฉิงจินและลู่ฟางก็พลันวิ่งเข้ามาหาด้วยความร้อนรนใจ

ในจังหวะนั้นหยวนยู่กำลังจะเปิดผ้าคลุมรถม้า หากแต่เฉิงจินก็ได้ถามขึ้นก่อน “แล้วนายท่านล่ะ ?”

“ก็อยู่ในรถม้าไง ?” หยวนยู่ยิ้มออกมาแล้วโบกมือให้ทางรถม้า

“หา ?” เฉิงจินและลู่ฟางตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าเจ้านายของพวกเขาจะอยู่ในรถม้าได้ เพราะทั้งสองเห็นกับตาว่าถังหยินเข้าไปในเมือง

หยวนยู่สะบัดมือของเฉิงจินออกแล้วเปิดม่านขึ้น “นายท่านจะอยู่ในรถอีกนานแค่ไหนกัน ?”

และเมื่อผ้าเปิดออก พวกเขาก็พบกับถังหยินที่อยู่ข้างในนั้นกับชิวเจิ้นจริง ๆ เสียด้วย

เมื่อเห็นแบบนั้นทุกคนก็ตกตะลึง …ในเมื่อถังหยินอยู่นี้ แล้วงั้นใครกันล่ะที่อยู่ในเมือง ?

ชายนักฆ่าเป็นคนแรกที่ฉุกคิดได้ “วิชาแยกร่าง ?”

การคาดเดาของเขาถูกต้อง เป็นถังหยินที่ใช้วิชาแยกร่างออกมานั่นเอง

ไม่มีใครรู้ว่านี่เป็นความจริงหรือไม่ และไม่มีใครรับประกันด้วยว่านี่จะไม่ใช่กับดัก ดังนั้นเขาที่ไม่อยากเสี่ยงชีวิตตัวเองจึงใช้ร่างแยกออกไปแทน

นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงหยินถึงได้พาคนเดียวเข้าไปกับเขา เพราะถ้าเกิดว่ามีปัญหาขึ้นด้านใน อย่างน้อยหยวนยู่ก็สามารถตีฝ่าออกมาได้แน่ ๆ