ตอนที่ 169 ชี้ทางสว่าง

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลันรอจนถึงครึ่งค่อนคืน เริ่มจากการกล่าวว่าหมิงจูถูกแม่เจียงส่งกลับไปกักบริเวณ ต่อด้วยพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเดินหน้าบึ้งตึงบุกเข้าไปในโถงหนิงเฮ๋อแล้วก็เดินหน้าบึ้งตึงออกมาจากโถงหนิงเฮ๋อ แล้วมุ่งตรงกลับไปยังห้องหนังสือโดยไม่แม้แต่จะแวะไปทางด้านอนุภรรยาหลิว ส่วนแม่นางอวี๋เหลียนผู้น่าสงสารยังคงคุกเข่าอยู่ที่ด้านนอกโถงหนิงเฮ๋อ แสดงถึงการกลายเป็นแพะรับบาปไปโดยปริยาย เดาว่าแม่นางผู้น่าสงสารตัวน้อยนี้คงขี้ขลาดไม่กล้าบอกกล่าวไปว่าแท้จริงแล้วเป็นหมิงจูสั่งให้นางทำเช่นนี้ เฮ้อ! ผู้น่าสงสารอันเกิดจากการกระทำผิดที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี! พอกันทีๆ ไปนอนหลับพักผ่อนเสียดีกว่า

กว่าจะหลินหลันจะตื่นนอน ท้องนภาก็สว่างจ้าเสียแล้ว หมอนด้านข้างจึงไร้เงาคนข้างกายแล้วเช่นกัน หลินหลันเรียกหยินหลิ่วมาปรนนิบัติล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อผ้าพลางบ่นโอดครวญไปด้วย “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว เจ้าก็ไม่ปลุกให้ข้าตื่นแต่เช้าหน่อย ที่ร้านยายังมีอีกหลายเรื่องต้องจัดการ!”

หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าเหยียมิให้เรียกท่านเจ้าค่ะ โดยกล่าวไว้ว่ามิให้รบกวนเวลาเข้าคารวะตามธรรมเนียมปฏิบัติก็เป็นพอเจ้าค่ะ”

หลินหลันบ่นพึมพำอีกสองสามประโยคแล้วรีบจัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจึงรับประทานมื้อเช้าไปพลางฟังจิ่นซิ่วพูดสัพเพเหระให้ฟังไปเรื่อยเปื่อย

“อวี๋เสี่ยวเจี่ยะคุกเข่าจนถึงครึ่งคืนหลังก็เป็นลมล้มพับไป จึงถูกคนพาส่งกลับห้องเจ้าค่ะ เช้าวันนี้แม่จู้คนข้างกายของเหล่าไท่ไทก็เลยไปเยี่ยมนาง อ้อ! อาเซียงคนข้างกายของหมิงจูเสี่ยวเจี่ยะก็ถูกหญิงชราแม่ค้าคนกลางนำตัวออกไปแต่เช้าตรู่แล้วด้วยเจ้าค่ะ…” จิ่นซิ่วบอกเล่าเรื่องราวที่รับรู้มาอย่างหมดเปลือก

หลินหลันพยักหน้า “ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ ”

จิ่นซิ่วกล่าวหน้าระรื่น “ข้าน้อยมิลำบากเลยสักนิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้น่าสนใจจะตายชักเจ้าค่ะ!”

หลินหลันชายตามองนางจึงพบว่าจิ่นซิ่วมีชีวิตชีวายามได้พูดเรื่องติฉินนินทาเป็นอย่างมาก หากมาอยู่ในยุคปัจจุบัน คงต้องเป็นคนข่าววงการบันเทิงผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นคนหนึ่งอย่างแน่นอน ไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อยแม้ต้องคุกเข่าครึ่งค่อนคืน เพื่อให้ขุดเบื้องลึกเบื้องหลังของเจ้าออกมาให้หมด

“อืม เจ้าคิดว่าน่าสนใจก็ดีแล้ว ตั้งใจทำให้ดีๆ เข้าไว้” หลินหลันกล่าวให้กำลังใจ

จิ่นซิ่วพยักหน้าอย่างจริงจังด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหลังได้รับคำเชยชมอันล้ำค่าจากผู้เป็นนาย

หลังรับประทานมื้อเช้าเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันจึงไปคารวะแม่มดชราตามธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อไปถึงโถงหนิงเฮ๋อ ชุ่ยจือกล่าวว่านายหญิงไม่สบายเสียแล้ว หลินหลันจึงเผยสีหน้าเป็นกังวล “ฮูหยินมิเป็นไรมากใช่หรือไม่ ให้ข้าช่วยตรวจดูอาการฮูหยินดีหรือไม่”

แม่เจียงเลิกหน้าผ้าม่านเปิดขึ้นแล้วเดินออกมาก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “เอ้อร์เส้าหน่ายนายช่างมีน้ำใจเสียจริงเจ้าค่ะ ฮูหยินเพียงแค่ปวดศีรษะนิดหน่อย พักผ่อนประเดี๋ยวก็หายแล้วเจ้าค่ะ”

หลินหลันกล่าว “เช่นนั้นก็รบกวนแม่เจียงช่วยบอกกล่าวฮูหยินด้วยว่าข้ามา แล้วเดี๋ยวไว้คืนนี้ค่อยมาเยี่ยมฮูหยินอีกครั้ง”

หลังออกจากโถงหนิงเฮ๋อ หลินหลันจึงไปยังโถงจาวฮุย แต่ก็ไม่ได้พบหญิงชราเช่นกัน เดาว่าก็คงกำลังปวดศีรษะไม่แพ้กันถึงได้เป็นแม่จู้ออกมาบอกกล่าว “ยามนี้เหล่าไท่ไทอารมณ์ไม่ดีน่ะเจ้าค่ะ หากเอ้อร์เส้าหน่ายนายพอมีเวลาว่าง ช่วยไปดูอวี๋เสี่ยวเจี่ยะทีนะเจ้าคะ!”

“ว่าอย่างไรนะ อวี๋เสี่ยวเจี่ยะมิสบายหรอกหรือ” หลินหลันกล่าวอย่างเป็นห่วงเป็นใย

แม่จู้เผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “เอ้อร์เส้าหน่ายนายยังมิรู้หรือเจ้าคะ”

หลินหลันแสร้งทำทีสงสัย “รู้อันใดหรือ”

แม่จู้กล่าวเสียงอ่อน “ไม่…ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ อวี๋เสี่ยวเจี่ยะเป็นไข้ นางจึงละเมอเพ้อพกจากพิษไข้น่ะเจ้าค่ะ”

หลินหลันรำพึงรำพันในใจ อ่อนแอเสียขนาดนั้นแล้วยังเผชิญเหตุการณ์ชวนเสียขวัญ อีกทั้งยังคุกเข่าครึ่งค่อนคืนแล้วไยจะไม่ถึงขั้นไข้ขึ้น

“เช่นนั้นข้าไปดูนางหน่อยแล้วกัน” หลินหลันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งด้วยซ้ำไป! เพื่อหลีกเลี่ยงความน่าสงสัย นางไม่อาจไม่ไปหาอวี๋เหลียน ซึ่งแม่จู้ก็พูดมาเสียขนาดนี้แล้วเหตุใดจะไม่รีบไปอีกล่ะ

บนใบหน้าอวี๋เหลียนปรากฏสีแดงระเรื่ออย่างอ่อนแอ ดวงตาปิดสนิท ลมหายใจแผ่วบาง หลินหลันลองแตะหน้าผากของนางดู ซึ่งให้ความรู้สึกร้อนผ่าวจนน่าตกใจ

โม่เอ๋อร์สาวใช้ของอวี๋เหยียนกล่าวพลางปาดน้ำตาที่ไหลริน “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย เสี่ยวเจี่ยะมีเลือดออกเยอะมากเลยเจ้าค่ะ…”

เอ่อ! หลินหลันแอบคาดเดาได้ ทว่ายังคงทำทีเอ่ยถามออกไป “ตรงไหนหรือ”

โม่เอ๋อร์เผยสีหน้าราวกับยากที่จะกล่าวออกมา หลินหลันจึงมั่นใจได้ทันที สัตว์เดรัจฉานหลี่! ไม่สิ หมิงอวินก็แซ่หลี่เช่นกัน พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอาย เจ้าช่างไม่ต่างจากผู้ที่เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานของจริง

หลินหลันให้หยินหลิ่วเปิดกล่องยาแล้วหยิบยาเม็ดออกมาจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นนางจึงหันไปสั่งการโม่เอ๋อร์ “เจ้าไปหยิบชามใส่น้ำอุ่นมาแล้วละลายยานี้ลงไปเพื่อให้เสี่ยวเจี่ยะดื่ม”

หลังจากนั้นจึงให้หยินหลิ่วช่วยประคองอวี๋เหลียนลุกขึ้นมาแล้วทำการปลดเสื้อผ้าของนาง ตามด้วยการใช้เหล้าขาวเช็ดเนื้อตัวให้นาง

กระทำเช่นนั้นอยู่พักใหญ่ อวี๋เหลียนถึงได้ค่อยๆ มีสีหน้าที่ดีขึ้น เมื่อเห็นนายหญิงสะใภ้รอง อวี๋เหลียนถึงกลับปล่อยหยาดน้ำตาพรั่งพรูออกมา เดิมทีนางตั้งใจไปรวบหัวรวบหางคุณชายรอง คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นการพาตนเองเข้าไปแลก หญิงชรามาตำหนิด่าทอนางยกใหญ่แต่เช้าตรู่ ไร้ซึ่งคำปลอบประโลมแม้เพียงเศษเสี้ยวเดียว ยามนี้ มีเพียงนายหญิงสะใภ้รองที่ยังยินยอมมารักษาอาการป่วยให้นาง…อวี๋เหลียนทั้งรู้สึกละอายแก่ใจและเสียใจเป็นอย่างยิ่ง “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…”

หลินหลันแสดงสัญญาณให้นางว่ามิต้องพูดใดๆ ก่อนจะหันไปสั่งการหยินหลิ่ว “หยินหลิ่ว เจ้าพาโม่เอ๋อร์กลับไปหยิบยาขี้ผึ้งที่บรรจุในขวดเครื่องเคลือบสีขาวบนชั้นที่สามของชั้นวางยาแล้วบอกกล่าวโม่เอ๋อร์ว่าต้องใช้มันอย่างไร”

หยินหลิ่วรู้ได้ทันทีว่านายหญิงมีเรื่องต้องการพูดกับแม่นางอวี๋ จึงขานรับแล้วพาโม่เอ๋อร์ออกไป

เมื่อภายในห้องปราศจากผู้อื่น หลินหลันจึงกล่าวขึ้น “พวกนางล้วนพูดว่าเป็นความผิดของเจ้า ทว่าข้ากลับมิเชื่อ เจ้าดูซื่อสัตย์จริงใจและเจียมเนื้อเจียมตัวมาโดยตลอด แล้วจะทำเรื่องไร้สาระเช่นนั้นไปได้อย่างไรกัน”

อวี๋เหลียนซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้ง หยาดน้ำตาจึงยิ่งไหลรินออกมาอย่างหนักหน่วง

หลินหลันหยิบผ้าเช็ดหน้าช่วยซับน้ำตาให้นางแล้วกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ความผิดนี้กลับตกอยู่ที่ตัวเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งมิอาจแก้ไขอันใดได้แล้ว ในเมื่อเกี่ยวข้องกับหน้าตาของเหล่าเหยียและหน้าตาของฮูหยิน แล้วยังมีชื่อเสียงอันดีงามของตระกูลหลี่อีก ทว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าจะยอมได้รับความอยุติธรรมอย่างสูญเปล่ามิได้ จะอย่างไรก็ต้องมีใครสักคนที่ได้รับรู้ความทุกข์ที่เจ้าต้องออกรับแทน มิเช่นนั้น ภายหลังจากนี้ชีวิตของเจ้าในบ้านหลังนี้ก็คงไม่สุขสบายอีกแล้ว ฮูหยินจงเกลียดจงชังเจ้า แน่นอนว่าต้องคิดหาวิธีเล่นงานเจ้า…”

“ทว่า ข้ายังไปพูดกับผู้ใดได้อีกหรือ” อวี๋เหลียนเผยสีหน้าหมดหวังไร้ที่พึงพิง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความน่าเวทนาอย่างยิ่ง

หลินหลันทอดถอนหายใจ “ข้าเห็นว่าเจ้าช่างน่าสงสารเสียจริง ถึงได้ช่วยเจ้าเสนอความคิดเห็น หากให้ฮูหยินรับรู้เข้า ชีวิตของข้าก็คงย่ำแย่ไม่ต่างกัน”

อวี๋เหลียนคว้าแขนเสื้อของนายหญิงสะใภ้รองเอาไว้ ประหนึ่งจับเชือกฟางเส้นเดียวที่จะช่วยชีวิตได้ นางจ้องมองนายหญิงสะใภ้รองด้วยสายตาอันเปี่ยมไปด้วยความหวัง “ขอเอ้อร์เส้าหน่ายนายโปรดชี้แนะข้าด้วย อวี๋เหลียนสาบานได้ว่าจะมิให้ผู้ใดรับรู้เด็ดขาด บุญคุณนี้ของเอ้อร์เส้าหน่ายนาย อวี๋เหลียนจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตอบแทนท่านเจ้าค่ะ…”

หลินหลันกล่าวอย่างเห็นใจ “ข้าจะช่วยเจ้า มิเช่นนั้นข้าก็คงไม่มาเยี่ยมเจ้า ทว่า เจ้าต้องบอกกล่าวความจริงแก่ข้ามาก่อน”

อวี๋เหลียนลังเลใจชั่วขณะก่อนจะบอกกล่าวเรื่องราวกระบวนการที่หมิงจูบีบบังคับให้นางไปรวบหัวรวบหางนายน้อยรองอย่างละเอียดครบถ้วนออกมา “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ขอโทษนะจ้าคะ เป็นอวี๋เหลียนเองที่หน้ามืดตามัวไป ถึงได้จิตใจเลอะเลือนไปเช่นนั้น”

หลินหลันลูบศีรษะของนางและกล่าวอย่างเห็นใจ “นี่จะโทษเจ้ามิได้ เจ้าเองก็จนปัญญาเพราะถูกบีบบังคับ” เมื่อกล่าวจบ หลินหลันโน้มกายเข้าไปกระซิบกระซาบข้างใบหูของอวี๋เหลียน ทันใดนั้นสายตาของอวี๋เหลียนก็สว่างไสวขึ้นมา

“ที่นี่ก็รู้แล้วนะว่าคนข้างกายล้วนไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น จะมีก็แต่เหล่าไท่ไทเท่านั้นที่ช่วยเจ้าได้ จำเอาไว้ว่าต้องกัดฟันยืนหยัดว่าตนเองถูกบีบบังคับ หลังเกิดเรื่อง ตัวเจ้านั้น เพื่อรักษาหน้าของทุกคนถึง จึงทำได้เพียงโอบกอดความผิดพลาดเอาไว้ลำพัง ในเมื่อเจ้าเดินลุยน้ำโคลนอันสกปรกนี้เข้ามาแล้ว ก็ไม่อาจทำตัวอ่อนแอเฉกเช่นเมื่อก่อนได้อีก ต้องรู้จักปกป้องตนเอง เรื่องราวมากมายเรียนรู้แล้วก็ต้องรู้จักเติบโตขึ้นด้วย ยามนี้ผู้เดียวที่เจ้าต้องตั้งรับก็คือฮูหยิน เข้าใจแล้วหรือไม่” หลินหลันกล่าวชี้แนะทางสว่าง การที่นางช่วยเหลืออวี๋เหลียนมิใช่เพราะรู้สึกละอายแก่ใจแต่อย่างใด นางเคยกล่าวไว้แต่แรกแล้วว่า หากอวี๋เหลียนตกลงไปในหลุมพรางที่นางขุดไว้ นั่นหมายถึงอวี๋เหลียนก็มีจิตใจที่คิดไม่ซื่อเช่นกัน จะถูกบีบบังคับก็ช่าง จะถูกผลักดันก็ช่าง ล้วนมิอาจให้อภัยได้ทั้งสิ้น การที่นางช่วยเหลืออวี๋เหลียน เป็นเพียงเพราะประโยคนั้นที่ว่า ศัตรูของศัตรูก็คือสหายร่วมรบ นางเพียงแค่หวังว่าสหายร่วมรบคนใหม่ผู้นี้จะออกแรงร่วมรบให้เข้มแข็งเข้าไว้