ตอนที่ 92-2 กระบี่ชี้ฟ้า ได้พบหน้า

ชายาเคียงหทัย

“ม่อซิวเหยา…เป็นไปได้อย่างไร!” ม่อจิ่งหลีจ้องเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความโกรธแค้น แววตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ “ลั่นกลองศึก ลุย!”

 

 

           ตึงตึงตึง!

 

 

           เสียงหนักๆ ของกลางศึกดังขึ้น ประหนึ่งสะท้อนก้องขึ้นในใจของทุกคน ทหารฝ่ายกบฏพุ่งเข้าใส่ชายชุดขาวด้วยใจหวาดหวั่น คนที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าด้วย…คือเทพสงครามไร้พ่ายแห่งต้าฉู่!

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นประหนึ่งดูแคลน หอกสีเงินในมือของขาววาดเป็นประกายโค้งงอสีเงินอย่างน่าตกใจ ทุกที่ที่ปลายหอกจ้วงแทงไปเต็มไปด้วยเลือดที่สาดกระเซ็น

 

 

ลูกธนูที่พุ่งออกจากเนินเขา หนาแน่นประหนึ่งตาข่ายลูกธนู หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเชี่ยวชาญด้านการยิงธนูนั้นต่างเป็นที่รู้กันดี เมื่อต้องเผชิญหน้ากับห่าฝนของลูกธนูเช่นนี้ อย่าว่าแต่โจมตีกลับเลย ความกล้าในการยกธนูขึ้นยิงตอบโต้ของกองทัพกบฏก็มลายหายไปจนไม่มีเหลือ ยังมีทหารกองใหญ่ที่อยู่ด้านหลังอีก ดูเหมือนในช่วงเวลานั้นเอง กองทัพใหญ่ที่มีกำลังพลกว่าหนึ่งแสนนายก็ดูมีทีท่าที่จะพ่ายแพ้ขึ้นมาทันที

 

 

           เมื่อม่อซิวเหยาปรากฏตัวขึ้น เยี่ยหลีจึงถอยกลับเข้าเมืองหย่งหลิน ช่วยหน่วยเฮยอวิ๋นฉีจัดการทหารกบฏที่โจมตีเข้ามาในเมือง จากนั้นจึงขึ้นไปยืนสังเกตการณ์อยู่บนกำแพงเมือง สายตาของนางจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่อยู่ในชุดขาวประหนึ่งหิมะโดยไม่รู้ตัว ชุดขาวหอกเงิน แข็งแรงและดุดันประหนึ่งมังกรโบยบิน ทุกที่ที่เขาไป ทหารกบฏต่างหลบหนีด้วยไม่กล้าที่จะประมือด้วย

 

 

เยี่ยหลีเคยได้ยินสวีชิงเฉินวิจารณ์เขาไว้ว่า ม่อซิวเหยาในวันเด็กโดดเด่นสะดุดตาประหนึ่งเพลิงไฟ หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ม่อซิวเหยาในวัยหนุ่มเบื้องหลังความสงบนิ่งดั่งสายน้ำ มีหลุมดำที่น่าตกใจซ่อนอยู่ แต่ม่อซิวเหยาในยามนี้…ประหนึ่งยอดกระบี่ชั้นดีที่ผ่านการฝึกซ้อมมาเป็นร้อยเป็นพันปี และใช้กรำศึกอยู่ในสนามรบมาเป็นพันปีเลยทีเดียว ถึงแม้รอยสังหารจากปลายกระบี่จะลดหายลงไปบ้าง แต่ความสง่างามที่ซ่อนอยู่ซึ่งเกิดจากการชำระล้างและการฝึกฝนอย่างทรหดมานับครั้งไม่ถ้วนนั้น ยังคงดึงดูดสายตาผู้คนให้ต้องหันมอง

 

 

           “ติ้ง…ติ้งอ๋อง” อวิ๋นถิงทิ้งตัวลงพิงกำแพงอย่างหมดแรง ไม่สนใจคราบเลือดบนใบหน้าที่ยังเช็ดออกไม่หมด เขาหันมองเงาเบื้องล่างที่วิ่งห้อไปมา

 

 

           ซย่าซูยืนอยู่ข้างเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความโล่งใจ “เห็นได้ชัดว่าใช่จริงๆ”

 

 

           “ถ้าเช่นนั้น…ถ้าเช่นนั้นหมายความว่า พวกเรารอจนทหารกองหนุนมาแล้วอย่างนั้นหรือ พวกเรารักษาเมืองหย่งหลินไว้ได้สำเร็จหรือ” น้ำเสียงของอวิ๋นถิงมีแววความเพ้อฝัน เสมือนแยกไม่ออกว่านี่คือความฝันหรือว่าความจริง

 

 

           องครักษ์ลับสามหัวเราะหึหึ ตบบ่าเขาพร้อมเอ่ยปลอบว่า “ยินดีด้วย นายทหารอวิ๋น กลับไปท่านจะได้เลื่อนขั้นแล้ว” อวิ๋นถิงไม่สนใจเขา กะพริบตาปริบๆ หันมองเยี่ยหลี น่าเสียดายที่เยี่ยหลีมัวแต่มองสถานการณ์ทางเบื้องล่างอยู่จึงไม่มีเวลาไปสนใจเขา

 

 

           ศึกครานี้มิได้ดำเนินไปนานเท่าไรนัก ยังไม่ทันครึ่งชั่วยามดีกองทัพกบฏก็เริ่มถอยทัพไปทางตะวันออก อวิ๋นถิงมองกองทัพกบฏที่ล่าถอยไปประหนึ่งสายน้ำแล้วได้แต่พูดไม่ออก “นี่…นี่หมายความว่าอย่างไรกัน”

 

 

กองทัพกบฏพวกนี้เลือกรังแกแต่คนที่อ่อนแอกว่าหรืออย่างไร คิดว่าเขาไม่เห็นหรือว่า คนส่วนใหญ่เมื่อเผชิญหน้ากับหน่วยเฮยอวิ๋นฉี ยังไม่ทันได้สู้ก็หนีไปเสียแล้ว แล้วที่สู้รบอย่างเอาเป็นเอาตายกับพวกเขาก่อนหน้านี้หมายความว่าอย่างไร

 

 

องครักษ์ลับสามเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “นายทหารอวิ๋น อย่าเสียใจไปเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่กองหนุนมาถึงหรอก เพียงแต่ท่านอ๋องของพวกเรายืนอยู่ที่นั่น เจ้าพวกนั้นก็คงไม่กล้าล้ำเส้นแล้ว ของเช่นนี้…เขาเรียกว่าบารมี สอนกันไม่ได้” เพียงแค่ติ้งอ๋องยืนอยู่หน้าประตูเมืองหย่งหลิน ก็เพียงพอที่จะทำให้คนพวกนั้นเกรงกลัวจนปอดแหกกันไปได้แล้ว ยังจะต้องสู้อันใดกันอีก

 

 

           “เมื่อไรข้าจะมีบารมีเช่นนั้นบ้าง” อวิ๋นถิงเอ่ยงึมงำขึ้น

 

 

           “ค่อยเป็นค่อยไปเถิด หากเจ้าสามารถสังหารแม่ทัพยี่สิบนาย ทำลายศัตรูสามแสนนายได้ตั้งแค่อายุสิบห้า ตอนนี้เจ้าก็น่าจะมีบารมีเช่นนี้แล้วล่ะ” องครักษ์ลับสามเอ่ยปลอบอย่างไม่จริงใจนัก

 

 

           เยี่ยหลีคร้านที่จะฟังพวกเขาพูดจาไร้สาระกัน จึงหมุนตัวเตรียมเดินลงจากกำแพงเมือง แต่กลับถูกมู่หรงถิงที่หนีกลับมาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ขวางไว้ เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “มู่หรง เหตุใดเจ้าจึงกลับมาอีก”

 

 

มู่หรงถิงส่งเสียงเหอะๆ เหลือบมองด้านล่างแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ติ้งอ๋องนำกองหนุนมาถึงแล้ว ข้าไม่กลับมาก็คงโง่เต็มที ไม่สิ…เจ้าให้คนจับตัวข้าไปต่างหาก ข้าไม่ได้อยากไปเองเสียหน่อย!”

 

 

เยี่ยหลีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันเถิด ข้าลงไปก่อนล่ะ”

 

 

           “เดี๋ยวสิ…” มู่หรงถิงรีบจับตัวนางไว้ วิ่งไปพลางพูดไปพลางว่า “เจ้าเป็นหญิงจริงหรือเปล่านี่ ด้านล่างนั่นคือติ้งอ๋องนะ…ติ้งอ๋อง! แล้วยังเป็นสวามีเจ้าด้วย เจ้าจะไม่เปลี่ยนชุดก่อนลงไปรับเขาหน่อยหรือ เจ้าดูสิว่าตอนนี้เจ้าแต่งตัวเช่นไร หากเทียนเซียงกับเจิงเอ๋อร์อยู่ที่นี่คงได้บ่นเจ้าจนหูชาแน่”

 

 

เยี่ยหลีอดหน้าบึ้งไม่ได้ ต่อให้มู่หรงมีนิสัยตรงไปตรงมาเช่นไร อย่างไรก็ยังเป็นหญิงสาว ช่วงเวลาเช่นนี้ยังมีเวลามาคิดเรื่องเหล่านี้อีก “มู่หรง ที่นี่คือสนามรบนะ”

 

 

           “สนามรบแล้วอย่างไร รบกันเสร็จแล้วมิใช่หรือ ตอนนี้ติ้งอ๋องมาถึงแล้ว ต่อให้กองทัพบกฏกลับมาอีก ขาดเจ้าไปคนหนึ่งก็ไม่ตายหรอก ไปกับข้านี่!” พูดจบนางก็ไม่สนใจท่าทีแข็งขืนและสีหน้าเบื่อหน่ายของเยี่ยหลี รีบลากนางลงจากกำแพงเมืองแล้ววิ่งออกไปทันที

 

 

           มู่หรงถิงมือไม้รวดเร็วเหมาะสมที่จะเป็นฝ่ายพยาบาลในสนามรบจริงๆ เยี่ยหลีมองเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่วางอย่างเป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะแล้ว อดไม่ได้ที่จะนึกชื่นชมนางในใจ ชั่วเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นางต้องเร่งเดินทางกลับมาจากระหว่างทางไปด่านซุ่ยเสวี่ย แล้วยังต้องไปหาเสื้อผ้าและเครื่องประดับพวกนี้ที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในเมืองหย่งหลินมาอีก จากนั้นยังต้องรีบเดินขึ้นกำแพงเมืองไปขวางนางไว้ก่อนที่การสู้รบจะจบลง ช่างฝึกฝนมาได้ดีจริงๆ

 

 

           “เร็วเข้า เร็วเข้า แต่งตัวเสร็จแล้วพวกเราจะได้ออกไปรับท่านอ๋องกัน” มู่หรงถิงหยิบชุดบนโต๊ะขึ้นมายัดใส่มือเยี่ยหลี ก่อนผลักนางเข้าห้องด้านในไปเปลี่ยนชุด ส่วนตนกลับมาจัดเรียงเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะ

 

 

เดิมทีเมืองหย่งหลินเป็นเมืองเล็กอยู่แล้ว ของดีๆ นั้นหาไม่ง่ายนัก อีกทั้งวันนี้จะมีการสู้รบเพื่อรักษาเมืองกัน จึงยิ่งไม่มีใครเปิดร้านมาทำการค้ากันอีกด้วย นางไปตั้งหลายแห่งกว่าจะหาของพวกนี้มาได้ เยี่ยหลีได้แต่กอดเสื้อผ้าเดินเข้าห้องไป หากยังไม่ไปเกรงว่ามู่หรงถิงคงได้บุกเข้ามาดึงทึ้งเสื้อผ้านางแล้วจัดการเปลี่ยนด้วยตนเองไปแล้ว

 

 

           สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่เก็บกวาดสนามรบ ม่อซิวเหยาสั่งให้เฟิ่งจือเหยานำทหารตระกูลม่อเคลื่อนพลเข้าเมืองไปรับช่วงการป้องกันเมืองต่อ แล้วม่อซิวเหยาจึงได้บังคับม้าให้วิ่งเข้าเมืองไป นายทหารที่เหลืออยู่ที่ปากประตูเมืองหย่งหลินตั้งแถวรอต้อนรับ

 

 

ม่อซิวเหยากวาดตามองไปกลับไม่ให้ร่างของคนที่ตนต้องการพบหน้า เฟิ่งจือเหยาขี่ม้าตามเข้ามาประกบคู่ม่อซิวเหยา เอ่ยถามเสียงต่ำด้วยความสงสัยว่า “พระชายาไปที่ใดเสียแล้ว” เมื่อครู่ตอนที่อยู่ข้างนอกเขายังเห็นอยู่ว่าชายาติ้งอ๋องสู้รบปรบมืออยู่ท่ามกลางสนามรบที่วุ่นวาย ฝีมือการสังหารเอาชีวิตของนางนั้นช่างเหมาะสมกับม่อซิวเหยาเหลือเกิน…เหมาะสมกันเกินไป ขณะเดียวกันเฟิ่งจือเหยาก็นึกเตือนตนเองในใจว่า ต่อไปจะหาเรื่องผู้ใดก็ได้แต่อย่าได้ไปหาเรื่องพระชายาเชียว หญิงสาวที่เป็นเช่นนี้…ช่างน่ากลัวเหลือเกิน

 

 

           “อ้อ…ข้ารู้แล้วว่าพระชายาไปที่ใดมา” เฟิ่งจือเหยาชี้มือไปยังทางเดินด้านหน้า

 

 

           ม่อซิวเหยาหันมองไปตามมือของเขา ร่างสองร่างคนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ยปรากฏขึ้นริมทางเดิน หญิงสาวร่างสูงในชุดสีแดงจับจูงหญิงสาวในชุดสีฟ้าเดินมาทางเขาด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี สายตาม่อซิวเหยาจับจ้องไปยังหญิงร่างเล็กที่งามสง่า หญิงสาวในชุดทะมัดแทมงสีดำที่ฆ่าฟันด้วยความห้าวหาญอยู่ในสนามรบเมื่อครู่ มีเพียงรอยยิ้มบางๆ อย่างไม่รู้จะทำเช่นไรอยู่บนใบหน้า ชายเสื้อปลิวไสว แขนเสื้อกว้างโบกสะบัดตามแรงลม ผมนุ่มดำขลับจับมัดไว้หลวมๆ บนศีรษะมีปิ่นไข่มุกระย้าเสียบแซมอยู่ ท่าทางการเคลื่อนไหวเรียบร้อยงามสง่าอย่างหญิงสาวชนชั้นสูง

 

 

           เยี่ยหลีเองก็มองเห็นม่อซิวเหยา นางชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหยุดฝีเท้าลง ม่อซิวเหยาบังคับม้าให้เดินไปข้างหน้า ม้าขาวดุจหิมะที่แสนงามสง่า วิ่งไปหาเยี่ยหลีด้วยความดีใจ ทั้งยังใช้หัวของมันสะกิดเยี่ยหลีอย่างอบอุ่น

 

 

           “อาหลี…” ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ โน้มตัวลงไปยื่นมือให้เยี่ยหลี เยี่ยหลียกมือขึ้นจับมือเขาที่ยื่นมาหา เขาออกแรงเพียงเล็กน้อยก็พาให้เยี่ยหลีขึ้นนั่งบนหลังม้าด้านหน้าม่อซิวเหยา จากนั้นม้าขาวงามดุจหิมะก็ตะกุยดินออกวิ่งไปต่อหน้าต่อตามู่หรงถิงที่ได้แต่ยืนตาโตอ้าปากอยู่

 

 

หญิงสาวในชุดแดงที่ถูกทอดทิ้งยืนนิ่งอึ้ง พักใหญ่ถึงได้เอ่ยบ่นเสียงเบาว่า “พอข้ามแม่น้ำได้ก็ทำลายสะพานทิ้งเลยนะ…แม้แต่ม้าศึกข้าก็ยังไม่ทันได้จับเลย ขี้งกนัก…”

 

 

           เฟิ่งจือเหยาที่อยู่บนหลังม้าไกลออกไปมองสีหน้านิ่งอึ้งของนายทหารและสีหน้าใคร่รู้ของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีแล้วได้แต่ยักไหล่ก่อนลงจากหลังม้า เอาเถิด คนเป็นลูกน้องมิใช่มีไว้เพื่อคอยจัดการเรื่องที่เจ้านายไม่มีเวลาจัดการหรอกหรือ

 

 

           สองคนบนหลังม้าเดินทางออกจากเมืองหย่งหลิน วิ่งต่อไปมิได้หยุด ม้างามไม่เสียแรงที่เป็นม้าศึก เพียงชั่วเวลาไม่นานด่านซุ่ยเสวี่ยก็ปรากฏขึ้นให้เห็นไกลๆ

 

 

เยี่ยหลีก้มหน้ามองแขนข้างที่อยู่ตรงเอวซึ่งยังรู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียต่ำว่า “ม่อ…ซิวเหยา พวกเราจะไปที่ใดหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาเหลือบมองนาง แล้วในที่สุดจึงได้ดึงเชือกให้ม้าหยุดวิ่งก่อนจะหมุนตัวลงจากหลังม้า

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเตรียมที่จะลงจากหลังม้าตาม แต่เมื่อก้มหน้าลงไปกลับเห็นม่อซิวเหยาอ้าแขนรอรับอยู่

 

 

“ลงมาสิ” เมื่อเห็นเขายืนยันเช่นนั้น เยี่ยหลีจึงได้แต่ยอมให้เขาอุ้มตนลงจากหลังม้า เมื่อได้อิงแอบอยู่กับอกที่เย็นเล็กน้อย ไม่รู้เพราะเหตุใดเยี่ยหลีถึงรู้สึกวางใจและโล่งใจอย่างประหลาด ความร้อนที่ค่อยๆ แผ่มาบนใบหน้าทำให้นางไม่รู้จะทำตัวเช่นไร

 

 

           เมื่อเงยหน้าขึ้นไป ใบหน้าที่หล่อเหลาและสง่างามก็พุ่งเข้าต้อนรับทันที เยี่ยหลีเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ จูบของชายหนุ่มเร่าร้อนและรุนแรงประหนึ่งลมพายุ พุ่งตรงเข้าใส่เยี่ยหลีในขณะที่นางกำลังตกใจ ร่างเล็กถูกรัดแน่นอยู่กับอก นิ้วเย็นค่อยๆ ยกใบหน้างามที่ทำอันใดไม่ถูกขึ้น ริมฝีปากอุ่นบดเบียดอยู่กับริมฝีปากได้รูปสีแดงระเรื่อของนาง จูบของม่อซิวเหยามิได้อ่อนโยน ซ้ำยังมีความดุดันแฝงอยู่ เขาค่อยๆ ใช้ลิ้นเปิดริมฝีปากเยี่ยหลีออกด้วยความโกรธ บังคับให้นางคลายฟันที่สบกันอยู่ออก ก่อนแทรกลิ้นเข้าไปกระหวัดรัดรึงกับลิ้นที่ทำอันใดไม่ถูกของนาง

 

 

           “อื้อ…” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดอยากต่อต้าน แขนที่อยู่ที่เอวของนางออกแรงกระชับแน่นขึ้นกักขังนางให้อยู่ในอ้อมแขน มือข้างหนึ่งลูบไล้เส้นผมทางด้านหลัง บังคับให้นางเปิดรับการรุกล้ำที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พร้อมแลกเปลี่ยนลมหายใจซึ่งกันและกัน เยี่ยหลีอิงแอบอยู่กับอกของเขาอย่างหมดแรง “ซิวเหยา…”

 

 

           เมื่อตอนแยกจากกัน ทั้งสองต่างหอบหายใจเล็กน้อย ม่อซิวเหยาก้มหน้าลง วางหน้าผากของตนลงบนหน้าผากที่เป็นประกายใสของเยี่ยหลี ก่อนเอ่ยเสียงต่ำว่า “อาหลี เจ้าทำให้ข้าตกใจ” เมื่อตอนที่เขามาถึงเมืองหย่งหลินแล้วได้เห็นเหตุการณ์นั้น ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าในใจเขาสั่นไหวและหวาดกลัวเพียงใด แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้ว่า ณ ตอนนั้นตนเองควรทำเช่นไร มีเพียงจิตใต้สำนึกที่สั่งให้ยิงธนูดอกนั้นออกไป

 

 

เมื่อได้เห็นว่าธนูดอกนั้นพุ่งทะลุผ่านร่างของคนสองคนไป จนมีเลือดกระเซ็นออกมา ความสั่นไหวในใจกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย หากเขามิได้มีความสามารถในการบังคับตนเองอย่างน่าตกใจแล้ว ในตอนนั้นธนูดอกที่สองคงได้ยิงเข้าใส่ม่อจิ่งหลี หากเขาสกัดธนูดอกนั้นไว้ไม่ได้…หากเขาสกัดธนูดอกนั้นไว้ไม่ได้ ทหารกบฏในสนามรบวันนี้อย่าคิดจะรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!

 

 

           “อาหลี…”

 

 

           ใบหน้าเยี่ยหลียังคงแดงระเรื่อ เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกเขินอายจนไม่รู้จะเอามือเท้าไปไว้ที่ใด นาง…นางถึงขั้นกอดจูบกับชายหนุ่มริมทางที่อาจมีผู้คนผ่านไปผ่านมา…

 

 

           แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียกอาหลีประหนึ่งทอดถอนใจของม่อซิวเหยา ความคิดที่อยากจะต่อต้านและผลักไสก็มลายหายไปทันที

 

 

           “ม่อซิวเหยา ได้พบท่านอีกช่างดีเหลือเกิน” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบา ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงมอง ในดวงตาล้ำลึกเต็มไปด้วยความรักใคร่และอบอุ่น ริบฝีปากอุ่นบางของเขาจูบลงบนปากรูปกระจับที่แดงระเรื่อของนางอีกครั้ง ครั้งนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน

 

 

“อาหลี…ข้าคิดถึงเจ้ามาก ไม่น่าให้เจ้าเดินทางมาหนานเจียงคนเดียวเลย”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยไ ม่ได้พูดอันใด โดยไม่คิดจะบอกเขาว่า ที่พวกเขาต้องอยู่ห่างกันนานเช่นนี้ นางเองก็คิดถึงเขานิด…เอาเถิด คิดถึงเขาอยู่ไม่น้อยเลย

 

 

           เจ้าม้าสีขาวแสนรู้ไม่รู้ออกวิ่งไปที่ใดตั้งแต่เมื่อใด จุดที่ทั้งสองอยู่ อยู่ห่างจากด่านซุ่ยเสวี่ยไปเพียงไม่กี่ลี้ มองเห็นประตูหน้าด่านอันโออ่าอยู่ไกลๆ ทว่าม่อซิวเหยากลับไม่คิดที่จะกลับเมืองหย่งหลินหรือไปพบมู่หรงเซิ่นโดยทันที แต่กลับดึงให้เยี่ยหลีไปนั่งลงพักบนเนินเขาที่อยู่ห่างไปไม่ไกล

 

 

           เยี่ยหลีนั่งพิงม่อซิวเหยา ผ่อนคลายร่างกายที่เคร่งเครียดมาหลายวัน สบายจนถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปกลับเป็นว่าม่อซิวเหยากำลังขมวดคิ้วอยู่น้อยๆ “ทำไมหรือ ไม่สบายหรือบาดเจ็บที่ตรงใดหรือไม่”

 

 

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “เร่งเดินทางติดต่อกันมาหลายวัน เหนื่อยเล็กน้อย พูดเรื่องบาดเจ็บ…” ม่อซิวเหยาดึงแขนซ้ายของเยี่ยหลีขึ้น ม้วนแขนเสื้อกว้างนั้นขึ้นเผยให้เห็นรอยแผลบนแขนที่เป็นทางยาว เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหตุใดจึงไม่พันแผลไว้เสียหน่อย”

 

 

           เยี่ยหลีไม่คิดว่าม่อซิวเหยาจะเห็นว่านางบาดเจ็บ นางส่ายหน้ายิ้มๆ “เพียงแค่แผลถลอกเท่านั้น เลือดไม่ไหลแล้ว แผลเช่นนี้หายเร็ว”

 

 

           “เหลวไหล” ม่อซิวเหยาเอ่ยต่อว่าเสียงต่ำ เขาหยิบขวดยาที่พกติดตัวไว้ออกมา ก่อนหยิบขวดหนึ่งในนั้นที่เป็นน้ำใสๆ ออกมาเททำความสะอาดบาดแผลให้นาง แล้วจึงได้โรงผงยาลงบนแผลอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงได้หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกจากช่องที่อกเสื้อมาพันแผลให้นาง

 

 

เยี่ยหลีชื่นชมฝีมือการพันแผลของม่อซิวเหยาที่พันได้อย่างสวยงาม นางยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไรจริงๆ สองวันก็หายแล้ว”

 

 

           ม่อซิวเหยายกมือขึ้นโอบนางให้เข้ามาซบอยู่กับอก มือลูบเส้นผมนุ่มสลวยพร้อมเอ่ยเสียงต่ำว่า “ต่อไปห้ามบาดเจ็บอีก มิเช่นนั้นเจ้าจะมิได้ออกไปที่ใดอีกเลย!”

 

 

เยี่ยหลีไม่ตอบ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ เรื่องนี้นางมิอาจรับประกันได้ “ข้าจะพยายาม ตัวท่านออกไปทำศึกก็ได้รับบาดเจ็บมามากมิใช่หรือ” สมญานามเทพแห่งสงครามตั้งแต่ยังเด็กนั้นมิได้ได้มาเฉยๆ ม่อซิวเหยาเองมิใช่เทพที่ลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ ที่มีเทวดาคอยคุ้มครองจนฟันแทงไม่เข้า

 

 

           “ข้ากับเจ้าเหมือนกันหรือ”

 

 

           เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น หรี่ตามองเขาด้วยความไม่พอใจ “ท่านกำลังดูถูกสตรีหรือ”

 

 

           ม่อซิวเหยาทำอันใดไม่ถูก “ข้ามิได้ดูถูกสตรี อีกอย่างต่อให้ข้าดูถูกสตรีอย่างไร ก็จะไม่มีทางดูถูกเจ้า” อาหลีของเขามาเก่งกาจเช่นนี้ หากนางโดนดูถูก บุรุษทั้งใต้หล้าก็ควรไปฆ่าตัวตายแล้ว

 

 

           “เช่นนั้นท่านจะบอกว่าข้าไม่เหมือนสตรีหรือ”

 

 

           “อาหลี” ม่อซิวเหยามองนางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “เจ้ากำลังโกรธหรือว่ากำลังอ้อนข้ากันแน่”

 

 

เยี่ยหลีอึ้งไป นิ่งมองสีหน้ายิ้มละมุนของม่อซิวเหยา นึกโกรธจนอยากจะพุ่งเข้าไปกัดหรือตีเขาให้สักที นี่นางกำลังทำตัวงี่เงากับม่อซิวเหยาอย่างนั้นหรือ นางปัญญาอ่อนกว่ามู่หรงเสียอีก มู่หรงไม่มีทางถามคำถามปัญญาอ่อนเช่นนี้เป็นแน่!

 

 

           ม่อซิวเหยาเพียงยิ้มน้อยๆ เขากอดกระชับนางแน่นขึ้นก่อนที่นางจะเปลี่ยนจากเขินอายเป็นโกรธเคือง “นั่งเป็นเพื่อนข้าสักพักเถิด ข้าเหนื่อยนิดหน่อย”

 

 

           เยี่ยหลีขยับตัวเล็กน้อย แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว สุขภาพของม่อซิวเหยาไม่ค่อยดีนัก ไม่มีทางที่จะหายได้ภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะพยายามปกปิดอย่างเต็มที่ แต่นางก็ยังสังเกตเห็นแววเหนื่อยล้าและความซีดเซียวบนใบหน้าของเขา นางอิงแอบแนบชิดอยู่ในอ้อมกอดของเขา คิดอันใดไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะค่อยๆ เข้าสู่นิทรารมณ์…