“ทูลพระชายา คุณหนูเจียง…คุณหนูเจียงอยากอุ้มหมาสีขาวตัวนั้นเล่นเจ้าค่ะ แต่หมาสีขาวตัวนั้นไม่เชื่อง พวกเราเลยวิ่งไล่จับมัน”
คำพูดของสาวใช้คนหนึ่งทำให้คนที่เหลือพยักหน้าลง
ทุกคนในที่นี้ล้วนเหลือบมองทางสัตว์เลี้ยงสีขาวทั้งสองบริเวณชายกระโปรงของหลินเมิ้งหยาด้วยท่าทางหวาดกลัว
เจ้าสัตว์เลี้ยงสองตัวนี้เร็วยิ่งนัก ขนาดสาวใช้สิบกว่าคนวิ่งต้อน ยังไม่อาจแตะได้กระทั่งปลายขน
“เสี่ยวป๋ายของข้า ใช่ว่าใครจะเข้ามาจับก็จับได้”
หลินเมิ้งหยาอุ้มเสี่ยวป๋ายขึ้นมา เจ้าตัวน้อยดิ้นเล็กน้อย ก่อนจะนอนนิ่งในอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยา
“ดูเจ้าสิ เพียงเพราะหมาตัวเดียวแต่กลับทำเรื่องให้ใหญ่โต หมาตัวนั้นเพียงหวงตัวเท่านั้น ดูนั่น พออยู่ในมือของเมิ้งหยา มันเชื่องเสียยิ่งกว่ากระไร”
พระสนมเต๋อเฟยมองหลินเมิ้งหยาที่กำลังอุ้มลูกหมาสีขาว ก่อนจะตำหนิเจียงหรูฉิน
ขนาดหมาน้อยตัวเดียวยังเมินนาง ความโกรธเริ่มพุ่งพล่านในใจของเจียงหรูฉิน
“หมู่เฟยพูดถูกแล้วเพคะ หม่อมฉันเป็นคนเก็บเจ้าตัวน้อยเหล่านี้มาเลี้ยงเอง พวกมันค่อนข้างดุไปสักหน่อย ข้าว่าน้องหรูฉินอย่ายุ่งกับพวกมันเลยจะดีกว่า มิเช่นนั้น หากถูกกัดขึ้นมาจะเป็นรอยแผลเป็นเอาเสียเปล่าๆ ”
เสี่ยวป๋ายในอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยาสงบนิ่งเชื่อฟัง
แม้อุปนิสัยของหมาป่าจะเย่อหยิ่ง ไร้ซึ่งอุปนิสัยออดอ้อนเจ้าของเหมือนหมาพันธุ์อื่น
แต่มันกลับซุกไซ้อ้อมกอดของหลินเมิ้งหยาและแสดงท่าทางเชื่อฟังเจ้าของเป็นอย่างมาก
สายตาอิจฉาเล็กน้อยของเสือน้อยพุ่งมาจากทางด้านหลังของหลินเมิ้งหยา ดวงตาเสมือนแมวของมันกำลังเปล่งประกายวาววับ
น่าเสียดาย ตอนนี้เจ้านายของมันมองไม่เห็นท่าทางน่าสงสารของมันเลย
“ได้ ข้าไม่อุ้มก็ได้ คนอะไรเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว”
เจียงหรูฉินยังรู้สึกโกรธ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“อย่ากล่าวเช่นนั้น เมิ้งหยา หมาน้อยของเจ้าน่ารักยิ่งนัก”
พระสนมเต๋อเฟยเองก็เคยเลี้ยงหมาพันธุ์พุดเดิ้ล แต่น่าเสียดายที่มันตายจากไปแล้ว
ดังนั้น นางจึงรู้สึกชอบหมาสีขาวในอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยามาก
เจ้าเด็กคนนี้มีสัญชาตญาณที่ดี มันรู้ว่าใครดีกับมัน
พระสนมเต๋อเฟยยกมือขึ้นลูบ เมื่อมันได้เห็นสายตาของพระสนมเต๋อเฟย มันจึงแสดงท่าทางเชื่อฟังและปล่อยให้พระสนมเต๋อเฟยลูบไล้ได้อย่างอิสระ
“ดูสิ มันเชื่องมากเลยนี่นา เจ้าดูนี่ เมื่อครู่เจ้าทำให้มันตกใจ”
เจียงหรูฉินกัดฟัน ไม่ยอมยิ้มตาม
สมแล้วที่เป็นหมาของหลินเมิ้งหยา น่ารังเกียจเหมือนเจ้าของไม่มีผิดเพี้ยน
“จริงซิ เมิ้งหยา ข้ามีเรื่องต้องการปรึกษากับเจ้า”
พระสนมเต๋อเฟยยิ้ม ยิ่งได้เห็นหลินเมิ้งหยาก็ยิ่งรู้สึกชื่นชม
“เชิญหมู่เฟยรับสั่งได้เลยเพคะ”
ต้นไม้ดอกไม้ที่ล้มระเนระนาดถูกชิงหูจัดเรียงให้เหมือนเดิม
เพราะดอกเก๊กฮวยบานสะพรั่ง ดั่งนั้นทุกคนจึงรู้สึกสดชื่น
พระสนมเต๋อเฟยสูดลมหายใจ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ ทำให้บรรเทาความโศกเศร้าในหัวใจของนางไปได้
“แต่ก่อนเวลาที่ดอกเก๊กฮวยบาน เมืองหลวงของพวกเรามักจะจัดงานเลี้ยงชมดอกเก๊กฮวย ปีนี้ข้ารู้สึกว่าดอกเก๊กฮวยในสวนของเจ้าบานสะพรั่งงดงามยิ่งนัก เช่นนั้น พวกเรามาจัดงานเลี้ยงชมดอกเก๊กฮวยดีหรือไม่? ”
พระสนมเต๋อเฟยเอื้อนเอ่ยด้วยความดีใจ นางอยู่อย่างหงอยเหงาในตำหนักหยาเสวียน นอกจากออกไปไหว้พระแล้ว ก็มิได้ทำสิ่งใดอีก
ยากมากกว่าจะได้เห็นดอกเก๊กฮวยบานสะพรั่งสวยงามเช่นนี้ ดังนั้น นางจึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมา
“นั่นสิพี่สะใภ้ มีเพียงดอกเก๊กฮวยในสวนของท่านที่บานได้งดงามที่สุดในเมือง หากฮูหยินท่านอื่นได้เห็นเข้า ข้าว่าพวกนางจะต้องรู้สึกถึงความพ่ายแพ้อย่างแน่นอน”
เจียงหรูฉินแสดงท่าทางหยิ่งยโส หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองนางเล็กน้อย
“หม่อมฉันขอน้อมรับเรื่องนี้เอาไว้ในหัวใจ แต่ว่า หม่อมฉันขอปรึกษากับท่านอ๋องก่อนนะเพคะ หมู่เฟยได้โปรดวางใจ ท่านอ๋องเป็นคนกตัญญู จะต้องอนุญาตอย่างแน่นอน”
หลินเมิ้งหยาแสดงท่าทางนอบน้อม ใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟยจึงปรากฏรอยยิ้ม
“เช่นนั้นข้าก็วางใจ ข้ารู้สึกว่านับวันเจ้ายิ่งใจกว้าง”
พระสนมเต๋อเฟยรู้สึกพึงพอใจมากที่มีลูกสะใภ้เช่นนี้
ชื่นชมอยู่พักใหญ่ อีกทั้งยังดื่มชาเก๊กฮวยที่หลินเมิ้งหยาทำ ก่อนจะกลับไปที่ตำหนักหยาเสวียน
ในมืออุ้มเสี่ยวป๋าย หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในศาลาเล็ก มองดูดอกเก๊กฮวยในสวน
“เจ้าเด็กน้อย คิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ? เหตุใดจึงเหม่อลอยเช่นนี้? ”
ชิงหูยังคงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของผู้หญิง กรีดกรายเยื้องย่างมาทางหลินเมิ้งหยา
“เจ้าถอดชุดนี้ออกก่อนได้หรือไม่? ”
หลินเมิ้งหยามองทางชิงหูด้วยสายตารังเกียจ
ทำไมเจ้านี่ถึงเสพติดการสวมเสื้อผ้าของผู้หญิงไปได้นะ?
“ฮึ เจ้าอิจฉาความงามของข้า! ”
ถลึงตาใส่หลินเมิ้งหยา ชิงหูเดินหายไปจากแนวสายตาของนาง
“มีเรื่องให้ต้องคิดหรือเจ้าคะนายหญิง? ”
ป๋ายจีเทชาเก๊กฮวย มองทางหลินเมิ้งหยา
“เหตุใดอยู่ๆ พระสนมเต๋อเฟยจึงคิดอยากจัดงานเลี้ยงชมดอกเก๊กฮวยขึ้นมา? ตอนที่ข้าออกไปเมื่อครู่ มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือไม่? ”
หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรบางอย่าง
หรือพระสนมเต๋อเฟยจะไม่ได้คิดอะไรและอยากจัดงานเลี้ยงแต่เพียงเท่านั้น
แต่แม้กระทั่งเจียงหรูฉินที่มักจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับนางก็ยังเห็นด้วยกับเรื่องนี้
ดังนั้น สัญชาตญาณของนางจึงร้องเตือนขึ้นมา
“ไม่ได้พูดอะไรนะเจ้าคะ เพียงแต่เล่าเรื่องในวังสมัยก่อนของพระสนมเต๋อเฟย ต่อมาคุณหนูเจียงจึงพูดขึ้นว่าทุกปีมักจะมีงานชมดอกเก๊กฮวยจัดขึ้นในวัง แต่เพราะสองปีมานี้ฮ่องเต้ประชวร ดังนั้นจึงมิได้จัดงานขึ้น”
ป๋ายจีครุ่นคิดอย่างละเอียด ราวกับว่า ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาจริง ๆ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้น ใครเป็นคนเสนอเรื่องจัดงานเลี้ยงชมดอกเก๊กฮวยขึ้นมา? ”
“คุณหนูเจียงเจ้าค่ะ อีกทั้งยังเอ่ยว่าอีกไม่นานจะถึงวันเกิดของท่านอ๋อง ดังนั้นจึงคิดจะจัดงานทั้งสองให้ครึกครื้น หนู่ปี้รู้สึกเหมือนนางกำลังจะยืมดอกไม้ถวายพระ เมื่อถึงเวลานั้น ท่านอ๋องจะมอบความรักให้กับนาง! ”
ป๋ายจื่อแย่งพูด ใบหน้าแดงก่ำ ราวกับว่ามีความแค้นฝังลึกกับเจียงหรูฉิน
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง ที่แท้เจียงหรูฉินก็เป็นคนเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา ดังนั้น นางจึงต้องระมัดระวังให้ดี
งานชมดอกเก๊กฮวย อันที่จริงก็เป็นเพียงงานเลี้ยงธรรมดาเท่านั้น
แต่สิ่งเดียวที่น่าปวดหัวก็คือเมื่อถึงเวลานั้น จะมีคนแห่มาที่ตำหนักของนางมากมาย
เมื่อคนเยอะและตกอยู่ในความวุ่นวาย นางกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
“นายหญิง ยกเลิกเถิดเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของป๋ายซ่าวแฝงไว้ซึ่งความกังวล ขณะที่เอ่ยกับหลินเมิ้งหยา
หลังจากผ่านเรื่องอันตรายกับหลินเมิ้งหยามาอย่างมากมาย พวกนางรู้ว่ามิควรปล่อยให้ใครเข้ามาในตำหนักหลิวซิน
หากคนเข้ามาที่นี่มากมาย เกรงว่าพวกนางคงมิอาจดูแลได้อย่างทั่วถึง
“ไม่มีทางเลือก พวกเจ้ามองไม่เห็นสีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยอย่างนั้นหรือ”
สิ่งที่ยากที่สุดคือพระสนมเต๋อเฟย
ยิ่งไปกว่านั้น หากนางปฏิเสธ เกรงว่าพระสนมเต๋อเฟยจะต้องรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างแน่นอน
จะได้คุ้มเสียหรือไม่ เจียงหรูฉินจ้องจับผิดนางอยู่เสมอ นางไม่มีทางปล่อยโอกาสในการทำลายนางไปง่ายๆ อย่างแน่นอน
“ถึงอย่างไรงานเลี้ยงก็จัดที่ตำหนักใหญ่ หากมีคนมาชมดอกไม้ พวกเจ้าคอยจับตามองก็เพียงพอ”
ตอนนี้คงทำได้เพียงระมัดระวังและแก้ปัญหาไปทีละก้าว อย่างน้อยที่นี่ก็คือจวนอวี้ที่ซึ่งนางควบคุมดูแลอยู่
ทันทีที่หลงเทียนอวี้กลับมา เขาถูกหลินเมิ้งหยาเชิญมาที่ตำหนักหลิวซิน
ยังไม่ทันที่จะเดินผ่านสวนเข้ามา เสียงหัวเราะคิกคักก็ดังลอดออกมา
“เสี่ยวป๋าย มานี่มา เสือน้อย! อย่ากัดหางของเสี่ยวป๋ายสิ รีบมานี่เร็ว”
เพียงเปิดประตูก็ได้เห็นป๋ายจื่อกับหลินจงอวี้กำลังเล่นกับสัตว์เลี้ยงสองตัวอย่างสนุกสนาน
หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในศาลา หยักยิ้มอบอุ่น สายตาอ่อนโยน
ใบหน้านวลประดับไว้ซึ่งรอยยิ้ม ชีวิตที่เงียบสงบคงเป็นเช่นนี้สินะ
“ท่านอ๋องมาแล้ว ท่านอ๋อง ท่านอ๋องมาแล้ว”
ป๋ายจื่อสังเกตเห็นหลงเทียนอวี้ก่อนใครเพื่อน ใบหน้าเรียวเล็กฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะร้องตะโกนออกมา
สองขาวิ่งไปทางหลินเมิ้งหยา ก่อนจะกลับมามีท่าทางประหนึ่งผู้ที่ถูกอบรมมาอย่างดี มิเหมือนเด็กน้อยที่สดใสร่าเริงเมื่อครู่
“อืม ข้ามาแล้ว”
ไม่เพียงแค่ป๋ายจื่อ แม้แต่คนอื่น ๆ ในจวน หลังจากได้เห็นหลงเทียนอวี้แล้ว พวกเขาต่างพากันหุบยิ้ม
มีเพียงหลินเมิ้งหยาที่ยังคงหยักยิ้มอ่อนโยนเท่านั้น
“ท่านอ๋องเสวยอาหารเย็นหรือยังเพคะ? ”
หลินเมิ้งหยาลุกขึ้น ก่อนจะเอ่ยถามเสมือนภรรยาปกติทั่วไปที่ถามสามี
“กินแล้ว”
หัวใจเย็นชาดุจหิมะมีความอบอุ่นจาง ๆ แผ่ซ่าน
หิมะที่เกาะกุมหัวใจของหลงเทียนอวี้อยู่เริ่มละลายช้า ๆ
“ที่เชิญท่านอ๋องมาก็เพราะมีเรื่องต้องการปรึกษาเพคะ”
หลินเมิ้งหยาหยุดยืนตรงหน้าหลงเทียนอวี้
แสงแดดรำไรส่องผ่านใบหน้านวลดั่งหยกของนาง ดังนั้นนางจึงยิ่งงดงามและเปล่งประกาย
“เรื่องอะไร? ”
หลงเทียนอวี้มิได้สังเกตเห็นเลยว่าน้ำเสียงของตนเองอ่อนโยนลงมาก
“หลังจากที่หมู่เฟยมาชมดอกเก๊กฮวยในสวนของหม่อมฉันแล้ว พระองค์ดีใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังต้องการจัดงานเลี้ยงชมดอกเก๊กฮวย หม่อมฉันรอฟังความเห็นจากท่านอ๋องเรื่องนี้เพคะ”
หลินเมิ้งหยาหลุบตาต่ำ ส่งเสียงอ่อนหวาน
“ได้ จัดการตามที่เจ้าเห็นสมควรเถิด”
ครั้งแรก นี่เป็นครั้งแรกที่หลงเทียนอวี้เห็นนางเป็นนายหญิงของจวนอวี้อย่างแท้จริง
เมื่อก่อน เขารังเกียจผู้หญิง ดังนั้นในจวนจึงไร้ซึ่งสาวใช้
มิรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เมื่อเขากลับมาจากข้างนอก สิ่งที่เขาอยากเห็นคือใบหน้าเปื้อนยิ้มของหลินเมิ้งหยา
“เพคะ ท่านอ๋องมีสิ่งใดต้องการรับสั่งหรือไม่? ”
หลินเมิ้งหยาไม่กล้าสบตากับหลงเทียนอวี้ ดวงตาของเขา สีดำคมกริบ ราวกับว่าจะสามารถดูดกลืนวิญญาณของนางได้
ไม่ได้ ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้
หลินเมิ้งหยาร้องเตือนตัวเองในใจ ถ้าหากปล่อยให้ตนเองถลำลึกมากไปกว่านี้ สุดท้าย คนที่จะเจ็บปวดก็คือตัวนางเอง
“ไม่มี เรื่องนี้คงต้องลำบากเจ้าแล้ว”
หลงเทียนอวี้ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร บรรยากาศระหว่างทั้งคู่จึงเริ่มอึดอัดขึ้นมา
“พี่สาว เหมือนเสี่ยวป๋ายกับเสือน้อยจะผิดปกติไป! ”
บังเอิญ เสียงร้องของหลินจงอวี้พลันดังขึ้น
หลินเมิ้งหยากับหลงเทียนอวี้หันหน้าไปมอง ก่อนจะได้เห็นเสือน้อยล้มลงกับพื้น มุมปากมีฟองสีขาว
ร่างบางรีบพุ่งออกไปราวกับกำลังบิน สมองเกิดเสียงร้องเตือนขึ้นมา
คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น อุ้มเสือน้อยเข้าหาอ้อมกอด ใครกันที่ใจคออำมหิตเช่นนี้ กล้าวางยาสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่น่าสงสาร
“รีบไปเอานมวัวมาจากห้องครัว พิษชนิดนี้รุนแรงมาก จะต้องทำให้มันอ้วกออกมาก่อนจึงจะแก้พิษได้”