“ศิษย์น้อง หญ้าแห้วหมู โสมตังกุย โกฐขี้แมวและไฉหู[1]ใช้ไปพอประมาณแล้ว น่าจะต้องนำเข้ามาอีกชุดแล้วละ” โม่จื่อโหยวศิษย์พี่ห้าย้ำเตือนหลินหลันที่กำลังสอนหยินหลิ่วจัดยา
หลินหลันนำภาระงานในมือส่งมอบให้หยินหลิ่ว “ฝึกฝนให้มากๆ เข้าไว้จะได้คล่องแคล่ว” นางตบปัดๆ มือขณะกล่าว “ข้าให้เหล่าอู๋หาผู้จัดหาสินค้าแล้ว เห็นเอ่ยว่าปีนี้วัตถุดิบยาหลายตัวค่อนข้างขาดแคลน สินค้าในมือพวกเขาที่มีอยู่ก็ไม่มากนักเช่นกัน ในวันมะรืนจะตักแบ่งมาให้ก่อนสักชุดหนึ่ง แก้ไขสถานการณ์เร่งด่วนไปก่อน ไว้รอสินค้าใหม่เข้ามาถึง พวกเขารับประกันว่าจะจัดส่งให้พวกเราเป็นอันดับแรก”
โม่จื่อโหยวกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน “ป้ายร้านที่ฮ่องเต้พระราชทานให้นี่มันเป็นประโยชน์จริงๆ! ข้าได้ยินว่าทางร้านจี้อานถาง ฮ๋วยเหรินถางแทบไม่เหลือยาแล้ว พวกเขาร้อนใจเสียยิ่งกระไรดี ไปขอร้องบรรดาเถ้าแก่ เถ้าแก่เหนียงแต่ละแห่งล้วนเปล่าประโยชน์! ยามนี้ใครๆ ก็เห็นแก่หน้าพวกเราจึงขายให้พวกเราก่อนเป็นอันดับแรก”
หลินหลันขมวดคิ้วขณะครุ่นคิดแล้วกล่าว “ยามนี้เกิดสงครามอีกทั้งยังมีโรคฝีดาษระบาด วัตถุดิบยาจึงขาดแคลนเป็นธรรมดา ข้าคงต้องคิดวิธีเตรียมวัตถุดิบยาสำรองไว้ให้มากๆ หน่อยถึงจะเป็นการดี”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ใครจะรู้ว่าสถานการณ์นี้จะดำเนินไปอีกนานเพียงใด” โม่จื่อโหยวกล่าวพลางมองดูท่าทางของหยินหลิ่วระหว่างจัดยา ซึ่งดูคล้ายคลึงผู้ร่วมงานเก่าแก่อยู่เล็กน้อย จึงอดอมยิ้มมิได้ “ไม่เลวเลย! นี่เพิ่งไม่กี่วันก็หยิบจับคล่องมือแล้ว”
หยินหลิ่วชายตามองเขาอย่างสงบ และเลียนแบบน้ำเสียงของเขาโดยการลากเสียงยาว “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อมีขุนพลที่ยอดเยี่ยม แล้วทหารในทัพจะอ่อนแอได้อย่างไรกัน”
“ไอ้โย่! น้ำเสียงไม่ธรรมดาเลยนี่! แถมยังประจบสอพลอได้อย่างแนบเนียนเสียด้วย” โม่จื่อโหยวกล่าวเชิงหยอกล้อ
หยินหลิ่วเอ่ยด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างเต็มเปี่ยม “อีกสักสองเดือน ข้าก็เอาชนะเจ้าได้แล้ว”
โม่จื่อโหยวหัวเราะร่า “เช่นนั้นพวกเรามาพนันกันหน่อยเป็นอย่างไร”
หลินหลันมองโม่จื่อโหยวเชิงตำหนิ พ่อหนุ่มนี่เอะอะก็เอาแต่หยอกล้อหยินหลิ่วอยู่ได้ นี่คงมิใช่ว่าถูกใจหยินหลิ่วเข้าแล้วกระมัง!
“หยินหลิ่ว อย่าได้เกรงกลัวไป พนันกับเขาไปเลย หากเขาแพ้ก็ให้เขาเป็นพ่อหม้ายไปชั่วชีวิต” หลินหลันเสริมกำลังใจให้หยินหลิ่วกล้าหาญขึ้น
หยินหลิ่วจึงเกิดความฮึกเหิม นางมองไปยังโม่จื่อโหยวด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า “ตกลง พนันก็พนัน”
โม่จื่อโหยวกล่าวด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว “ศิษย์น้อง เจ้าโหดเหี้ยมเกินไปแล้วกระมัง! ข้ามิเอาความสุขครึ่งชีวิตหลังของข้ามาพนันด้วยหรอก เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเถอะ ผู้ใดแพ้ผู้นั้นเลี้ยงอาหารมื้อหนึ่งก็ได้นี่”
หลินหลันกล่าวเชิงดูถูก “เจ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ รีบไปทำงานไป ผู้ป่วยกำลังรออยู่!”
โม่จื่อโหยวจึงเดินคอตกไปและไม่วายบ่นพึมพำ ข้าหาได้เกรงกลัวหยินหลิ่วไม่ หลักๆ เป็นเพราะศิษย์น้องพิเรนทร์เกินไปต่างหาก
หยินหลิ่วหัวเราะคิกคักก่อนจะชายตาไปเห็นอวี้หลงซึ่งกำลังถือกล่องอาหารสามชั้นเดินเข้ามา
“อวี้หลง…” หยินหลิ่วรีบเอ่ยทักทาย
ตั้งแต่ร้านยาเปิดทำการ อวี้หลงจะเป็นผู้มาส่งอาหารกลางวันให้ในทุกๆ วัน
“บอกแล้วนี่ว่ามิต้องมาส่งก็ได้ ที่นี่มีห้องครัวเล็กๆ อยู่ หาอะไรกินนิดๆ หน่อยๆ ด้วยกันก็สิ้นเรื่องแล้ว เจ้ามาๆ ไปๆ ลำบากแย่ อีกอย่างกุ้ยซ่าวทำอาหารอร่อยๆ จำนวนมากมายทุกวันเช่นนี้ และข้าก็กินอยู่คนเดียวจะพานให้ผู้อื่นเขาจ้องตาเป็นมันเอาได้ มันไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง” หลินหลันกล่าว
อวี้หลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยไม่มีทางเลือกเจ้าค่ะ แม่โจวให้มาส่ง ข้าน้อยก็ต้องมาส่งเจ้าค่ะ วันนี้กุ้ยซ่าวทำกับข้าวมาหลายอย่างทีเดียว นางเอ่ยว่าจะได้ให้ทุกคนร่วมรับประทานด้วยกันเจ้าค่ะ”
หลินหลันได้แต่ยิ้มอย่างจนปัญญา หลังจากนั้นจึงให้หยินหลิ่วไปบอกกล่าวทุกคนให้เตรียมพร้อมไว้ อีกประเดี๋ยวจะได้รับประทานอาหารกัน
เป็นจังหวะเดียวกับที่ฝูอานส่งผู้ป่วยออกไปพอดิบพอดี หลินหลันจึงร้องเรียกเขา “ฝูอาน เจ้าช่วยอวี้หลงถือกล่องอาหารไปสวนหลังร้านทีสิ”
“ขอรับ!” ฝูอานขานรับแล้วเดินเข้ามา “แม่นางอวี้หลง ส่งมาให้ข้าเถิด” เขากล่าวพลางยื่นมือออกไปรับกล่องอาหารเอามาถือไว้
อวี้หลงรู้สึกเคอะเขินอยู่เล็กน้อย “รบกวนพี่สวีด้วย”
ฝูอานเผยรอยยิ้มเก้ๆ กังๆ “มิได้เป็นการรบกวนเลยสักนิด” ทันใดนั้นบนใบหน้าของเขาก็ปรากฏสีแดงระเรื่อเคลือบเอาไว้หนึ่งชั้น
หลินหลันเห็นภาพฉากดังกล่าวในสายตา ภายในใจจึงแอบกระดี๊กระด๊าอยู่ไม่น้อย แต่ไหนแต่ไรมา ยามที่ฝูอานเห็นหยินหลิ่วเขาหาได้เคยหน้าแดงขึ้นมาไม่ ทว่าทุกครั้งที่ได้พบเจออวี้หลงก็เป็นอันต้องทำตัวไม่ถูกอยู่ร่ำไป นี่มันหมายถึงอันใดหรือ เรื่องราวกำลังดำเนินไปตามทิศทางที่นางคาดหวังไว้แล้วอย่างไรล่ะ
อวี้หลงแอบกระซิบบอกกล่าวนายหญิง “ต้าเส้าเหยียหายตัวไปเจ้าค่ะ”
หลินหลันตะลึงงัน “อะไรหรือที่เรียกว่าหายตัวไป”
อวี้หลงกล่าว “ก็คือหาตัวมิเจอเจ้าค่ะ! ในบ้านกำลังเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ฮูหยินรีบส่งคนออกไปตามหาต้าเส้าเหยียทั่วทุกหนแห่ง จิ่นซิ่วสืบเสาะจนได้ความมาว่าต้าเส้าเหยียออกไปจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่โดยกล่าวว่าจะไปดูสนามสอบ ผู้คุมรถม้าจึงส่งต้าเส้าเหยียไปถึงด้านนอกสนามสอบ หลังจากนั้นต้าเส้าเหยียก็ให้ผู้คุมรถหาสถานที่สักแห่งแล้วจอดให้เขาลงและค่อยกลับมารับเขาอีกที ทว่าผู้คุมรถม้ารออยู่ด้านนอกสนามสอบเกือบสองชั่วโมงก็แล้ว ตามหาโดยรอบก็แล้วทว่าไม่พบเห็นต้าเส้าเหยีย ครานี้ถึงได้กระวนกระวายใจขึ้นมา จึงรีบกลับมารายงานเจ้าค่ะ”
หลินหลันเอ่ยถาม “เป็นไปได้หรือไม่ว่าถูกคนจับตัวไปเรียกค่าไถ่แล้ว”
อวี้หลงส่ายหน้า “ผู้คุมรถม้าถามไถ่คนที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณสนามสอบแล้วเจ้าค่ะ มีคนเห็นต้าเส้าเหยียเดินมุ่งไปทางประตูซีฮว๋าเจ้าค่ะ”
“แล้ว…ได้บอกกล่าวเหล่าเหยียกับเอ้อร์เส้าเหยียหรือยัง”
อวี้หลงกล่าวตอบ “น่าจะบอกกล่าวแล้วนะเจ้าคะ เรื่องนี้จะปิดบังก็คงปิดบังไม่อยู่ พรุ่งนี้ต้าเส้าเหยียต้องเข้าร่วมการสอบแล้วด้วย ทว่ายามนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาคน ฮูหยินจึงร้อนรนใจจนแทบคลั่งแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันครุ่นคิด หมิงเจ๋อคงไม่ได้เกรงกลัวว่าจะสอบไม่ผ่านอีกครั้ง ด้วยแรงกดดันภายในจิตใจที่มากเกินไปจึงหนีออกจากบ้านไปแล้วกระมัง หรือเมื่อคืนถูกแม่มดชราด่ากราดจนไม่เหลือชิ้นดี จึงรู้สึกโกรธเคืองอย่างยิ่ง…
“ช่างเถอะ เรื่องนี้พวกเราคงทำอันใดมิได้เช่นกัน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาเถิด อีกอย่างเดี๋ยวเอ้อร์เส้าเหยียได้รับข่าวคราวคงต้องออกไปตามหาอย่างแน่อน” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ขณะที่ภายในใจกลับครุ่นคิดว่าหากหมิงเจ๋อหนีออกจากบ้านไปแล้วจริงๆ เช่นนั้นคงได้มีละครสนุกๆ ให้ได้ดูอีกแล้ว พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายคงได้กระอักเลือด ส่วนแม่มดชราคงถึงขั้นเป็นบ้า
นางฮานในขณะนี้อยู่ไม่ห่างจากคำว่าบ้าคลั่งเสียแล้ว นางจ้องมองไปยังติงหลั้วเหยียนด้วยความชิงชังและกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า “เจ้าแต่งเข้ามาในตระกูลหลี่ ข้าในฐานะแม่ยายหาได้เคยใช้คำพูดรุนแรงกับเจ้าไม่ ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเสมือนบุตรสาวแท้ๆ ของตนเองด้วยใจจริง ซึ่งข้าจะทำเช่นนั้นไปเพื่ออันใดหากมิใช่คาดหวังว่าเจ้าจะปฏิบัติต่อหมิงเจ๋อดีๆ สักนิด หวังว่าพวกเจ้าสามีภรรยาจะรักใคร่ชื่นมื่นต่อกัน ทว่าเจ้าล่ะ ปฏิบัติต่อสามีของตนเองเสมือนคนแปลกหน้า ไม่ถามไม่ไถ่ ไม่สนใจไม่เหลียวแล หมิงเจ๋อของพวกเรามิคู้ควรกับเจ้าตรงไหนหรือ เป็นเพราะชาติตระกูลสู้ตระกูลติงของพวกเจ้ามิได้ หรือรูปลักษณ์อุปนิสัยไม่ดูดีโดดเด่นสู้ติงหลั้วเหยียนอย่างเจ้าหรือ หมิงเจ๋อของพวกเรามิเข้าตาเจ้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ กระทั่งเว่ยอี๋เหนียงยังรู้ว่าหลายวันมานี้หมิงเจ๋ออารมณ์ไม่ดี แล้วเจ้าล่ะ ไม่ถามไถ่ไม่รับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น ถึงได้เกิดเรื่องประเภทนี้ขึ้นมา จะเป็นไปได้อย่างไรกันว่าก่อนเกิดเรื่องขึ้นไม่มีสัญญาณใดๆ บ่งบอกล่วงหน้า สาวใช้บอกข้าว่าเมื่อคืนหมิงเจ๋อออกมาจากห้องของเจ้าแล้วไปนั่งอยู่ในห้องหนังสือจนถึงเช้า สรุปว่าเจ้าทะเลาะกับหมิงเจ๋อแล้วใช่หรือไม่”
นางฮานคาดเดาว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืน ติงหลั้วเหยียนคงพูดไม่ดีต่อหมิงเจ๋อไปสองสามประโยค หมิงเจ๋อจึงเกิดความรู้สึกหน้ามืดจนปัญญาไปชั่วขณะ…
ติงหลั้วเหยียนปาดน้ำตาอย่างเงียบงัน แม้ว่านางไม่ชอบหมิงเจ๋อและผิดหวังในตัวหมิงเจ๋อถึงขีดสุด แต่ถึงอย่างไรหมิงเจ๋อก็เป็นสามีของนาง ยามนี้ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่แห่งหนใด ภายในใจจึงรู้สึกกังวลและสับสันอย่างมากเช่นกัน คำถามจากปากแม่สามียิ่งทำให้นางรู้สึกผิด เมื่อคืนหมิงเจ๋อพูดว่าเขารู้สึกแย่มาก ขอร้องให้นางพูดคุยเป็นเพื่อนเขา…คำพูดสองประโยคนั้นจากปากนางมันดูใจร้ายใจดำไปหน่อยจริงๆ ทว่านางคาดไม่ถึงเลยว่าหมิงเจ๋อจะถึงขั้นหนีไป
“ร้องไห้ เจ้าก็รู้จักแต่ร้องไห้ ก่อนหน้านี้มัวทำอันใดอยู่หรือ หากที่ผ่านมาเจ้าปฏิบัติต่อหมิงเจ๋อดีๆ สักนิด ใส่ใจเขาสักนิด แล้วเขายังจะช่างน่าสมเพช ต้องนั่งในห้องหนังสือลำพังจนถึงเช้าของอีกวันเช่นนี้หรือ” ยิ่งคิดนางฮานยิ่งเจ็บปวดหัวใจ อดไม่ได้ที่จะร้องไห้โฮขึ้นมา
แม่เจียงทำได้เพียงปลอบประโลมนางให้ใจเย็นลง “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยนะเจ้าคะ ไม่แน่ว่าเพราะต้าเส้าเหยียอารมณ์ไม่ดีจึงออกไปเดินเล่นผ่อนคลายจิตใจ ต้าเส้าเหยียนรู้จักแยกแยะหนักเบา เขาต้องกลับมาอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
นางฮานกล่าวทั้งน้ำตา “หากเขามิกลับมาแล้วจะทำอย่างไร”
“ไม่มีทาง ไม่มีทางเจ้าค่ะ ส่งคนมากมายถึงเพียงนี้ออกไปตามหาแล้ว ยังต้องกลัวว่าจะหาไม่พบอีกหรือเจ้าคะ” แม่เจียงปล่อบใจนาง
เมื่อนางฮานนึกถึงหมิงเจ๋อที่ไม่รู้ว่ายามนี้ไปอยู่แห่งหนใด ก็พานนึกไปถึงว่าหลังหมิงเจ๋อกลับมาแล้วคงต้องได้ถูกบิดาเขาตำหนิอีก หัวใจดวงนี้จึงรู้สึกเจ็บปวดเสมือนถูกมีดแหลมคมเชือดเฉือน ยิ่งมองเห็นติงหลั้วเหยียนก็ยิ่งรู้สึกโกรธเกรี้ยวจึงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “หากหมิงเจ๋อกลับมาได้ก็แล้วไป ทว่าหากหมิงเจ๋อมิกลับมา เจ้าก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตสุขสบายได้ไป”
แม่จู้เข้ามาแล้วเอ่ยถามไถ่ “ยังมิได้ข่าวคราวอีกหรือ เหล่าไท่ไทร้อนใจจะแย่แล้ว”
แม่เจียงกล่าว “ส่งคนไปบอกกล่าวเหล่าเหยียกับเอ้อร์เส้าเหยียแล้วละ ทันทีที่ได้ข่าวคราวจะแจ้งให้เหล่าไท่ไททราบทันที ท่านก็ปลอบประโลมเหล่าไท่ไทเอาไว้หน่อย อย่าให้นางร้อนรนใจจนเกินไป จะอย่างไรก็ต้องระมัดระวังสุขภาพของตนเองเอาไว้ก่อน”
แม่จู้มองดูฮูหยินกับนายหญิงสะใภ้รองที่ร้องห่มร้องไห้จนตาแดงก่ำ นางได้แต่แอบทอดถอนหายใจ ในบ้านหลังนี้จะมีกี่วันที่สงบสุขอยู่ได้
หลี่จิ้งเสียนซึ่งกำลังอยู่ในห้องศึกษาเล่าเรียนของบรรดาเชื้อพระวงศ์ เมื่อได้รับข่าวคราวก็เกิดความโกรธเกรี้ยวภายในใจอย่างยิ่ง ไอ้ลูกมารพจญที่ไม่ได้เรื่องได้ราวผู้นี้ แต่ด้วยมีสหายร่วมงานในสถานที่นี้อยู่ไม่น้อยจึงไม่ดีหากปลดปล่อยโทสะออกไป เขาจึงใช้ข้ออ้างที่ว่าในบ้านมีเรื่องเร่งด่วน เพื่อขอตัวลาออกมาก่อน นอกจากนั้นยังรบกวนให้องครักษ์ช่วยเรียกหมิงอวินออกมาจากพระราชวังด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นทั้งคู่จึงได้สดับรับฟังความเป็นมาเป็นไปของเรื่องราวนี้จากปากข้ารับใช้ในจวนพร้อมๆ กัน
หลี่จิ้งเสียนรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง “ไอ้ลูกทรพีผู้นี้ มิต้องไปตามหาให้เปลืองแรง ไปแล้วก็อย่าได้หวนกลับมาอีก”
หมิงอวินรีบกล่าวโน้มน้าวทันควัน “ท่านพ่ออย่าได้ใจร้อนไปเลยขอรับ ลูกคิดว่าพี่ใหญ่คงรู้สึกกดดันมากเกินไปจึงออกไปเดินเล่นผ่อนคลายจิตใจ ลูกเดาว่าพี่ใหญ่คงมิได้เดินไปไหนไกลหรอกขอรับ เรื่องนี้ก็ไม่ควรทำให้กระโตกกระตากไปด้วยเช่นกัน ขืนแพร่งพรายออกไป ผู้ไม่รู้สถานการณ์ภายในที่อยู่ด้านนอกเหล่านั้นจะพานคาดเดาไปต่างๆ นานา ท่านพ่อ ท่านกลับบ้านไปปลอบประโลมท่านย่าให้ทำใจให้สบายไว้เถิดขอรับ เดี๋ยวลูกไปตามหาพี่ใหญ่เอง ตราบใดที่พี่ใหญ่ยังอยู่ในเมืองหลวง ลูกจะพาพี่ใหญ่กลับไปได้อย่างแน่นอนขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนคิดว่าที่หมิงอวินพูดก็มีเหตุมีผลอยู่ไม่น้อย ทว่าด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวที่ยังคงไม่จางหายจึงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “เมื่อเจ้าหาพี่ชายเจ้าเจอแล้ว บอกเขาด้วยว่าข้ามิให้อภัยเขา”
หมิงอวินได้แต่เผยรอยยิ้มขมขื่น หากพูดออกไปเช่นนี้จริงๆ หมิงเจ๋อยังจะกล้ากลับบ้านอีกหรือ หมิงอวินยกสองมือขึ้นระดับหน้าอกเพื่อคารวะพลางกล่าวเกลี้ยกล่อม “ท่านพ่อ พรุ่งนี้พี่ใหญ่ก็ต้องเข้าร่วมการสอบแล้ว หากพี่ใหญ่กลับมาแล้ว ขอท่านพ่อโปรดอย่าได้ตำหนิเขาเลยขอรับ เรื่องราวทั้งหมดเอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีหลังสอบเสร็จจะดีกว่าขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนสบถ ฮึ ด้วยความอึดอัดใจแล้วจึงขึ้นไปบนรถม้าของตระกูลหลี่
หมิงอวินเรียกเหวินซานให้เข้ามาหา “เจ้าไปหุยชุนถางแล้วบอกกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายว่าวันนี้ข้าไปจวนเผยเป็นเพื่อนนางมิได้แล้ว และให้นางรีบกลับบ้านแต่หัววันหน่อยหลังจัดการธุระเสร็จสิ้น มิต้องรอข้าอยู่ที่ร้านยา”
เหวินซานขานรับแล้วจากไป
ตงจึกล่าวอย่างเศร้าใจ “เอ้อร์เส้าเหยีย เมืองหลวงกว้างขวางขนาดนี้ จะหาอย่างไรล่ะขอรับ!”
หมิงอวินกระตุกมุมฝีปากเล็กน้อย “ตามหาส่งเดชคงไม่มีทางหาเจออย่างแน่นอน ไปเถอะ! พวกเราแวะไปหยาเหมิน[2]กัน”
ตงจึกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เอ้อร์เส้าเหยีย ท่านต้องการไปแจ้งความหรือขอรับ” เมื่อครู่เพิ่งกล่าวอยู่หยกๆ ว่าไม่ควรทำให้กระโตกกระตากไปหรอกหรือ
หมิงอวินเขกศีรษะเขาเข้าให้หนึ่งที “แจ้งความอันใดล่ะ ไปหาเจิ้งสวินพู่ต่างหาก”
ในเมื่อมีคนเห็นหมิงเจ๋อเดินไปทางประตูซีฮว๋า แน่นอนว่าเขากำลังมุ่งไปทางทิศตะวันตก ทุกๆ วันหยาเหมินจะส่งเจ้าหน้าที่ขุนนางไปตระเวนตรวจสอบบริเวณโดยรอบ เช่นนั้นหากขอให้พวกเขาช่วยถามหาก็น่าจะง่ายดายยิ่งขึ้นหน่อย
หลี่หมิงเจ๋อเดินอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมายไปตามถนนสายหลักอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งเดินไปถึงประตูเมืองตะวันตก เขาเหม่อมองประตูเมืองอยู่นานพอตัวแล้วจึงหันหลังเดินกลับมาอย่างเลื่อนลอยอีกครั้ง เขาเพียงแค่อยากเดินเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไปแห่งหนใดก็ได้ ขอเพียงไม่กลับไปบ้านหลังนั้นอีก บ้านหลังนั้นเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก ไร้ซึ่งความอบอุ่น นับตั้งแต่หมิงอวินกลับมา บิดาไม่เคยแสดงสีหน้าชื่นมื่นต่อเขาเลยแม้แต่น้อย จ้องแต่จะตำหนิว่ากล่าว ส่วนมารดาวันๆ เอาแต่ครุ่นคิดต้องการต่อกรหมิงอวิน ทว่าต่อกรกันไปต่อกรกันมามีแต่ทำให้ตนเองตกที่นั่งลำบาก ตามมาด้วยการว่ากล่าวเขาว่าไม่ได้เรื่องได้ราว หมิงจูที่อายุน้อยเพียงนั้นก็รู้จักใช้เล่ห์กลร้ายกาจกับเขาเช่นกัน ซึ่งล้วนเป็นการเรียนรู้จากมารดา ทว่าทุกๆ ครั้งล้วนเป็นตนเองที่ได้รับผลของการกระทำ…แล้วยังมีหลั้วเหยียน หลั้วเหยียนที่เย็นชาประดุจภูเขาน้ำแข็ง ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่อาจละลายภูเขาน้ำแข็งนั่นได้ แล้วยังมีเด็กที่ไม่ได้ลืมตาดูโลกซึ่งเกิดจากเขากับปี้หรูอีก เขามันเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียแล้ว…
จากผู้ที่เคยตั้งหน้าตั้งตารอวันที่บุพการีจะยอมรับและได้กลับไปยังตระกูลที่รอคอยมาเนิ่นนาน เพื่อจะได้เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหลี่ผู้ซื่อสัตย์ รอคอยที่จะได้มีชีวิตใหม่ซึ่งแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง คาดไม่ถึงว่าระยะเวลาแห่งความสุขมันจะสั้นถึงเพียงนั้น เพิ่งสามปีเท่านั้นเอง เมื่อหมิงอวินกลับมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป บิดามารดาไม่รักใคร่เอ็นดูอีกต่อไป ท่านพ่อไร้ความเมตตา ท่านแม่ไร้ความอบอุ่นอ่อนโยน หมิงจูไม่น่ารักอีกต่อไป และแสงเจิดจรัสบนตัวเขาก็ถูกหมิงอวินกลบจนดับสนิท กลายมาเป็นผู้ที่ไร้ความสามารถและเปล่าประโยชน์…
มิรู้ว่ากลิ่นหอมหวนของสุราล่องลอยมาจากแห่งหนใด เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองเดินมาครึ่งค่อนวันแล้ว ท้องไส้จึงเริ่มร้องโครกคราก
[1] ไฉหู (柴胡) ชื่อสมุนไพรชนิดหนึ่ง สรรพคุณ: ขับลมร้อน ลดไข้ ช่วยให้ลมปราณตับไหลเวียนดี. รสชาติและคุณสมบัติ: รสขม เผ็ด เย็นเล็กน้อย
[2] หยาเหมิน (衙门)เป็นสำนักงานบริหารหรือที่อยู่อาศัยของข้าราชการในท้องถิ่นหรือจีนกลางในจักรวรรดิจีน