บทที่ 166 ดาวศรพิฆาต ปู้จื้อโหยว

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าที่นี่ หรือว่าสวรรค์เห็นข้าถูกเจ้าทารุณ ดังนั้นจึงส่งเจ้ามาให้ข้าแก้แค้น?” จินเฟยหยางยินดีแทบคลุ้มคลั่ง นี่คือง่วงนอนก็เจอหมอน ต้องการสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น เขาไม่หลบหนี ยืนอยู่บนกองดิน จับจ้องจินเฟยเหยาด้วยสายตาดุร้าย

จินเฟยเหยาขบคิดไม่เข้าใจมาโดยตลอด เพราะเหตุใดน้องชายจึงแค้นตนเองขนาดนี้ มักจะคิดหานับร้อยนับพันวิธีมาทำร้ายนาง ตนเองดีต่อเขาตั้งแต่ยังเล็กชัดๆ จนกระทั่งเขาแนะนำเรื่องทำเตาหลอมมนุษย์ ตนเองจึงเริ่มทำตัวแย่ๆ กับเขา

“อาเป่า เพราะเหตุใดเจ้าจึงแค้นข้าขนาดนี้? ท่านพ่อพาเจ้ากลับมาก็สะบัดก้นจากไป ข้าเป็นคนเช็ดฉี่และอุจจาระของเจ้ามาจนโต เจ้าไม่ซาบซึ้งบุญคุณยังไม่พอ คิดไม่ถึงว่าจะปฏิบัติต่อข้าตรงกันข้ามมาโดยตลอด”

ตอนนี้จินเฟยหยางแข็งแกร่งแล้ว มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานช่วงปลายเหนือกว่าจินเฟยเหยาหนึ่งขั้น ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องกลัวนางอีก จึงพูดความไม่พอใจที่ซ่อนอยู่ในใจมานานปีออกมา “เจ้าเลี้ยงข้ามาจนโต? เจ้าโตกว่าข้าเพียงสองปี เจ้าจะทำอะไรได้ แปะทองบนหน้าตนเองให้น้อยๆ หน่อย”

“ต่อให้ข้าโตกว่าเจ้าเพียงสองปี ตอนเจ้ายังเล็กข้าดูแลเจ้าน้อยอยู่หรือ! บ้านท่านลุงใหญ่ทรมานพวกเรา เจ้าไม่มีอาหารกิน ข้าไปขโมยไก่ย่างมา ตัดใจแทะตูดไก่เพียงสองคำ ส่วนที่เหลือยกให้เจ้าหมด หรือว่าเจ้าลึมไปแล้ว!” จินเฟยเหยาไม่ยอมแพ้ ลำเลิกเรื่องเก่า ต้องทำให้ทุกคนเห็นว่าคนเช่นนี้ลืมบุญคุณอย่างไร

“ฮึ!” จินเฟยหยางส่งเสียงขึ้นจมูก “ไก่ย่างตัวนั้นใช้เซ่นไหว้บรรพชน วางอยู่บนโต๊ะห้าหกวันแล้ว ไม่ต้องบอกนะว่ารสชาติเป็นอย่างไร กัดไม่เข้าเลยสักนิด อีกทั้งเจ้ายังเจ้าเล่ห์กัดเพียงสองคำ ข้ายังเด็กไม่รู้ความ กินไปทั้งตัว ท้องเสียอยู่เจ็ดวัน ต่อมาเนื่องจากเป็นสิ่งของที่ใช้เซ่นไหว้ ข้ายังถูกตาเฒ่านั่นทุบตีอย่างหนักหนึ่งยกเพราะสาเหตุนี้!”

“แต่ข้ายอมรับแล้ว ตอนเจ้าถูกลงโทษ ข้าให้เจ้าบอกว่าข้าขโมย ไม่ได้มีเพียงเจ้าที่ถูกทุบตี ข้ายังถูกตีไปด้วย อีกทั้งข้าก็มิได้ไม่กินเพราะพบว่ารสชาติของไก่เปลี่ยนไป ข้าอยากให้เจ้ากินเยอะๆ อย่างบริสุทธิ์ใจ ความหวังดีถูกสุนัขคาบไปกินจริงๆ” จินเฟยเหยาขมวดคิ้วเอ่ยอย่างโกรธแค้น

เห็นนางไม่ยอมรับผิด จินเฟยหยางก็แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ท่าทางเช่นนี้ของนางทำให้เขารู้สึกรับไม่ได้ “ครั้งที่แล้วเจ้าวางยาปลุกกำหนัดในรังนกของหลี่อี๋เหนียง[1] หลังข้ายกมาให้นางฤทธิ์ยาก็กำเริบ ตอนนั้นข้าเพิ่งอายุสิบเอ็ดปี เกือบจะถูกหยามเกียรติ! สุดท้าย คิดไม่ถึงจะบอกว่าผู้น้อยอย่างข้าล่วงเกินผู้ใหญ่ มีความคิดชั่วร้ายกับอี๋เหนียง แทบจะขับไล่ข้าออกจากตระกูลจิน ที่แท้ข้าทำอะไร เจ้าจึงทำกับข้าแบบนี้!”

“เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ตอนนั้นใครใช้ให้เจ้าไปประจบนาง เดิมทีเจ้าไม่ใช่คนยกรังนก ถ้าเจ้าไม่ไปยุ่งไม่เข้าเรื่อง คิดทำตัวต่ำต้อยจะไปประจบหาผลประโยชน์ เหตุใดข้าต้องออกมายอมรับว่าตนเองทำด้วย ทำให้ข้าต้องคุกเข่าหน้าศาลบรรพชนอยู่หนึ่งเดือน เจ้ากลับคุกเข่าเพียงสิบวันก็กลับไปนอน! ข้ายังไม่โทษเจ้า เจ้ากลับมาโทษข้า” คิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ จินเฟยเหยาไม่ได้ยินยังพอว่า พอได้ยินยิ่งมีโทสะมากขึ้น

นางใช้เวลาอยู่นาน จึงหายาปลุกกำหนัดมาได้ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้จินเฟยหยางที่มาประจบประแจงติดกับ ทำให้นางต้องคุกเข่าอยู่หนึ่งเดือนจนขาแทบหัก

“หุบปาก!” จินเฟยหยางมีโทสะจนนิ้วสั่นระริก ชี้หน้านางแล้วด่าทอเสียงดัง “เจ้ารับโทษอะไรกัน ร่างกายเจ้าแข็งแรงยังกับวัว เจ้าก็คุกเข่าไปสิ เจ้ายังอยู่ว่างจนเบื่อหน่ายไปแหย่รังมด ทำให้มดใต้บันไดศาลบรรพชนออกมาไต่ไปทั่ว ทั้งยังไต่ขึ้นร่างข้า กัดร่างข้าจนปูดหลายแห่ง เนื่องจากคันร่างข้าจึงขยับไปมา ถูกคนตรวจสอบพบเห็นเข้า จึงโดนทุบตีอีกยก เจ้านี่ดีนะ ยังมีแก่ใจบี้มดเล่น ตัวเจ้าไม่เจ็บแต่ข้าเจ็บ!”

“หา?” จินเฟยเหยานึกเรื่องนี้ไม่ออก ถูกเขาด่าทอแบบนี้ หลังครุ่นคิดก็มีสีหน้าไม่พอใจ “ข้าแหย่รังมดเจ้าก็ไม่พอใจ เข้าใจผิดไปหรือไม่ ข้าไม่ได้โยนมดใส่ตัวเจ้าเสียหน่อย!”

จินเฟยหยางกำหมัดแน่น มีอารมณ์ตื่นเต้น “เรื่องอื่นๆ ข้าไม่อยากเอ่ยถึง ตั้งแต่ข้าจำความได้ เจ้าก็ทำให้ข้าเดือดร้อนมาตลอด ถ้าเจ้าไม่ตายหรือไม่จากไปเสีย ข้าอาจจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงตอนโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นข้าจึงแนะนำให้เอาเจ้าไปทำเป็นเตาหลอมมนุษย์ เช่นนี้วันเวลาดีๆ ของข้าจะได้มาเสียที ไม่ต้องถูกเจ้าทำให้เดือดร้อนอีก แต่ว่าเจ้า! คิดไม่ถึงว่าหนีไปแล้ว ก่อนหนีไปจะทำให้เบื้องล่างของตาเฒ่าเป็นเช่นนั้น ทำข้าต้องช่วยเปลี่ยนยาให้เขาอยู่หนึ่งปีกว่า อารมณ์ไม่ดีก็ทุบตีข้า ข้าแค้นเจ้า คนที่ข้าเคียดแค้นที่สุดในโลกนี้ก็คือเจ้า แค้นจนอยากจะกินเนื้อดื่มเลือดของเจ้า!”

“ร้ายแรงขนาดนั้นเลย? ตอนเปลี่ยนยาทำไมเจ้าไม่ฉวยโอกาสใช้เข็มจิ้มเขาหลายๆ ครั้ง ระบายโทสะ เรื่องเปลี่ยนยาจะโทษใครได้ ก็เจ้ายุ่งอยู่กับการประจบประแจงทั้งวันมิใช่หรือ ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่มีคนเรียกข้าไปทำเรื่องเหล่านี้ อีกทั้งตอนนั้นเจ้าก็ทำอย่างยินยอมพร้อมใจและดูเหมือนชื่นชอบอย่างยิ่ง” จินเฟยเหยาทำปากยื่นเอ่ยอย่างไม่พอใจ

“ข้าเกลียดท่าทางไม่ใส่ใจและไม่จริงจังกับทุกเรื่องของเจ้าที่สุด!” จินเฟยหยางกัดฟัน ปราณสีดำเริ่มทะลักออกมาจากร่าง ทั่วร่างเต็มไปด้วยไอมาร ทำให้คนเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ

สีหน้าจินเฟยเหยาก็เย็นชาลง ทงเทียนหรูอี้ข้างกายค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นจานกลมมีหนามขนาดยักษ์หมุนวนอย่างเร็วรี่สองชิ้น ยามจานหมุนวนมีเสียงดังวิ้งๆ จากนั้นนางแสยะยิ้มเอ่ย “เจ้าอิจฉาข้าสินะ น้องชายที่มีชีวิตอยู่ในความมืดมน แม้แต่ฝึกบำเพ็ญยังได้แต่มีชีวิตอยู่ในมุมชายแดน ในฐานะพี่สาว ข้าจะช่วยให้เจ้าหลุดพ้นอีกแรง”

“เจ้าตายเสียเถอะ!” จินเฟยหยางถูกยั่วโทสะ แหงนหน้าขึ้นคำรามลั่น ไอมารสีดำทั่วร่างปะทุขึ้น พริบตาก็ปกคลุมร่าง หลังไอสีดำผ่านพ้น เสื้อคลุมสีดำกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขากลายร่างเป็นมาร

ตลอดร่างของจินเฟยหยางถูกเปลือกแข็งสีดำห่อหุ้ม บนศีรษะมีเขามารยื่นออกมาหนึ่งเขา สองมือกลายเป็นกรงเล็บแหลมคม ใบหน้าไม่ใช่มนุษย์ เป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ กระทั่งดวงตาก็กลายเป็นสีแดงโลหิต เขี้ยวแหลมคมงอกยาวออกมาจากปาก

จากนั้นไหวร่างพุ่งเข้าใส่จินเฟยเหยา

“ศิษย์น้อง!” คนชุดดำสองคนเห็นฉากนี้ ก็ร้อนใจจนร้องอุทาน

ถ้ากลายร่างเป็นมาร สติจะลดลงครึ่งหนึ่ง สติปัญญาและความคิดจะไม่มั่นคง เป็นไปได้ว่าจะถูกการกลายเป็นมารกลืนกิน พวกเขาไม่ได้มาสังหารคน แต่มาค้นหาสิ่งของ ตอนนี้ได้สิ่งของมาไว้ในมือแล้ว ขอเพียงจากไปก็พอ คิดไม่ถึงว่าจินเฟยหยางจะสติหลุด สิ่งของก็อยู่ในตัวเขา คิดจากไปก็ไม่ได้

ทั้งสองคนสบตากัน แล้วกัดฟันเอ่ยว่า “กลายร่างเป็นมาร สังหารคนเหล่านี้ให้หมด นำสิ่งของกลับมาไม่ได้ พวกเราก็ไม่มีจุดจบที่ดี มิสู้เสี่ยงเถอะ!”

โยนเสื้อคลุมสีดำบนร่างทิ้ง ไอมารสีดำทะลักออกมาจากร่างกลายเป็นมารร้าย เพียงแต่พวกเขาไม่มีอารมณ์ตื่นเต้นเหมือนจินเฟยหยาง ไม่ได้คำรามเสียงดัง จากนั้นกลายเป็นเงาดำสายหนึ่ง พริบตาก็พุ่งมาถึงผู้บำเพ็ญเซียนผดุงคุณธรรมรอบด้าน

“ทุกท่านระวัง!” มีคนตะโกนขึ้น ทุกคนก็ทยอยกันถือของวิเศษขึ้นต้านรับ

ผู้บำเพ็ญมารคนหนึ่งในนั้น กลับพุ่งตรงเข้าหาปู้จื้อโหยว ขอเพียงสังหารเขาทิ้ง แล้วเก็บมุกแสงอาทิตย์ ภายในถ้ำก็จะกลับคืนสู่ความมืดมิดดังเดิม ความมืดทำให้พวกเขาได้เปรียบ ไอมารสามารถกลมกลืนในความมืดมิด ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ระวังป้องกันได้ไม่ทั่วถึง

ปู้จื้อโหยวหลบไปด้านข้าง ยื่นสองนิ้วไปทางเงาดำแล้วออกคำสั่ง “แสงเงิน!” กล่องเหล็กลึกลับสีเงินด้านหลังของเขามีแสงสีเงินกระพริบวาบ ศรบินที่มีแสงสีเงินกระพริบนับร้อยลอยออกไป กลายเป็นห่าลูกศรยิงใส่เงาดำ

ผู้บำเพ็ญมารอาศัยร่างกายอันคล่องแคล่ว เหลือเพียงเงาตกค้างสายหนึ่ง หลบหลีกการโจมตีของศรเงินอันแน่นขนัดได้

ทว่าปู้จื้อโหยวชี้เขาแล้วตะโกน “วิญญาณกระดูก!”

กล่องกระดูกสีขาวเปิดออกในพริบตา ศรกระดูกนับร้อยบินออกมา ไม่ได้รวมเข้าด้วยกันทว่ากระจายออกไป พุ่งเข้าใส่ผู้บำเพ็ญมารอย่างไม่เป็นระเบียบราวกับมดแตกรัง

ศรกระดูกเหล่านี้บินสะเปะสะปะไปทั่ว จัดการยากกว่าศรเงินมากนัก ผู้บำเพ็ญมารเข้าใกล้ร่างปู้จื้อโหยวไม่ได้เลย ได้แต่หายตัวหลบศรกระดูกกลางอากาศไม่หยุด ทว่าศรเงินกลับรวมตัวเป็นกระบี่ศรสิบเล่ม ราวกับนกล่าเหยื่อกลางอากาศ พบสบช่องก็ยิงใส่ผู้บำเพ็ญมาร ผู้บำเพ็ญมารเห็นว่าหากตนเองยังหลบหลีกอยู่ที่นี่ก็หาเวลามาโจมตีปู้จื้อโหยวไม่ได้ และปู้จื้อโหยวยังมีกล่องศรอีกกล่องหนึ่งที่ยังไม่ได้เปิดออก จึงเกิดความคิดล่าถอย

ในยามนี้เอง ปู้จื้อโหยวตบกล่องศรไม้วิญญาณอันสุดท้าย “ปลิดชีพ!”

หลังสิ้นเสียงของเขา ศรไม้สีเขียวนับร้อยลอยออกมาจากกล่องศร พุ่งไปล้อมด้านนอกสุดและเรียงเป็นวงเวทศรอย่างมีกฎเกณฑ์ จากนั้นศรไม้เปล่งแสงสีเขียวเอง เส้นแสงสีเขียวแต่ละสายร้อยเรียงเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ เส้นทางถอยของผู้บำเพ็ญมารถูกปิดสกัดทั้งหมด

ผู้บำเพ็ญมารเห็นฉากนี้ ก็คายหมอกโลหิตกลิ่นเหม็นคาวออกมา พ่นใส่ตัวศรกระดูกที่บินมา จากนั้นใช้มือคว้าศรกระดูกสิบกว่าดอก ออกแรงหักศรกระดูกจนกลายเป็นสองท่อน ศรกระดูกที่กลายเป็นสองท่อนสูญเสียปัญญาญาณร่วงลงบนพื้น

“สิ่งของหรูหราแต่ไร้ประโยชน์เหล่านี้ ข้าจะหักศรของเจ้าให้หมด” ผู้บำเพ็ญมารคนนี้หัวเราะลั่น

ยามนี้ปู้จื้อโหยวยืนกอดอกอยู่ด้านข้าง มองวงเวทศรกำลังหมุนเองด้วยรอยยิ้ม ศรกระดูกหลายสิบดอกที่ถูกหักทิ้งไม่ได้ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลง

“เฮ้อ พวกเจ้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญมาร ยังห่างไกลจากคนเผ่ามารที่แท้จริงมากนัก ครึ่งคนครึ่งสัตว์ นึกว่าตนเองร้ายกาจเสียเต็มประดา” ปู้จื้อโหยวส่ายศีรษะเบาๆ ถอนหายใจ จากนั้นเอ่ยประโยคหนึ่งเบาๆ “คืนชีพ!”

หลังสิ้นเสียงเขา ศรกระดูกที่ถูกหักบนพื้นก็หายวับไป ศรกระดูกใหม่เอี่ยมสิบกว่าดอกปรากฏขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง เข้ากองทัพศรและยิงสังหารผู้บำเพ็ญมารอีกครั้ง

“ที่แท้เจ้าก็คือดาวศรพิฆาต ปู้จื้อโหยว! สังหารเจ้าได้ ข้าจะได้รับความชอบใหญ่หลวง!” ในที่สุดผู้บำเพ็ญมารในวงเวทศรก็จำเขาได้ และไม่หวาดกลัวเขาเลยสักนิด ตรงกันข้ามความคิดต่อสู้พุ่งพรวดตะโกนเสียงดังลั่น

ส่วนปู้จื้อโหยวกลับหมุนกายไปใช้สิ่งที่ว่างเปล่าในมือฟันอย่างกะทันหัน ด้านหลังที่เดิมทีว่างเปล่าไร้สิ่งใดพลันปรากฏเงาดำสายหนึ่ง เงาดำปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ เป็นผู้บำเพ็ญมารคนนั้นที่ต้องกระบี่ศรพอดี

เขามองปู้จื้อโหยวที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ริมฝีปากขยับเค้นคำพูดประโยคสุดท้ายในชีวิตออกมา “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมองร่างแยกของข้าออก…”

“ปิศาจราตรีของข้าเตรียมไว้เพื่อคนอย่างพวกเจ้าโดยเฉพาะ ร่างแยกอะไร สิ่งของแบบนี้ข้าเห็นมานักต่อนัก” ปู้จื้อโหยวเอ่ยยิ้มๆ

ริมฝีปากผู้บำเพ็ญมารสั่นระริก สุดท้ายก็เอ่ยอะไรออกมาไม่ได้อีก เอียงศีรษะขาดใจตายไป ส่วนร่างของเขา ครึ่งท่องล่างและครึ่งท่อนบนพลันแยกออกจากกัน ถูกอาวุธอันคมกริบฟันขาดเป็นสองท่อนร่วงลงพื้น

บางอย่างที่ว่างเปล่าในมือของปู้จื้อโหยวมีโลหิตสดของผู้บำเพ็ญมารร่วงลงมาหลายหยด จากนั้นเห็นเขาทำท่าเก็บกระบี่ ราวกับเก็บสิ่งของบางอย่างกลับคืน

…………………………………

[1] อี๋เหนียง คือ คำเรียกอนุภรรยา