บทที่ 157 กั้นกระแสน้ำ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 157 กั้นกระแสน้ำ (1)
ในเวลาคืนเดียว หิมะปกคลุมแดนเหนือมากกว่าครึ่งอย่างเงียบเชียบ

ลู่เซิ่งเดินออกมาจากห้องลับ ด้านนอกเป็นสีขาวโพลน ลมเย็นพัดผ่าน พัดหิมะบนต้นสนในตัวลานจนตกลงสู่พื้น

เขาพ่นไอร้อนออกจากปาก ได้ยินเสียงโหวกเหวกของเด็กๆ ดังมาไกลๆ ยังมีเสียงร้องของสุนัขและไก่ ที่บ้านเลี้ยงไว้

องครักษ์ใกล้ชิดจากพรรควาฬแดงหลายคนเฝ้าประตูอยู่ หิมะบางๆ ชั้นหนึ่งคลุมตัว ยังไม่ขยับเขยื้อน

“ลำบากพวกเจ้าแล้ว” ลู่เซิ่งอารมณ์ดี มององครักษ์ใกล้ชิดที่เฝ้าอยู่อย่างชื่นชม

“ทำหน้าที่เพื่อประมุขพรรค ไม่ลำบาก!” พวกเขาตอบด้วยสีหน้าพลุ่งพล่าน ใจเหมือนได้ยากระตุ้น

ลู่เซิ่งมองความเคารพคลั่งไคล้ในดวงตาพวกเขา พอจะเข้าใจว่าตนเองมีบารมีขนาดไหนสำหรับพลพรรควาฬแดง

ตอนนี้ศิษย์พี่หงหมิงจือถอยออกจากสายตาของทุกคนโดยสมบูรณ์ ทุกๆ วันไปๆ มาๆ ระหว่างห้องโอสถและบ้าน ไม่รู้ตั้งใจศึกษาสิ่งใด

รองประมุขพรรคเฉินอิงก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้กำลังรักษาตัว ระดับสูงในพรคมีแต่ผู้จัดการภารกิจภายนอกและผู้จัดการภารกิจภายในที่เพิ่งเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาส่วนหนึ่ง

‘ดูเหมือนจะใช้จิตใจคนได้…’ ปัจจุบันหยินโชติช่วงและหยางโชติช่วงสมดุลกัน ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสภาพจิตใจของตัวเองเรียบเฉย ให้ความรู้สึกควบคุมสถานการณ์ใหญ่ได้

ข่ายกระเรียนหยินของสภาพหยินโชติช่วงยังคงมีความสามารถถ่ายปราณ ความสามารถประหลาดที่เหมือนจิตเต๋าเมล็ดมารนี้ยังมองประสิทธิผลไม่ออก เขากะไว้ว่าถ้าเจอข้อดีจากตัวซ่งเจิ้นกั๋ว ก็จะเลือกนักรบเดนตายจากในพรรคหลายๆ คนมาบ่มเพาะ

“ตอนนี้อวี้เหลียนจื่ออยู่ไหน” ลู่เซิ่งถาม “เรียกมังกรเขียวทะยานมาพร้อมกันด้วย”

“ข้าน้อยจะไปแจ้ง” พลพรรคคนหนึ่งโค้งตัวถอยไป แล้วหมุนตัวพุ่งไปด้วยความเร็วสูง

ลู่เซิ่งเดินออกจากตัวลาน ไปยังสวนหย่อมที่ชั้นบนของกราบเรือ

รอจนตอนมาถึงประตูสวนหย่อม อวี้เหลียนจื่อก็รีบรุดมา พอเห็นลู่เซิ่ง เขาก็งงงันอยู่บ้าง

ทุกคนไม่รู้จักลู่เซิ่งดีพอ ดังนั้นมองการเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ออก แต่เขาไม่เหมือนกัน เพราะรับผิดชอบเรื่องหยุมหยิมน้อยใหญ่ของลู่เซิ่งมาตลอด บวกกับตัวเองความจำดีมาก ไม่มีทางลืมรายละเอียดลักษณะพิเศษของประมุขพรรคเด็ดขาด

ดังนั้นแวบแรกที่เห็นลู่เซิ่ง เขาก็ลังเลเล็กน้อย

“ประมุขพรรค…นี่ท่าน…?”

ลู่เซิ่งยิ้มๆ “มรรคายุทธ์ของข้ามีผลสำเร็จ ไม่ต้องสนใจ แล้วก็นี่ไม่ใช่เส้นผมปลอม” เขายื่นมือไปดึงเส้นผมบนศีรษะ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

อวี้เหลียนจื่อพยักหน้าอย่างระมัดระวัง มองผมยาวของลู่เซิ่งอย่างสงสัย ในเมื่อประมุขพรรคบอกว่าของจริง ก็ถือว่ามันเป็นของจริงก็แล้วกัน

“ไม่ทราบประมุขพรรคเรียกข้าน้อยมาเพราะเรื่องอะไร”

“มีสองเรื่อง ที่อยู่ของยาล้ำค่าซึ่งให้ท่านไปหาก่อนหน้า ให้เอาแผนที่ที่ยืนยันแล้วมาให้ข้า” เขายกนิ้วข้างหนึ่งขึ้น

“นี่ไม่มีปัญหา” อวี้เหลียนจื่อพยักหน้า

“เรื่องที่สอง เด็กกำพร้าที่ก่อนหน้านี้ข้าให้ท่านรวบรวม ได้กี่คนแล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“อา…หนึ่งร้อยกว่าคนแล้ว การใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก มีเด็กกำพร้าเยอะ ขอแค่ให้ข้าวรับกิน ก็รวบรวมได้อย่างง่ายดายยิ่ง พวกเราคัดเลือกอย่างละเอียด ค่อยยืนยันได้หนึ่งร้อยกว่าคน อย่างไรธัญญาหารก็ไม่ค่อยพอ เลี้ยงมากไปจะเป็นภาระต่อพรรคเปล่าๆ” อวี้เหลียนจื่อเอ่ยเบาๆ

“ภัยแล้งเริ่มแล้วหรือ” ลู่เซิ่งจิตใจตึงเครียด

“อือ…เมืองเลียบคีรียังดี เมืองอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ มีไม่น้อยที่ราคาธัญญาหารพุ่งสูง เป็นเพราะว่านาข้าวก่อนหน้านี้ไม่มีคนกล้าเพาะปลูก ทำให้ตอนนี้คนจำนวนมากขายบุตรขายธิดาเพื่อหาข้าวกิน…” อวี้เหลียนจื่อจนใจ “ผู้อาวุโสไม่น้อยในพรรคเราจัดโรงเลี้ยงโจ๊กมาก่อน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ รังแต่จะดึงดูดคนอดอยากมามากกว่าเดิม ถ้าหากประมุขพรรคตั้งใจจะบ่มเพาะนักรบเดนตาย เกรงว่าต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อน การบ่มเพาะนักรบเดนตายในสถานการณ์ของพรรคแบบนี้ น้ำมัน ธัญญาหาร ข้าว เนื้อสัตว์ ผักที่ต้องใช้ไม่มีทางน้อย”

“ข้ารู้แล้ว…” ลู่เซิ่งปวดศีรษะเช่นกัน ปัญหาภัยแล้งนี้ สำหรับเขาในฐานะหัวหน้าพรรคอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ ก็เป็นปัญหาที่ต้องพิจารณาเช่นกัน ถึงอย่างไรทั่วทั้งพรรควาฬแดงก็มีคนมากมายต้องกินข้าว

“กิจการประมงที่พัฒนาเป็นหลักเล่า” ลู่เซิ่งนึกขึ้นได้ ถามอีกครั้ง

“ตอนนี้ใกล้ถึงช่วงห้ามจับปลาแล้ว อากาศหนาวเย็น เรือหาปลาในหลายๆ ที่ก็ออกไปไม่ได้” อวี้เหลียนจื่อตอบ “ช่วงนี้ชาวประมงบ้าคลั่งกันหมด งมจนหาอะไรในน้ำไม่ค่อยเจอแล้ว”

ลู่เซิ่งไตร่ตรองเล็กน้อย ถามอีกว่า “ทางห้องยา จัดระเบียบวัตถุดิบยาที่โตเร็วส่วนหนึ่ง เลือกยาที่หัวใหญ่ๆ อย่างหัวมัน พอจะใช้ต้านภัยแล้งได้อยู่”

“ประมุขพรรคท่านไม่ทราบ ของแบบนี้ถูกคนอดอยากกินไปหมดทั้งรากแล้ว ตอนนี้มีแต่ดินกับหินที่คนไม่กินกัน” อวี้เหลียนจื่อตอบเบาๆ

“ช่างเถอะ ท่านนำของที่ข้าต้องการมา นอกจากนี้ไปจัดการเรื่องหนึ่งให้ข้า ข้าจะออกเดินทาง” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วอย่างจนปัญญา

แดนจงหยวน ด่านศรัทธารุ่งโรจน์

ในฐานะด่านที่ต้องผ่านสู่แดนเหนือ ด่านศรัทธารุ่งโรจน์มีกำแพงเมืองสูงใหญ่ ในเมืองมีผู้คนมากมาย ทหารมากกว่าหมื่นคนอยู่ที่นี่

หอยาม ป้อมปราการหลายแห่งล้อมรอบสี่ด้าน กลายป็นเครือข่ายที่ใหญ่กว่าเดิม กั้นเส้นทางที่เชื่อมสู่แดนเหนือ

เย่หลิงม่อนั่งบนรถขบวนพ่อค้าเหมือนกับเศรษฐีทั่วไป เงยหน้ามองกำแพงเมืองสีเทาอมเขียวสูงใหญ่ท่ามกลางฝูงชน

“นายท่าน จะผ่านที่นี่ ต้องผ่านประตูเมืองอีกแห่งที่อยู่ฟากตรงข้ามไป จึงจะเข้าสู่ถนนมัจฉาอุดรได้” เฒ่าซุนโถวผู้มีประสบการณ์ไปแดนเหนือหลายครั้งกระซิบด้านข้างเย่หลิงม่อ

“เจ้าเห็นว่ายังเหลือระยะทางอีกเท่าใด” เย่หลิงม่อถามเบาๆ อาศัยจังหวะที่เข้าแถวเข้าเมือง สำราวจสภาพรอบๆ อย่างละเอียด

“เรียนนายท่าน ราวห้าวันจะถึงเมืองเลียบคีรี ถึงอย่างไรเมืองเลียบคีรีก็เป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้จงหยวนของเรา แต่ช่วงนี้ได้ยินว่าทางนั้นเกิดภัยแล้ง การเฝ้าด่านเกรงว่าจะเคร่งครัดกว่าเดิม ขบวนพ่อค้าอย่างพวกเราไม่แน่ว่าจะผ่านได้ง่ายๆ” เฒ่าซุนโถวไม่ทราบสถานะของนายตนเอง เพียงแค่วิตกไปเองเท่านั้น

“ไม่เป็นไร…ข้ามีหนังสือที่เบื้องบนส่งมาให้ พวกเราไม่กี่คน ผ่านด่านได้ไม่มีปัญหาใหญ่” ขณะมองด่านศรัทธารุ่งโรจน์ เย่หลิงม่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาหนีอย่างทุลักทุเลออกมาจากแดนเหนือในตอนนั้น

เขาในตอนนั้นเป็นประมุขจวนม้วนมนุษย์ บริวารพากันสู้ตาย ตกต่ำถึงขั้นโดนรุมซ้ำเติม

พอนึกถึงเรื่องราวในอดีต ดวงตาเขาล้ำลึกขึ้น ในใจมีเพลิงโทสะคุกรุ่น

“อีกห้าวันค่อยไปถึง… ไม่รู้ว่ากลับไปเที่ยวนี้ ทางนั้นกลายเป็นแบบไหนไปแล้ว…”

เฒ่าซุนโถวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายท่านแต่งชุดแพรกลับบ้าน[1] กลับไปคราวนี้มีเงินมีตำแหน่ง ให้เจ้าคนที่ใช้ตาสุนัขเหยียดหยามผู้อื่นเหล่านั้นได้เห็นว่า ตอนนี้ท่านมีชีวิตดียิ่ง ดีมากๆ ! ชีวิตคนไม่ใช่แบบนี้ถึงจะมีความหมายหรอกหรือ” เขากลับมองได้ทะลุปรุโปร่ง

เย่หลิงม่อยิ้มจนตาหยีเป็นเส้นเดียว

“กล่าวถูกต้อง ให้คนที่เคยหาเรื่องข้า รู้ว่าข้าเย่หลิงม่อกลับมาแล้ว”

“นายท่านมีคู่แค้นอยู่ที่แดนเหนือหรือ” เฒ่าซุนโถวเอ่ยอย่างระมัดระวัง

“พอมีบ้าง เป็นคนรู้จักเก่าที่ไร้ดวงตา” เย่หลิงม่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาพอยิ้มขึ้นมากลับเหมือนเซียวหงเย่มาก ให้ความรู้สึกเป็นมิตร แต่ในรอยยิ้มซ่อนใบมีด

“เช่นนั้นก็ดีๆ …” เฒ่าซุนโถวรู้สึกว่านายท่านผู้นี้คล้ายประหลาดอยู่บ้าง แต่บอกไม่ถูกว่าประหลาดตรงไหน

ตามเหตุผล ใส่ชุดแพรกลับบ้าน ร่ำรวยและมีสถานะ ยามกลับไปไม่สมควรกระตือรือร้นยินดีหรอกหรือ

ทำไมนายท่านเย่ของตนจึงมีสีหน้าแปลกพิกลนัก

เย่หลิงม่อย่อมไม่พูดกับคนธรรมดามากเกินไป อยู่บนรถขบวนพ่อค้าสักพัก ก็กลับเข้าไปพักผ่อนในรถม้าของตนเอง

ชายฉกรรจ์เคราแดงมัดผมจุกเล็กๆ หลายจุกนั่งอยู่ในรถ ชายฉกรรจ์ผู้นี้ใบหน้าหยาบกระด้าง ถือขาหมูข้างหนึ่งกัดกินอย่างมูมมาม

“พี่ใหญ่ เป็นอย่างไร ตาเฒ่าผู้นั้นส่งท่านมาที่นี่มีเจตนาอื่นหรือไม่!?”

ตาเฒ่าที่เขาว่าก็คืออู๋โยวอ๋อง ตอนนั้นจวนม้วนมนุษย์พินาศลง มีแค่พวกเขาสองคนหนีออกมาได้ ครั้นหลบเข้าจงหยวนจึงค่อยพักหายใจได้ ถึงจวนอู๋โยวจะรับไว้ แต่ไม่ได้ปฏิบัติกับคนทั้งสองดีนัก ทำความดีมากมาย กลับยัง…

คนผู้นี้เป็นบ่าซ้ายไหล่ขวาของเย่หลิงม่อ เรียกว่าผีเกศาแดงโจวเหอ พลังฝึกปรืออย่างน้อยก็เป็นระดับสัตตะลักษณ์ที่เป็นขอบเขตสูงสุด เคยรับตำแหน่งรองประมุขจวนในจวนม้วนมนุษย์ เป็นคนในจวนม้วนมนุษย์เพียงคนเดียวที่ยังติดตามเย่หลิงม่อ

“ไม่มีเจตนาใด ตอนนี้จวนอู๋โยวศีรษะเกรียมหน้าผากไหม้ สบสนอลหม่าน อู๋โยวอ๋องใกล้สิ้นอายุขัย รีบร้อนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจว่าพวกเราจะตั้งใจทำงานให้เขาจริงๆ หรือไม่อีกแล้ว” เย่หลิงม่อกล่าวอย่างราบเรียบ

“อย่างนั้นพวกเราต้องตรวจสอบคดีผู้ประกอบพิธีสูญหายให้เขาอย่างเชื่อฟังหรือ” ผีเกศาแดงโจวเหอกล่าวอย่างไม่พอใจ “พี่ใหญ่ท่านอยู่ในระดับเดียวกับเขา อาศัยอะไรให้เขาชี้นิ้วสั่งท่านได้ตามใจ ยังยืดถือท่านเป็นลูกน้อง สั่งท่านโดยไม่ต้องให้อะไรจริงๆ หรือ”

“ระวังคำพูด” เย่หลิงม่อหยีตา “อู๋โยวอ๋องไม่ใช่ระดับทั่วไป”

“หรือเขาทำลายขีดจำกัด เข้าสู่ระดับใหม่ได้สำเร็จ นี่คือจุดสูงสุดแล้ว” ผีเกศาแดงกล่าวอย่างไม่สนใจ

“ไหนเลยทำลายง่ายดายแบบนั้น… แต่ว่าต่อให้เป็นสภาพของเขาในตอนนี้ ข้าก็ไม่มีความมั่นใจ” เย่หลิงม่อมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “เจ้าจำเป็นต้องรู้ไว้ว่า คำพูดบางคำไม่ควรพูดมาก เขาในตอนนี้ถูกบีบคั้นจนคลั่งแล้ว”

ชายฉกรรจ์แค่นเสียง

“รอข้าเลื่อนเป็นอสรพิษดำ ถึงตอนนั้นพวกเราสองพี่น้องร่วมมือกัน จะต้องทำให้เขาเห็นดีได้แน่!”

เย่หลิงม่อยิ้ม “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องพวกนี้ ครั้งนี้พวกเรามุ่งหน้าไปแดนเหนือ ติดต่อกับจัตุรัสแดงทำความเข้าใจสถานการณ์เสียก่อน ค่อยตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไร ผลกระทบจากภัยพิบัติมังกรสีชาดในตอนนั้นหลงเหลืออยู่หรือไม่ พวกเราไม่รู้ ถ้ารูปการณ์เป็นใจ เจ้าค่อยรวบรวมบริวารในตอนนั้นของพวกเรากลับมาใหม่ ตอนนี้สถานะของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว ตระกูลขุนนางเหล่านั้นไม่อาจลงมือกับข้าได้ง่ายๆ อีก ขอแค่จัดการเรื่องผู้ประกอบพิธีได้ ก็อาศัยโอกาสนี้หาทรัพยากร เป็นโอกาสที่พวกเราจะใช้ตั้งตัวใหม่”

“ร่วมมือกับจัตุรัสแดงหรือ รับทราบพี่ใหญ่!” ผีเกศาแดงโจวเหอฉีกขาหมูออกมาชิ้นใหญ่

“ตระกูลซั่งหยาง ตระกูลเจิน…จุ๊ๆ…นังเด็กน้อยซั่งหยางจิ่วหลี่ก็อยู่ที่เมืองเลียบคีรีเช่นกัน อยากกินนางจริงๆ ดูว่าตระกูลซั่งหยางจะมีปฏิกิริยาอย่างไร” เย่หลิงม่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ด้วยพลังของเขา เมื่อเข้าสู่แดนเหนือในตอนนี้ ตระกูลขุนนางล่าถอย อาณาเขตว่างเปล่า โดยพื้นฐานแล้วไม่มีใครต้านได้

ตอนนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุดในการสร้างจวนม้วนมนุษย์ขึ้นใหม่หรือ

ขอแค่จัดการภารกิจในครั้งนี้ให้เรียบร้อยจนอู๋โยวอ๋องไม่มีวาจาจะพูด ถึงตอนนั้นร้องขอสะกดแดนเหนือ ปกครองเขตแดน หาทรัพยากร ก็ถือว่าสมเหตุสมผล

……………………………………….

[1] แต่งชุดแพรกลับบ้าน หมายถึง กลับบ้านพร้อมตำแหน่งขุนนาง