ตอนที่ 143 อย่าคิดสั้น

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ดังนั้นอู้หมิงจึงตรงเข้าไป “หลวงจีนไป๋อวิ๋นครับ ตามที่อาตมารู้มาฟางเจิ้งเป็นคนหยิ่งยโส ตอนแรกพวกนักเขียนพู่กันจีนขึ้นเขา เขาดันปิดประตูไม่ต้อนรับ ไม่ให้เกียรติใครแถมยังปล่อยหมามากัดคน เมื่อไม่นานมานี้อาตมาได้ยินว่าเขาไม่คิดจะเข้าร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อสิริมงคลต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ คิดว่าพวกเราเป็นนักบวชลวงโลก”

“ท่านนี้คือ?” หลวงจีนไป๋อวิ๋นไม่มีท่าทีโกรธ แต่มองอู้หมิงอย่างอ่อนโยน

อู้หมิงแสดงความเคารพทันที “อาตมาศิษย์ของหลวงจีนหงเหยียนจากวัดผาแดง อู้หมิง สวัสดีครับหลวงจีนไป๋อวิ๋น”

“ที่แท้ก็ศิษย์คนเก่งของเจ้าอาวาสหงเหยียน ขอโทษที่เสียมารยาทนะ” หลวงจีนไป๋อวิ๋นตอบ

อู้หมิงจะพูดบางอย่าง แต่มีหลายคนเดินเข้ามา คนนำหน้าคือหลวงจีนหงเหยียน หลวงจีนไป๋อวิ๋นเป็นหัวใจหลักของวัดเมฆาขาว เดินไปที่ไหนจะมีคนสนใจตลอด อู้หมิงพลันเข้าไปใกล้ ไม่มีทางที่หลวงจีนหงเหยียนจะไม่เห็นเขา? กลัวว่าอู้หมิงจะก่อเรื่องเลยจงใจเดินมา ได้ยินสิ่งที่ไม่ดีเข้าพอดี

หลวงจีนหงเหยียนขมวดคิ้ว ถามอย่างเคร่งขรึม “อู้หมิง นักบวชไม่พูดโกหก ท่านพูดจริงๆ รึ?”

อู้หมิงเห็นหลวงจีนหงเหยียนมาแล้วถามตนด้วยสีหน้าไม่เชื่อจึงเกิดความคับอกคับใจภายใน พูดในใจว่า ‘ผมติดตามท่านมาหลายปี ทำไมไม่เชื่อใจผมบ้าง? ผมเป็นตัวอะไรในใจท่านกันแน่? เสียแรงที่ผมคิดแทนวัดผาแดงทุกอย่าง คิดหาวิธีพัฒนาเชื่อเสียงวัดผาแดงสุดชีวิต ท่านแก่แล้ว สติเลอะเลือนจริงๆ…’

อู้หมิงโกรธ ตอบไปว่า “เป็นจริงแน่นอน อาตมาบวชมาสิบกว่าปี หรือคิดว่าอาตมาพูดโกหก?”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ไม่ควรจะรออีก เพียงแต่ว่าจะต้องให้มั่นใจก่อน ทุกท่าน มีใครมีวิธีติดต่อกับเจ้าอาวาสฟางเจิ้งไหม?” หลวงจีนไป๋อวิ๋นถามเสียงกังวาน

ทว่าฟางเจิ้งเป็นใคร? คำถามนี้แขวนอยู่ตรงหน้าผากทุกคน ส่วนวัดเอกดรรชนียิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน

เห็นทุกคนส่ายหน้า หลวงจีนไป๋อวิ๋นก็ลำบากใจเล็กน้อย จะรอหรือไม่รอดี?

ตอนนี้เองหลวงจีนหน้าดำรูปหนึ่งข้างหลวงจีนไป๋อวิ๋นกล่าวเสียงเบา “ศิษย์พี่เจ้าอาวาส พวกเราประกาศไปแล้ว กำหนดเวลาไปแล้ว ถ้าถึงเวลาเขายังไม่มาก็จะโทษพวกเราไม่ได้ เพียงแต่ทุกอย่างมีเหตุมีผล เขาไม่มาอาจจะล่าช้า นั่นก็เป็นเหตุผลของเขา พวกเราให้ทุกคอรอเขาที่นี่ไม่ได้?”

หลวงจีนไป๋อวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย ตรึกตรองอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ย “ถ้าอย่างนั้น…”

“พระเจ้า! มีคนกำลังเดินข้ามแม่น้ำ!” พลันมีคนร้องด้วยความตกใจข้างผามองภูมิลำเนา

ต่อมาก็ได้ยินเสียงคนต่อ “เหลียวคง! จะตะโกนทำไม? เป็นนักบวชต่อให้ภูเขาไท่ถล่มตรงหน้าก็ต้องสงบนิ่ง…เดี๋ยวอาจารย์ดูเอง จริงๆ เลย คนข้ามแม่น้ำมันน่าตกใจตรงไหน? พระพุทธองค์ของอาตมา! มีคนข้ามแม่น้ำจริงๆ!”

ทุกคนมองหน้ากัน นี่มันเรื่องอะไร?

มีคนเข้าไปใกล้ผามองภูมิลำเนาแล้วมองลงไปข้างล่างมากกว่าเดิม จากนั้นตามมาด้วยเสียงร้องต่อกัน! โดยเฉพาะฆราวาสที่มาช่วยก่อนหน้านี้ และยังมีสามเณรที่เพิ่งออกบวช จิตใจยังไม่นิ่ง นิสัยทางสังคมยังไม่เปลี่ยน ผลคือ…

“อ้ายหม่า นี่มันเรื่องอะไร?”

“เวร…เจ้าอาวาสรีบมาดูพระพุทธองค์เร็ว!”

“นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ตีดูซิว่าเจ็บไหม ไม่เจ็บจริงๆ ด้วย”

“ตีฉันทำไมเนี่ย?”

“เอ่อ ที่แท้ก็ตีผิด มิน่าถึงไม่เจ็บ…”

…………..

หลวงจีนไป๋อวิ๋นกับหลวงจีนหงเหยียนมองตากัน ต่างเห็นความตกใจในแววตากัน คนข้ามแม่น้ำเท่านั้นทำไมต้องตกอกตกใจขนาดนั้น? สองคนนี้เลยเดินไปยังผามองภูมิลำเนา

ทว่ามีคนเร็วกว่านั่นคืออู้หมิง! อู้หมิงได้ยินว่ามีคนข้ามแม่น้ำก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี จึงพุ่งทะยานราวกับดาวตกไปยังผามองภูมิลำเนา มองไปข้างล่างดวงตาตั้งตรงโดยพลัน ลูกตาแทบจะถลน มีสีหน้าเหลือเชื่อ!

ใต้ภูเขา ตู้เหล่ากำลังสูบยาสูบ มองฟางเจิ้งอย่างเอ้อระเหยพลางสั่งสอนหงเสียงตลอดเวลาเพื่อเสริมบรรยากาศน่าเบื่อ หงเสียงก็ได้แต่รับฟัง พยักหน้าพลางอดกลั้นไว้

ตอนนี้เองตู้เหล่าพลันยืนขึ้น ถ้วยยาสูบยาวร่วงลงพื้น ร้องขึ้นด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “นี่เป็นไปได้ยังไง? นะ…นี่…”

หงเสียงมองตามตู้เหล่าก็ตะลึงค้างไปเหมือนกัน ร้องขึ้นตาม “นี่ยังใช่คนอยู่ไหมเนี่ย?”

ย้อนเวลาไปหลายนาทีก่อน…

บนเรือแต่ละลำบนแม่น้ำ พวกเถ้าแก่เรือกำลังยุ่ง พลันได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจของผู้โดยสารบนเรือ

“หลวงจีนนั่นจะทำอะไรน่ะ? คิดจะฆ่าตัวตายรึไง?”

“ใช่ จะคิดสั้นล่ะสิ”

“หรือเจอมรสุมชีวิตเลยจะฆ่าตัวตาย?”

พวกเถ้าแก่เรือได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้ามองก็อึ้งไป ชายชุดดำตอนแรกสุดด่าทอ “นั่นมันเณรฟางเจิ้งนี่? เจ้านี่เป็นปัญหาจริงๆ ไม่ให้ขึ้นเรือก็จะลงน้ำอย่างนั้นเหรอ?”

“ปล่อยไปเถอะ แม่น้ำขาวหน้าหนาวหนาวเข้ากระดูก ไม่มีใครอยากว่ายแม่น้ำขาวหรอก ฉันกล้าพนันเลยนะว่าถ้าเขากล้าลงน้ำจริงๆ ฉันจะเลี้ยงมื้อเย็นเอง” ลูกเรือคนหนึ่งหัวเราะ

เถ้าแก่เรือหัวเราะ “ก็ใช่ แต่ถ้าเขากล้าลงน้ำจริงๆ และว่ายไปด้วยนะ ฉันจะยอมเลย กลับไปรับเขาข้ามแม่น้ำ แต่ฉันว่านะอาจจะไปเป็นอาหารปลามากกว่า เตรียมเสื้อชูชีพไว้เลย ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องช่วยแหละ”

“ใช่ ถ้าหลวงจีนนี่เกิดอุบัติเหตุจริงๆ พวกเราก็มีส่วนด้วย ถือว่าทำบุญเถอะ…เฮ้อ หลวงจีนนี่สร้างปัญหาเหมือนที่ตู้เหล่าบอกไว้จริงๆ! คนแบบนี้เหรอจะไปวัดเมฆาขาว หึๆ…”

“เอาเถอะไม่ต้องบ่นแล้ว นายบ่นแบบนี้ ฉันคิดจริงๆ นะว่าเขาอาจจะคิดสั้น วัดเมฆาขาวเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเฮยซาน พิธีสวดมนต์ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิทุกปีเป็นงานครั้งใหญ่ของเมืองเฮยซาน ไม่ชาวพุทธที่ไหนไม่อยากเข้าร่วมบ้าง? ถ้ามีคนรับบัตรเชิญแล้วไม่มา ผลจะเป็นยังไงนายคิดเอาเอง เดาว่าทั้งเมืองเฮยซานคงจะปิดกั้นเขา จากนี้อย่าไปนึกถึงเลย เณรนั่นอาจจะคิดได้ดังนั้นเลยจะฆ่าตัวตาย ยังไงนี่ก็เกี่ยวกับพวกเราจริงๆ ต่อให้ไม่ผิดทางกฎหมาย แต่มันอยู่ในใจ” เถ้าแก่เรือกล่าวด้วยความกังวลยิ่ง

“เฮยเกอ แล้วจะทำยังไงดี? พวกเราไปส่งเขาข้ามแม่น้ำไหม?” ลูกเรือถาม

“แม่แกสิ! แกจะไม่เชื่อฟังตู้เหล่าเหรอ? ไม่มีตู้เหล่า ใครจะจ่ายเงินขึ้นเรือพวกเรา? เห็นแก่เขาหน่อย ถ้าไม่รักชีวิตจริงๆ ก็ช่วย แค่ไม่ตายก็ไม่เป็นไร…” เฮยเกอเถ้าแก่เรือตอบ

ลูกเรือต่างเชื่อฟัง พอได้ยินว่าเณรนั่นอาจจะไม่รักชีวิตแล้วลูกเรือจะช่วย พวกผู้โดยสารเลยไม่รีบร้อนออกเรือ แต่ละคนต่างให้ลูกเรือเน้นความปลอดภัยไว้ก่อน

ขณะเดียวกันก็มีคนตะโกนไปทางฟางเจิ้ง

“เณรอย่าคิดสั้นเลย! บนโลกไม่มีอะไรที่ผ่านไปไม่ได้หรอก อดทนเอาหน่อย!”

“เณร ชีวิตก็เหมือนกับการข่มขืนนั่นแหละ เอาชนะเขาไม่ได้ก็สมยอมเถอะ!”

…………………