บทที่ 156 หยินโชติช่วง (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 156 หยินโชติช่วง (2)
‘ก่อนหน้านี้ในเส้นลมปราณมีวิชากำลังภายในหลายชนิดโคจรอยู่ ทำให้วิชากำลังภายในไม่น้อยเกิดความขัดแย้งกัน เพิ่มความแข็งแกร่งไม่ได้ เพราะเส้นทางทับซ้อนกัน ปราณหยินหยางขวดสมบัติกลับสุดยอดมาก สร้างทางด่วนเพื่อใช้เอง…’ ลู่เซิ่งหมดคำพูด

เวลานี้สัมผัสปราณภายในด้านในเครือข่ายกระเรียนหยินอีกครั้ง ปลอดโปร่งราบรื่นอย่างที่คิดไว้ ถึงขั้นเร็วกว่าเส้นลมปราณเดิมมาก

‘ไม่แปลกหรอก ข่ายเส้นลมปราณที่สร้างใหม่ ไม่มีกายเนื้อคอยขวาง ไปตรงไหนก็สะดวก ประสิทธิภาพแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง’

เดิมทีลู่เซิ่งเกือบลืมความทรงจำในโลกใบก่อนของตัวเองแล้ว คิดไม่ถึงว่าตอนนี้วิชากำลังภายในธาตุหยินวิชานี้กลับเอาความคิดสร้างสะพานเชื่อมจากคลังความรู้ในความทรงจำของเขามาใช้กับวรยุทธ์…

‘นอกจากนี้ สภาพหยินโชติช่วงนี้ก็สำเร็จอย่างที่คาดไว้’

ลู่เซิ่งระบายลมหายใจ ปรารถนาอยากทดลองดูบ้าง

เทียบกับสภาพหยางโชติช่วง สภาพหยินโชติช่วงนี้มีความสามารถอะไรกันแน่ เขาคาดหวังต่อมันมาโดยตลอด ถึงอย่างไรกายเนื้ออันน่ากลัวที่เกิดจากสภาพหยางโชติช่วงก็ทำให้ยามที่เขาฆ่าฟันซึ่งหน้าสะดวกราบรื่น แม้แต่อานุภาพก็ยอดเยี่ยมเกินบรรยาย

‘สภาพหยางโชติช่วง เป็นสภาพร่างกายของตัวเรา ความจริงสภาพตอนใช้ชีวิตยามปกติคือสภาพหยางโชติช่วงที่ถูกควบคุมเก็บเอาไว้ การปลดสภาพหยาง ก็คือการปลดพันธนาการ แล้วสภาพหยินล่ะ’

ลู่เซิ่งนั่งไตร่ตรองอยู่ที่เดิมสักพัก

ทันใดนั้นเขาตาเป็นประกาย เหมือนในม่านตามีวัตถุบางชนิดที่ส่องแสงได้ ร่างกายเย็นลง แล้วเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงแรกสุด คือผิวหนังของเขา

ผิวหนังในตอนแรกหยาบกระด้างเพราะวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานกับวิชาแข็งกร้าว ตอนนี้ภายใต้การเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาดบางอย่าง ผิวทั่วทั้งตัวลู่เซิ่งค่อยๆ เปล่งปลั่งเหมือนตอนแรก เหมือนกับคุณชายธรรมดาผู้ไม่เคยฝึกฝนวรยุทธ์มาก่อน

มองดูเหมือนผิวเนียนเนื้อนุ่มขึ้นส่วนหนึ่ง

จากนั้นเป็นข้อต่อ ข้อต่อที่เดิมแข็งและหยาบใหญ่เพราะวิชาแข็งกร้าว หลังจากบิดรอบหนึ่ง ก็ส่งเสียงข้อต่อหักเบาๆ แล้วซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังและกล้ามเนื้อทั้งหมดจนมองไม่เห็นอีก

กล้ามเนื้อ โครงกระดูก ผิวหนังของเขาคล้ายแน่นหนา แข็งแกร่ง และมีกำลังวังชาขึ้น

ลู่เซิ่งยื่นมือไปลูบศีรษะ ครั้งนี้มีผมสั้นๆ งอกออกมาจริงๆ หนำซ้ำเส้นผมยังต่างไปเล็กน้อย แข็งและยืดหยุ่นยิ่ง

‘นี่คือสภาพหยินโชติช่วงหรือ’ ลู่เซิ่งลุกขึ้นไปสวมเสื้อผ้า เปิดประตูหินช้าๆ ก่อนออกจากห้องลับ

ยอดฝีมืองครักษ์ใกล้ชิดของพรรควาฬแดงที่เฝ้าอยู่นอกประตูเห็นเขาออกจากด่าน ก็รีบพากันคำนับ

“คำนับประมุขพรรค!”

องครักษ์ใกล้ชิดที่ลาดตระเวนอยู่แถวประตูและตัวลาน คุกเข่าข้างหนึ่งลง มีลู่เซิ่งยืนอยู่คนเดียว

ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่าสายตาของผู้คนคล้ายไม่มีการเปลี่ยนแปลง แสดงว่าเขามีรูปโฉมไม่ต่างจากเดิม

“ไปเอาคันฉ่องมา”

มีพลพรรคออกไป ผ่านไปสิบกว่าอึดใจก็วิ่งกลับมา ถือคันฉ่องสำริดใบหนึ่งในมือ

ลู่เซิ่งนำคันฉ่องสำริดมาส่องอย่างตั้งใจ

ภาพของเขาที่อยู่ในคันฉ่อง นอกจากความหยาบกร้านส่วนหนึ่ง ที่เหลือไม่ต่างจากตอนที่เขายังไม่ได้ฝึกวรยุทธ์เท่าไหร่

‘แบบนี้เรียกว่าการคืนหยกสู่ความจริงใช่ไหม’ ลู่เซิ่งใจเต้น พอส่องศีรษะ เส้นผมยาวเท่าเล็บและดกดำ ดูเหมือนจะผมขึ้นแล้วจริงๆ

เขาค้นพบว่าเมื่ออยู่ในสภาพนี้ ความรู้สึกเผาไหม้ของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานต่อเส้นลมปราณก็แทบไม่เหลือแล้ว

ปราณภายในปริมาณมากหายไปอย่างต่อเนื่องเพื่อคงสภาพหยินโชติช่วงของร่างกาย ในสภาพนี้ ประสาทสัมผัสมีการยกระดับอย่างชัดเจน

ขณะที่ปราณภายในหายไปจำนวนมหาศาล ความเร็วการคืนปราณก็สูงจนน่าเหลือเชื่อ อย่างน้อยก็เป็นหลายเท่าของสภาพหยางโชติช่วงและสภาพทั่วไป!

‘ปราณหยินหยางขวดสมบัติของเราใช้รักษาอาการบาดเจ็บได้ ดูเหมือนความเร็วในการคืนปราณจะเร็วกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า การฟื้นฟูอาการบาดเจ็บหลักๆ แล้วอาศัยปราณหยินหยางขวดสมบัติ เมื่อเป็นแบบนี้ ความเร็วในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บก็จะเป็นหลายเท่าของก่อนหน้า’

ลู่เซิ่งคำนวณการยกระดับของสภาพหยินโชติช่วงคร่าวๆ

ความเร็วคืนปราณแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง ความเร็วในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บดีขึ้นกว่าเดิม ผลกระทบด้านลบของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานถูกลบจนหายไปแทบหมด ประสิทธิผลการสะกดหยินหยางแสดงผลถึงขีดสุด

ความสามารถที่เหลือยังไม่ค้นพบ แต่คล้ายกับร่างกายได้รับการหล่อเลี้ยง ไม่ใช่ความรุนแรงจากธาตุหยางเพียงอย่างเดียวอีก

‘ยังมีอีกอย่าง…สภาพหยินโชติช่วงเหมือนจะมีความสามารถซ่อนลมปราณเพิ่มมาด้วย’ ลู่เซิ่งยื่นมือออกมามองฝ่ามือขาวผ่องของตนที่เหมือนกับคุณชายธรรมดา เขาในปัจจุบันถึงขนาดที่สัมผัสปราณภายในของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานในตัวไม่ได้บ้างแล้ว

ลมปราณรวมๆ ไม่แตกต่างจากคนธรรมดามากนัก

‘ยังเหลือปราณหยินอีกนิดหน่อย ยกระดับวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานไม่พอแล้ว แต่ยังยกระดับปราณหยินหยางขวดสมบัติได้อีกครั้ง…’

ลู่เซิ่งลังเลอยู่บ้าง แต่พอสัมผัสวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานในตัวก็เหมือนได้ยากระตุ้น โคจรได้อย่างรวดเร็ว หลังจากสภาพหยินโชติช่วงเป็นรูปเป็นร่าง กายเนื้อคล้ายรองรับผลข้างเคียงของสภาพหยางโชติช่วงได้มากกว่าเดิม

เขาทราบจากเรื่องนี้ว่า การยกระดับสภาพหยินโชติช่วง ก็เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สภาพหยางโชติช่วงกรายๆ เช่นกัน

‘เพิ่มระดับอีกขั้น อาจจะควบแน่นปราณภายในธาตุหยินได้… ถึงตอนนั้นหยินหยางรวมกัน จะต้องมีการยกระดับที่คาดไม่ถึงแน่!’

หลังจากใคร่ครวญ ลู่เซิ่งก็ตัดสินใจ

เขาพักผ่อนด้านนอกสักพักหนึ่ง แล้วกลับห้องลับ ยืดเส้นยืดสายด้วยวิชาฝ่ามือชุดหนึ่ง ค่อยนั่งลงทำสมาธิ

‘ดีปบลู’

ลู่เซิ่งเปิดเครื่องมือปรับเปลี่ยน จ้องมองปราณหยินหยางขวดสมบัติ

[เรียนรู้ปราณหยินหยางขวดสมบัติถึงระดับเก้า] เขากดจิตสำนึกลงบนปุ่มปรับเปลี่ยนด้านหลังอย่างแรง

เส้นรยางค์จำนวนนับไม่ถ้วนที่เย็นเยียบทะลักออกมาจากหัวใจเป็นจำนวนมากอีกรอบ แล้วยืดไปยังทั่วทุกทิศทางในร่างของลู่เซิ่ง ตามข่ายกระเรียนหยินที่เพิ่งสร้างขึ้น

ครั้งนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ตระการตาอีก มีแค่ปราณขวดสมบัติปริมาณมากไหลบ่าสู่ข่ายกระเรียนหยิน ปราณภายในยิ่งมายิ่งมาก ยิ่งมายิ่งหนาแน่น ยิ่งมายิ่งเข้มข้น

ลู่เซิ่งเริ่มรู้สึกถึงความรู้สึกขยับขยายที่ร่างกายไม่เจอมานาน เขารู้ว่านี่เป็นเส้นทางที่ต้องผ่านของการควบแน่นปราณภายใน จึงไม่ลนลาน เพ่งจิตสงบลมหายใจ สำรวจการไหลบ่าของปราณภายในธาตุหยินจำนวนมหาศาลต่อ

เวลาผ่านไปอย่างต่อเนื่อง ปราณขวดสมบัติยิ่งมายิ่งเยอะ ยิ่งมายิ่งเข้มข้น ถึงตอนท้าย ข่ายกระเรียนหยินเริ่มบวมปวด ดีที่ยาเนื้อพยัคฆ์สี่ชั้นซึ่งกินไปก่อนหน้านี้เริ่มกระจายฤทธิ์ยา กลายเป็นของบำรุงที่ดีที่สุดในการหล่อเลี้ยงและซ่อมแซมตนเองของข่ายกระเรียนหยก นอกจากลบความเจ็บปวดไม่ได้ ที่เหลือก็ไม่มีอุปสรรคใหญ่

ข่ายกะเรียนหยินเป็นรูปเป็นร่างและเชื่อมกับเส้นประสาทแต่แรก ตอนนี้ภายใต้การบีบอัดของปราณภายในปริมาณมาก เริ่มปรากฏอาการบวมปวดเหมือนจะระเบิด

ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิ ต่างไปจากความคลุ้มคลั่งตอนอยู่ในสภาพหยางโชติช่วง เขามีประสบการณ์ในการควบแน่นปราณภายในมาแล้ว มองดูปราณภายในควบแน่นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ระหว่างที่เครื่องมือปรับเปลี่ยนส่งปราณภายใน ปราณขวดสมบัติจำนวนมากบีบอัดและหดตัวที่หัวใจ ค่อยๆ รวมตัวเป็นของเหลวสีขาวเหมือนนมวัวหยดหนึ่ง

หลังหยดที่หนึ่ง ก็มีหยดที่สอง และหยดที่สาม

เหมือนกับวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน ปราณภายในเพิ่งควบแน่นสำเร็จ ลู่เซิ่งก็มีปราณเหลวสามหยด ไม่ทราบว่าเป็นหยินหยางฉุดรั้งกันเอง หรือว่าเป็นสาเหตุอื่น

ปราณเหลวหยินกับปราณเหลวหยางมีอย่างละสามหยด

รอลู่เซิ่งลืมตาอีกครั้ง น้ำมันในตะเกียงน้ำมันบนกำแพงก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานขนาดไหน

‘สำเร็จแล้ว…’

ลู่เซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้น ก้มหน้ามองร่างกายของตัวเอง เขาเหมือนกับตัวหดลงเท่าหนึ่ง เค้าโครงกล้ามเนื้อหายไปเกือบหมด

ครั้งนี้แม้แต่ตัวเองยังตกใจ รีบยกคันฉ่องสำริดขึ้นดูอย่างละเอียด

ผิวหนังของตัวเองในคันฉ่องขาวกว่าเดิม เครื่องหน้าอ่อนโยนลงมาก หล่อเหล่าขึ้นเล็กน้อย

สิ่งที่น่าประหลาดยิ่งกว่าคือเส้นผม เส้นผมสีดำงอกคลุมไหล่ แต่ละเส้นแวววาวเล็กละเอียด ลู่เซิ่งลองดึง ไม่ใช้แรงมากนักแต่ก็ดึงไม่ขาด

ถ้าหากบอกว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นคุณชายหนุ่มที่รูปร่างกำยำ อย่างนั้นเขาในตอนนี้ก็เป็นนายน้อยอ่อนแอที่สุภาพเรียบร้อย และอ่อนโยนสง่างาม มองดูก็ทราบว่าเป็นเศษสวะด้านการต่อสู้

แม้แต่ลู่เซิ่งยังมองไม่ออกว่า ตนเองมีร่องรอยที่เคยฝึกวรยุทธ์ตรงไหน

กระนั้นความอ่อนโยนเปลือกนอกไม่ได้ทำให้พลังของเขาลดน้อยลง ลู่เซิ่งกลับรู้สึกว่า อานุภาพของสภาพหยางโชติช่วงยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพราะการสนับสนุนของสภาพหยินโชติช่วง ร่างกายของเขากำลังให้กำเนิดการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนและแปลกประหลาดด้วยการห่อหุ้มของข่ายกระเรียนหยิน เหมือนกับสัตว์ที่กำลังจะฟักเป็นตัวจากเปลือกไข่

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่มีทางสำเร็จได้ในเวลาสั้นๆ เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงอันสมบูรณ์แบบในระยะยาว

วิ้ว…

กลางดึก

หิมะสุมอยู่บนพื้นป่าที่สีดำสนิท ลมเย็นส่งเสียงหวีดหวิว หมาป่าเห่าหอน

ในป่า เงาคนสีเทาพร่ามัวสายหนึ่งเคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างแช่มช้าในป่า

เงาคนสวมเสื้อคลุมสีเทา ใส่หมวกปิดศีรษะ หดตัวอยู่ในเสื้อคลุม มองไม่เห็นหน้า ได้แต่แยกแยะว่ามีร่างสูงใหญ่

เงาสีเทาก้าวสองสามก้าวก็ปรากฏขึ้นบนที่ว่างอีกแห่งซึ่งอยู่ห่างออกไปสิบกว่าหมี่ เหมือนกับเคลื่อนย้ายในพริบตา ขณะก้าวเดินมันไม่ได้ขยับเขยื้อน เพียงมุ่งไปด้านหน้า เหมือนกับไม่ใช่คนเป็น

“เจ้าเองก็ล้มเหลวแล้วหรือ” ในป่ามีเสียงน่ายำเกรงดังขึ้น

เสียงนี้เหมือนเสียงงูหลามทำเสียงซือๆ ทั้งเหมือนวัตถุแหลมคมเสียดสีอย่างแรงกับแผ่นไม้ แหลมระคายหู แยกไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี คนแก่หรือเด็ก

เงาสีเทาพลันหยุดลง

“ภัยพิบัติมังกรสีชาดไม่ได้อยู่นั่น ตระกูลเจินแยกเป็นหลายทาง เจ้าก็ถูกหลอกเช่นกันไม่ใช่หรือ” เงาสีเทากล่าวอย่างเย็นชา เป็นเสียงสตรีที่ทุ้มแหบ

“เจ้าเคยเป็นหนึ่งในคนที่ใกล้ชิดกับภัยพิบัติมังกรสีชาดที่สุด ผู้ใดทราบว่าเจ้าแอบซ่อนเศษอาวุธเทพคิดหนีหรือไม่” เสียงในป่าหัวเราะเหอะๆ

เงาสีเทาเงียบงัน ปลดหมวกลง เผยให้เห็นใบหน้าสตรีที่เด็ดเดี่ยวและอัปลักษณ์ ไม่มีความงามของสตรีเพศแม้แต่น้อย

มุมปากซ้ายถึงหางตาของนาง มีรอยแผลเหมือนงูหลามตัวหนึ่ง รอยแผลตกสะเก็ดมานานแล้ว เหลือเพียงรอยแผลเป็นสีแดงก่ำ

เสื้อคลุมตรงหน้าอกถูกนางฉีกทิ้งไปด้านข้าง เผยให้เห็นร่างกายสูงใหญ่ที่เข้มแข็งมีพลัง

มองดูแต่ไกล ถ้าไม่ใช่หน้าอกที่นูนขึ้น คงมองไม่ออกว่านางเป็นสตรี อาศัยแค่กล้ามเนื้อแขนที่ใหญ่เท่าขาผู้ใหญ่ก็ทำให้คนที่แค่เห็นก็ยำเกรงแล้ว

สิ่งที่น่าประหลาดที่สุดคือ ผิวหนังที่สตรีผู้นี้เผยออกมา ซีดขาวเพราะแช่น้ำมานานมาก

“หมายความว่าที่เจ้าไล่ตามมาเพราะคิดจะสู้กับข้าหรือ” สตรีเชิดคางเล็กน้อย ขมวดคิ้วมุ่น ผมสั้นสีขาวเหมือนกับเข็มเหล็กถูกลมพัดปลิวไสว

“เจ้าว่าอย่างไรเล่า ผู้คุมจัตุรัสแดง”

เงาคนสีดำสนิท ถือกระบองเขี้ยวหมาป่าขนาดยักษ์โผล่ขึ้นตรงข้ามกับนาง

……………………………………….