ตอนที่ 92-1 กระบี่ชี้ฟ้า ได้พบหน้า

ชายาเคียงหทัย

หลายวันก่อนหน้านี้ที่ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป มาวันนี้กองทัพกบฏดูจะเร่งร้อนขึ้นมาก ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็เริ่มโจมตีกันเข้ามาอีกครั้ง ทั้งยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามความสว่างของท้องฟ้า เชื่อว่าหากไม่เพราะพื้นที่เมืองหย่งหลินไม่เพียงพอต่อกองทัพขนาดใหญ่ ม่อจิ่งหลีจะต้องยกพลทั้งแสนกว่าคนนั้นเข้าโอบล้อมโจมตีเมืองเล็กๆ แห่งนี้เป็นแน่ 

 

 

           หากเป็นเรื่องรักษาเมืองแล้ว ทหารหน่วยเฮยอวิ๋นฉีจำนวนสองพันคนไม่มีทางแข็งแกร่งกว่าทหารรักษาเมืองสองพันคนไปได้สักเท่าไร พอถึงช่วงเที่ยง ทหารรักษาการที่เหลืออยู่ในเมืองหย่งหลินต่างก็อ่อนล้าไปจนสิ้น กำแพงเมืองที่ถูกกองทัพกบฏโจมตีมิได้หยุดก็เริ่มสั่นคลอน 

 

 

           “พระ…คุณชายสวี ต้านไว้ไม่ไหวแล้วขอรับ พวกท่านไปกันก่อนเถิด!” ซย่าซูพาร่างกายที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและความอ่อนล้ามายืนตรงหน้าเยี่ยหลี “พี่น้องหน่วยเฮยอวิ๋นฉีด้วยขอรับ เดิมทีการรักษาเมืองเป็นหน้าที่ของพวกเรา ครานี้ที่สามารถรักษาเมืองไว้ได้นานถึงเพียงนี้ต้องขอบคุณพวกท่านทุกคน” 

 

 

           “ไปหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ตอนนี้จะไปที่ใดได้กัน นอกเมืองนั้นเป็นทหารนับแสนคนเชียวนะ” 

 

 

           “ม้าเหล็กสองพันนายของหน่วยเฮยอวิ๋นฉียังมิได้รับความเสียหาย หากติดอยู่ในเมืองนี้อย่างไรก็เป็นเพียงมังกรที่ถูกขัง หากออกจากเมืองไปได้จะต้องหลบหนีออกไปได้อย่างแน่นอนขอรับ” ซย่าซูกล่าว  

 

 

เยี่ยหลีชี้นิ้วไปทางด้านหลัง “เจ้าลองไปถามพวกเขาดูว่าพวกเขาจะไปหรือไม่ไป” ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยหลีคือฉินเฟิง หัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีกับองครักษ์ลับสองและสามที่ยืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม  

 

 

ฉินเฟิงเอ่ยเสียงเข้มขึ้นว่า “หน่วยเฮยอวิ๋นฉีมีไว้เพื่อปกป้องแผ่นดินต้าฉู่ หากละทิ้งเมืองและการรักษาเมืองหนีไป กลับไปพวกเราคงทำได้เพียงขอรับโทษต่อหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีทุกคนเท่านั้น”  

 

 

องครักษ์ลับสามยิ้มตาหยีให้ซย่าซู “พวกเราเป็นองครักษ์ลับ นายอยู่ที่ใดพวกเราก็อยู่ที่นั่น”  

 

 

ซย่าซูมองจ้องคนตรงหน้า รับรู้เพียงความเจ็บปวดภายในดวงตา กัดฟันเอ่ยว่า “ไม่คุ้มกัน!” จะให้เมืองหย่งหลินเป็นที่กลบฝังชายาติ้งอ๋องกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอีกสองพันนาย สิ่งที่ต้องนำมาแลกนี้… 

 

 

           องครักษ์ลับสามตบบ่าซย่าซูพร้อมยิ้มให้เขา “หากเมืองหย่งหลินแตกจริง พวกเราจะทุ่มเทชีวิตคุ้มครองพระชายาให้ออกไปให้ได้ ถึงตอนนั้นหากฝ่าวงล้อมออกไปได้ก็จะฝ่าออกไป จะเป็นหรือตายปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา ตอนนี้ยังดีๆ อยู่ จะทิ้งเมืองแล้วหลบหนีไปได้อย่างไร เช่นนั้นสู้ทิ้งเมืองไปเสียตั้งแต่หลายวันก่อนไม่ดีหรือ ไม่จำเป็นต้องเสียกำลังพลมากมายเช่นนั้น” 

 

 

           ซย่าซูอึ้งไป ผลักมือของอังครักษ์ลับสามออกแล้วหมุนตัวเดินไปทันที “แล้วแต่พวกเจ้า!” 

 

 

           องครักษ์ลับสามยักไหล่ ได้แต่หันไปพูดกับคนที่อยู่ด้านหลังว่า “ดูเหมือนเขาจะอายหรือ” องครักษ์ลับสองได้แต่ตบบ่าเขา นี่น้องสามของเขาบ้าไปแล้วหรือไร นี่พวกเรากำลังอยู่ระหว่างสงครามนะ 

 

 

           เยี่ยหลีเห็นประตูเมืองที่ถูกกระหน่ำโจมตีอย่างหนักหน่วงจนเริ่มแตกร้าวแล้วได้แต่ทอดถอนใจ อย่างไรก็ต้านไว้รอกองหนุนมาไม่ไหว “เฮยอวิ๋นฉี เตรียมพร้อม!” 

 

 

“ขอรับ!” บนกำแพงเมืองเหลือทหารไว้อยู่ไม่มาก ด้านในเมืองหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสองพันนายเตรียมตัวพร้อมอยู่แล้ว ประหนึ่งคันธนูที่ง้างออกเตรียมยิงออกไปอย่างแม่นยำ เยี่ยหลีหันไปพยักหน้าให้ซย่าซูและอวิ๋นถิงที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง เพียงโบกมือประตูเมืองก็พังทะลายลงกับพื้น กองทัพกบฏด้านนอกเมืองยังไม่ทันพุ่งตัวเข้ามา หน่วยม้าเหล็กเฮยอวิ๋นฉีก็พุ่งออกไปประหนึ่งลมพายุ ทุกที่ที่พวกเขาพุ่งตัวไปเต็มไปด้วยเลือดที่สาดกระเซ็นขึ้นฟ้า 

 

 

“ท่านอ๋อง มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ เฮยอวิ๋นฉี!” เบื้องหลังกองทัพใหญ่ ม่อจิ่งหลีนั่งสง่าอยู่บนหลังม้า มองจ้องสถานการณ์การรบเขม็ง ไม่ต้องให้คนข้างกายเขาเอ่ยทัก เขาเองย่อมมองเห็นกลุ่มคนบึกบึนในชุดดำเหล่านั้น 

 

 

“ไม่เสียแรงที่เป็นหน่วยเฮยอวิ๋นฉี…” ผู้บัญชาการทหารอุทานขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว หากมีกองทัพเช่นนี้ จะเป็นกังวลว่าบ้านเมืองจะไม่สงบได้อย่างไร ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาถือว่าเป็นศัตรู แต่เมื่อได้เห็นความเก่งกาจเช่นนี้ก็มิอาจปกปิดความชื่นชมไว้ได้ 

 

 

ม่อจิ่งหลีหัวเราะเสียงเย็น “ในที่สุดก็ออกมาเสียที” เขาโบกมือ ทหารที่ยังมีพละกำลังเต็มเปี่ยมด้วยเพราะยังมิได้ออกไปร่วมรบด้วยก็พุ่งตัวเข้าไปยังสนามรบทันที “ว่ากันว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเชี่ยวชาญด้านการวิ่งโจมตี กำลังพลจำนวนมากเช่นนี้ ดูสิว่าพวกเจ้าจะจัดการอย่างไร!”  

 

 

พื้นที่หน้าเมืองหย่งหลินที่เดิมก็ไม่ใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งมีกำลังพลจากสองฝั่งผสมเข้าไป จะว่าเต็มพื้นที่เลยก็ว่าได้ ม้าศึกไม่มีทางกระจายตัวออกไปได้ หน่วยเฮยอวิ๋นฉีทุกคนต่างก็รู้ถึงข้อนี้เป็นอย่างดี จึงทิ้งม้าศึกอย่างรวดเร็วแล้วลงไปสู้รบในสนามรบที่วุ่นวายทันที การจะให้คนจำนวนสองพันคนต้านคนจำนวนนับหมื่นคนนั้น ก็เปรียบประหนึ่งการนำตั๊กแตกไปขวางรถม้า แต่ประตูเมืองก็มีพื้นที่อยู่เพียงเท่านั้น การจะให้คนจำนวนหลายหมื่นคนพุ่งเข้าไปพร้อมๆ กันก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นกองทัพทั้งสองฝ่ายจึงสู้รบกันอยู่ที่หน้าประตู ถึงแม้จะมีทหารกบฏเล็ดลอดเข้าไปได้บ้าง แต่ก็ถูกทหารที่อยู่ภายในเมืองสังหารอย่างรวดเร็ว 

 

 

“คนนั้นคือผู้ใด” ม่อจิ่งหลีที่สังเกตสถานการณ์รบอยู่ชี้นิ้วไปยังร่างในชุดดำที่ดูเล็กและบอบบางกว่าทุกคนที่อยู่ท่ามกลางกองทัพที่วุ่นวาย ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีดำลายเมฆเช่นเดียวกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉี แต่การออกอาวุธและท่าทางนั้นไม่เหมือนกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเอาเสียเลย หากการออกอาวุธของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเรียกว่าแพรวพราวและแม่ยำแล้ว การออกอาวุธของเขาแลดูธรรมดาแต่ดุดันอย่างมาก ดูไม่ออกเลยว่าใช้กระบวนท่าใด แต่ในเกือบทุกการออกอาวุธของเขาจะมีนายทหารคนหนึ่งล้มลงไปต่อหน้า ไม่ว่าจะเป็นพลทหารธรรมดาหรือเป็นผู้บัญชาการหน่วยทหาร เมื่อได้ปะทะกับนางแล้วต่างมีผลไม่ต่างกัน 

 

 

“นั่นคือ…” ทุกคนต่างนิ่งเงียบไม่มีคำตอบ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ด้วยเพราะนอกจากร่างกายที่ดูเล็กกว่า รวดเร็วและดุดันกว่าผู้อื่นเล็กน้อยแล้ว เขากับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีคนอื่นๆ ต่างไม่มีจุดที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด  

 

 

ม่อจิ่งหลีจ้องร่างที่ดุดันท่ามกลางกองทัพนั้น ดวงตาดำขลับของเขาค่อยๆ หรี่ลง ร่างนั้นทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็กัดฟันพ่นชื่อหนึ่งออกมา “เยี่ยหลี!”  

 

 

เสนาธิการทหารที่อยู่ด้านข้างชะงักไป รีบหันมองไปยังคนที่อยู่ท่ามกลางกองทัพอันวุ่นวายทันที แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจว่า “ท่านอ๋องบอกว่านั่นคือชายาติ้งอ๋องหรือพ่ะย่ะค่ะ!”  

 

 

ม่อจิ่งหลีมิได้สนใจคำถามของเขา สะบัดแซ่ในมือออกไปข้างหน้า “หากจับเป็นคนผู้นั้นได้ ข้าจะให้หนึ่งพันตำลึงทองเป็นรางวัล!” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

ถึงแม้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีจะขวางกองทัพกบฏที่หน้าประตูไว้ได้ แต่บนกำแพงเมืองกลับดูจะมิอาจต้านไว้ได้แล้ว มีทหารกบฏจำนวนไม่น้อยที่ปีนข้ามกำแพงเมืองไป และเริ่มเข้าปะทะกับทหารที่รักษาการอยู่บนกำแพงเมือง  

 

 

เยี่ยหลีที่อยู่ด้านล่างรับรู้ได้ถึงแรงกดดัน นางจัดการทหารกบฏคนหนึ่งไปได้อีกคนหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ทันที หมุนตัวกลับไปคมกระบี่ก็ฟันเข้าที่คอของทหารกบฏที่พุ่งเข้ามาทางด้านหลังพอดี  

 

 

องครักษ์ลับสองและสามขยับใกล้เข้ามา องครักษ์ลับสองเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “คุณชาย ควรถอยแล้วขอรับ” องครักษ์ลับสามฟันกระบี่ในมือพร้อมกับคราบเลือดที่กระเด็นออกมา พลางพูดว่า “ม่อจิ่งหลีรู้ว่าเป็นพระชายาแล้วหรือ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าพวกที่เข้ามานี้ไม่เหมือนกับพลทหารธรรมดา” คนที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่นี้ก็ดูเป็นคนที่มีวิทยายุทธพอใช้ ทำให้รับมือยากกว่าทหารธรรมดาทั่วไป 

 

 

เยี่ยหลีเองก็มิรู้จะทำเช่นไรดี แต่อย่างไรเมืองหย่งหลินคงแตกแน่แล้ว จะสละชีพหน่วยเฮยอวิ๋นฉีในตอนนี้ก็คงไม่มีความหมาย พวกเขายื้อเวลาอยู่ที่หน้าประตูเมืองได้กว่าหนึ่งชั่วยาม เชื่อว่าทางด่านซุ่ยเสวี่ยคงได้รับข่าวนี้แล้ว “เฮยอวิ๋นฉีถอยทัพ!” 

 

 

“ขอรับ หน่วยหนึ่งหน่วยสองหน่วยสามคุ้มกัน ที่เหลือทั้งหมด ถอย!” ฉินเฟิงตะโกนสั่งการเสียดัง 

 

 

“คิดหนีหรือ!” ม่อจิ่งหลีสังเกตกาณ์อยู่ไกลๆ ย่อมเห็นสถานการณ์ในสนามรบอย่างชัดเจนหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเชี่ยวชาญการใช้ความเร็วและลักลอบโจมตี และเชี่ยวชาญด้านการหลบหนีเช่นเดียวกัน ลักษณะภูมิศาสตร์โดยรอบเมืองหย่งหลินค่อนข้างซับซ้อน หากปล่อยให้พวกเขาหลบหนีไปได้คงจับพวกเขาไม่ได้อีก  

 

 

ทว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็มิได้บุกโจมตีเข้าไปกลางกองทัพตั้งแต่แรก เพียงขวางประตูเมืองไม่ให้พวกเขาเข้าไปเท่านั้น ตอนนี้เมื่อได้รับคำสั่งจึงกระจายตัวกันไปทางซ้ายขวาและถอยกลับเข้าเมืองไปทันที เหลือเพียงพลแม่นธนูฝีมือดีขวางไว้ ถึงแม้กองทัพกบฏจะไม่ยินดีเพียงใดแต่ก็ทำได้เพียงมองพวกเขาหายไปจากสนามรบอย่างรวดเร็ว  

 

 

ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะ หมุนตัวกลับไปหยิบคันธนูบนหลังม้า ง้างคันธนูออก พร้อมกับเล็งไปยังร่างเล็กในชุดดำที่อยู่ท่ามกลางกองทัพที่วุ่นวาย 

 

 

ระหว่างที่ต่อสู้อยู่นั้น เยี่ยหลีรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายอย่างชัดเจน จึงหันมองไปยังที่ไกลๆ เห็นเพียงสายตามาดร้ายและลูกธนูแหลมคมที่พุ่งแหวกอากาศตรงมาหา หากเป็นเวลาปกติ เยี่ยหลีย่อมหลบธนูดอกนั้นได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้นางต่อสู้ติดพันอยู่กับทหารกบฏทำไมมิอาจหลบหลีกธนูดอกนั้นได้  

 

 

องครักษ์ลับสามพ่นลมหายใจออกมาด้วยความตกใจ รีบพุ่งตัวไปทางนางทันที เยี่ยหลีนึกสบถในใจ มือหนึ่งคว้ามือที่ถือดาบของทหารกบฏที่หมายจะพุ่งเข้าใส่องครักษ์ลับสามก่อนผลักให้ล้มลง ระหว่างที่นางหมุนตัวผลักอีกฝ่ายลงไปนั้น นางรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นที่ไหล่ซ้าย ด้านหลังปลายธนูคมกำลังพุ่งใกล้เข้ามาทุกที 

 

 

“คุณชาย!” 

 

 

           “สวบ…!” ลูกธนูดอกสีขาวประกายทองพุ่งแหวกอากาศเข้ามา ลูกธนูของม่อจิ่งหลีตกลงห่างจากตัวเยี่ยหลีไปสามฉื่อ ด้วยเพราะถูกลูกธนูที่พุ่งตรงมาด้วยความรุนแรงจนตกลงกับพื้น แต่ธนูดอกนั้นกลับไม่สะทกสะท้าน พุ่งทะลุทหารกบฏผู้หนึ่งไปปักเข้าที่หน้าอกของทหารกบฏอีกผู้หนึ่ง ทหารผู้นั้นก้มมองลูกธนูที่ปักลงไปในหน้าอกตนเองกว่าครึ่งดอกด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ และไม่เข้าใจว่าเหตุใด จึงมีลูกธนูยิงออกมาจากหลังเพื่อนทหารของตนได้จนพุ่งทะลุตัวเขาเช่นนี้  

 

 

ลูกธนูดอกนั้นทำให้เยี่ยหลีสติหลุดไปเช่นกัน แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง นางหมุนตัวกลับไปเตะทหารกบฏที่หมายจะเข้ามาลอบโจมตี 

 

 

           “พระเจ้าช่วย…” องครักษ์ลับสองและสามต่างถอนหายใจกันเฮือกใหญ่ เมื่อครู่ที่องครักษ์ลับสามพุ่งตัวเข้าไป กลับถูกคนที่เยี่ยหลีผลักล้มขวางไว้ เขาคิดว่าอีกนิดเดียวธนูดอกนั้นจะพุ่งเข้าใส่ร่างพระชายาเสียแล้ว ในตอนนั้นเลือดในกายเขาเย็นเฉียบ รีบเคลื่อนตัวเข้าใกล้เยี่ยหลีทันที 

 

 

           “ธนูสีทองหรือ! ท่านอ๋อง!” หน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่ถูกวางให้รั้งท้ายไว้ เมื่อเห็นปลายธนูสีทองที่ปักอยู่บนร่างทหารบนพื้น ก็อุทานขึ้นมาด้วยความดีใจ 

 

 

           ม่อจิ่งหลีที่อยู่ไกลออกไป เมื่อเห็นธนูของตนพลาดเป้า ในใจนึกโกรธจัด หยิบธนูขึ้นมาหมายจะยิงออกไปอีกครั้ง แต่จู่ๆ พื้นดินก็เกิดสั่นไหว เสียบควบม้าดังขึ้นประดุจฟ้าผ่า ม่อจิ่งหลีหัวเราะเยาะหยัน “ละครที่เล่นไปแล้ว ยังคิดจะเล่นอีกครั้งหนึ่งหรือ” 

 

 

           “ไม่…ไม่ใช่ ท่านอ๋อง!” เสนาธิการทหารที่อยู่ด้านข้างใบหน้าซีดขาวเป็นกระดาษ ชี้ไกลๆ ไปยังจุดที่มีฝุ่นตลบขึ้นมาหนาทึบ “ครั้งนี้เป็นของจริงพ่ะย่ะค่ะ!”  

 

 

หน่วยทหารเหล็กในชุดสีดำวิ่งเข้ามาประหนึ่งเมฆดำปกคลุมผืนดิน เสียงเป่าปากแหลมดังขึ้นพร้อมกับประกายลูกไฟสีทองที่ยิงขึ้นบนฟ้า หน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่ล่าถอยออกจากสนามรบไปแล้ว เมื่อเห็นลูกไฟประกายทองบนฟ้าจึงหมุนตัวกลับเข้าสู่สมรภูมิรบทันที  

 

 

ไม่รู้บนเนินเขาลูกเล็กมีเงาคนทะมึนปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อใด คนที่อยู่ด้านหน้าสุดขี่ม้าขาวถือหอกสีเงิน ลายเมฆไหลบนชุดสีขาวปลิวไสว หน้ากากสีเงินปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้ แต่ใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งดูดุดัน องอาจและหล่อเหลายิ่งนัก แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น มาตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้าจนทำให้ไม่กล้าสบตาตรงๆ สายตาคู่นั้นค่อยๆ มองสำรวจเยี่ยหลี เยี่ยหลีรู้สึกเพียงว่าใจตนเองกระตุก และรู้สึกโล่งใจขึ้นพร้อมๆ กัน 

 

 

           ชายในชุดขาวกระตุกเชือกขึ้น แล้วม้าสีขาวที่งามสง่ามก็ถีบขาขึ้นฟ้าก่อนวิ่งห้อลงจากเนินเขาเข้าสู่สมรภูมิรบทันที ทุกที่ที่พุ่งไปไม่มีใครกล้าขวาง “เฮยอวิ๋นฉีฟังคำสั่ง! คนกบฏคิดทรยศต่อแคว้น ฆ่าไม่ให้เหลือ!” เสียงต่ำที่ใช้กำลังภายในเปล่งออกมาดังไปทั่วสนามรบ 

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง!” เสียงขานรับจากรอบทิศดังสนั่นขึ้น 

 

 

           พริบตานั้น ดูเหมือนทั่วสมรภูมิรบจะหยุดนิ่ง ทุกคนต่างลืมไปแล้วว่าพวกเขากำลังอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยเลือดที่กระสานซ่านเซ็น ได้แต่นิ่งมองไปยังชายหนุ่มในชุดขาว พร้อมกับตะโกนร้องชื่อๆ หนึ่งขึ้นในใจ…