กำจัดผู้บำเพ็ญมาร ปู้จื้อโหยวก็เก็บศรสามสีกลับลงกล่อง แล้วไปค้นสิ่งของทั้งหมดในตัวผู้บำเพ็ญมารคนนั้น

“เขาคือปู้จื้อโหยวอันดับที่สิบเอ็ดในผังสงครามวิญญาณมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานช่วงปลาย ขาดอีกตำแหน่งเดียวก็จะเบียดเข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรก พลังการบำเพ็ญเพียรไม่สูง กลับแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อีกทั้งเนื่องจากเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ รับจ้างทำงานโดยเฉพาะและมีนิสัยกลอกกลิ้ง รู้อย่างลึกซึ้งในความชื่นชอบของบุคคลสำคัญแต่ละคน มีของวิเศษชิ้นหนึ่งชื่อปิศาจราตรี ไม่เคยมีคนเห็นว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ทว่ากลับคมกริบสุดเปรียบปาน” ซิ่นเทียนยืนมองปู้จื้อโหยวอยู่ด้านข้างแล้วอธิบายศิษย์พี่แห่งตำหนักซวีชิงสามคนฟัง

เป้าหมายของซิ่นเทียนคือเตือนพวกเขาว่าเจ้าหมอนี่ร้ายกาจยิ่ง อย่าไปยั่วโทสะเขา แต่เดิมทีพวกไป๋เจี่ยนจู๋ก็ไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องคนอยู่แล้ว เพียงแค่ช่วยเพิ่มข้อมูลให้พวกเขาเท่านั้น

ปู้จื้อโหยวร้ายกาจอย่างไร ไป๋เจี่ยนจู๋และเฟิงอวิ๋นจู๋ล้วนไม่ได้รับฟัง ทั้งสองคนมองทางด้านจินเฟยเหยา บวกกับต่างคนต่างมีความคิดในใจ จึงไม่ได้ส่งเสียงตอบรับ

ผู้บำเพ็ญเซียนที่ลงมาด้านล่างมีจำนวนไม่น้อย ผู้บำเพ็ญมารถูกปู้จื้อโหยวจัดการไปคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว อีกคนยังคุมเชิงกับจินเฟยเหยา ผู้บำเพ็ญมารคนที่เหลือก็สู้กับผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่น พวกเขาอยู่ว่างจริงๆ ทางด้านจินเฟยเหยาก็สู้กันอย่างดุเดือด ทั้งสองคนต่างคิดจะเอาชีวิตอีกฝ่าย ลงมืออย่างไม่ไว้ไมตรี เจ้ากรีดข้าหนึ่งกรงเล็บ ข้าต่อยเจ้าหนึ่งหมัด ทุกคนมองดูจนสับสนตาลาย

จินเฟยหยางกลายเป็นมาร พละกำลังและความเร็วเพิ่มขึ้นมหาศาล วาดกรงเล็บอันแหลมคมใส่จินเฟยเหยา สายตาของเขาดุร้าย คิดจะถลกหนังดื่มเลือดจึงหายแค้นจริงๆ

จินเฟยเหยาก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ ทงเทียนหรูอี้หมุนอย่างรวดเร็ว ฟันใส่เขาที่อยู่กลางอากาศอย่างต่อเนื่อง ทว่าความเคลื่อนไหวของจินเฟยหยางรวดเร็วอย่างยิ่ง แต่ละครั้งทงเทียนหรูอี้ถูกเขาหลบหลีกได้ อย่างมากก็ทิ้งรอยแผลเล็กๆ ไว้บนร่างเขา ไม่ได้ทำให้เกิดบาดแผลสาหัส

ตอนนี้ร่างของเขาแข็งแกร่งไม่น้อย จินเฟยเหยาไม่ได้ใช้ไฟนรก ใช้เพียงหมัดหนักๆ ที่แฝงพลังวิญญาณ ก็ทำได้เพียงทุบหลังให้จินเฟยหยาง ถ้าหากมิใช่ทั้งสองคนมีความขัดแย้งลึกล้ำและไม่มีความคิดล้อเล่น คงหัวเราะให้แก่กันได้

จินเฟยเหยาเดือดดาลอย่างยิ่ง เหตุใดร่างกายของผู้บำเพ็ญมารจึงแกร่งและเหนียวขนาดนี้ สามารถเปรียบได้กับผิวหนังของสัตว์ปิศาจขั้นหก

ผู้บำเพ็ญมารเดิมทีคือของเล่นที่คนเผ่ามารอยู่ว่างๆ รู้สึกเบื่อหน่ายจึงจับเผ่ามนุษย์มาบังคับให้พวกเขาเปลี่ยนเป็นสัตว์ปิศาจ ดังนั้นจึงมีเนื้อหนังหนา ปกติใช้รังแกคนอื่นและทำงานใช้แรงงานเป็นโล่เนื้อ เนื่องจากร่างกายบึกบึนแข็งแกร่ง ระเบิดพลังมหาศาล มีอานุภาพไม่เบา ทั้งยังไม่กลัวเจ็บปวด ใช้งานแล้วแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ธรรมดาที่อยู่ขั้นเดียวกัน

คุณสมบัติของเผ่ามนุษย์บางคนไม่ค่อยดี ก็ยอมไปร่ำเรียนวิธีบำเพ็ญมารเองและต้องรักษาสติปัญญาเอาไว้ จึงจะไม่เปลี่ยนเป็นสัตว์ปิศาจโดยสมบูรณ์ กลายเป็นสายลับในโลกเผ่ามนุษย์ของคนเผ่ามาร ใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องเอาใจทั้งสองฝ่าย ทว่าข้อได้เปรียบในด้านพละกำลังก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยยอมลำบากแล่นมาที่โลกเผ่ามารเพื่อเรียนเคล็ดวิชาบำเพ็ญมาร

จินเฟยเหยาไม่สะดวกจะใช้ไฟนรกภายใต้การจับจ้องของทุกคน นางพลันรู้สึกว่ายุ่งยาก หดมือหดเท้าต่อสู้แบบนี้ มิสู้ปลดปล่อยมือเท้าให้สู้สักรอบจะดีกว่า จากนั้นค่อยสังหารผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดที่นี่ปิดปาก?

นางมองไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา ดูเหมือนคิดสังหารทุกคนที่นี่ ตนเองคงทำไม่ได้ ท่าทางคงได้แต่หนีอีกแล้ว แต่จะหนีไปที่ใดได้ หรือว่าต้องเข้าไปสู่อ้อมกอดของเผ่ามาร กลายเป็นผู้บำเพ็ญมารที่ไม่เอาใจทั้งสองฝ่าย?

ในยามนี้ จินเฟยหยางเรียกสัตว์ปิศาจที่หน้าตาเหมือนแพะภูเขาสีดำที่มีปีกตัวหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ กีบเท้าของมันเหยียบอากาศ คลื่นการโจมตีสีแดงสะท้อนไปโดยรอบราวกับมีคนใช้ค้อนยักษ์กระหน่ำ

การเหยียบแต่ละครั้ง จินเฟยเหยาถูกกระแทกจนร่างส่ายไหวอย่างควบคุมไม่ได้ จินเฟยหยางฉวยโอกาสนี้ย้ายมาปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของนาง กรงเล็บในมือคว้าด้านหลังศีรษะ

ยามนี้ความเร็วของจินเฟยเหยาสู้เขาไม่ได้ หลบไปก็ไร้ประโยชน์ จึงรีบเรียกของวิเศษ ร่มดอกไม้ปรากฏขึ้นขัดขวางด้านหลังทันควัน ร่มดอกไม้มีเสียงดังแคว่ก คิดไม่ถึงว่าจะถูกจินเฟยหยางฉีกขาดป็นสองส่วน ร่มทั้งคันถูกทำลายจนเละเทะ

ทว่าก็มอบเวลาให้แก่จินเฟยเหยา พอนางหันหน้าไป ไฟนรกสีฟ้าดำในมือก็ปรากฏขึ้น ฟาดฝ่ามือใส่ร่างจินเฟยหยางอย่างหนักหน่วง

เสียงครางหนักๆ จินเฟยหยางรู้สึกว่าตรงที่ถูกโจมตีมีความเจ็บปวดอันคุ้นเคยและความหนาวเย็นเสียดกระดูกแล่นตามมา คิดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับความรู้สึกปกติที่เจ้านายของตนเองทุบตีเขาอย่างไรอย่างนั้น เขาหลุดร้องอุทานออกมา “ไฟนรก! เจ้ามีไฟนรก!”

การเสียกิริยาของเขาทำให้จินเฟยเหยาฉวยโอกาสได้ ทงเทียนหรูอี้สองชิ้นบินไปหาอย่างแม่นยำ หมุนเลื่อยบนร่างเขา เลือดเนื้อสาดกระจาย จินเฟยหยางร้องคำรามและต้านทานอย่างสุดกำลัง ใช้ร่างกายที่เหนียวและแกร่งดีดทงเทียนหรูอี้ออกไป ทว่าบนร่างกายก็เป็นเลือดเนื้อเลอะเลือน อนาถจนทนดูไม่ได้

ยามนี้ศิษย์น้องซิ่นเทียนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่ได้ยินคำสนทนาของพวกเขาสองคน ดูเหมือนจะเป็นคู่พี่สาวน้องชายที่ร่วมบิดาแต่ต่างมารดา เหตุใดพี่สาวจึงลงมือหนักปานนี้ ไม่สนใจสายสัมพันธ์เลยสักนิด ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญมาร ทว่าทุบตีจนกลายเป็นแบบนี้ ไร้เหตุผลเกินไปหน่อยใช่หรือไม่”

หลังเฟิงอวิ๋นจู๋ได้ยินก็ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ศิษย์น้องซิ่นเทียน ถ้าคนที่เป็นพี่สาวไม่ลงมือหนัก แต่ทำให้ตนเองบาดเจ็บเล็กน้อย แลกกับการให้น้องชายหนีไปได้ จะทำอย่างไร?”

“ทำอย่างไร? นางต้องปล่อยผู้บำเพ็ญมารไปเพราะความสัมพันธ์แน่นอน ต้องถามหาความรับผิดชอบจากนาง ไม่แน่ว่าทั้งสองคนเป็นพวกเดียวกัน เพียงแต่ใช้แผนทรมานสังขารเท่านั้น ไม่มีใครติดกับหรอก” ซิ่นเทียนหลุดปากพูดความคิดเห็นตามปกติออกมาโดยไม่ต้องคิด

“ฮ่าๆๆ ศิษย์น้องซิ่นเทียนกล่าวได้ถูกต้อง แล้วเจ้ายังจะเอ่ยถึงความสัมพันธ์อะไรอีก” เฟิงอวิ๋นจู๋ยิ้มและตบบ่าของเขา หลังมาถึงสำนักตงอวี้หวง เขายิ่งชอบพูดจาเหน็บแนมมากขึ้นทุกที

ศิษย์น้องซิ่นเทียนพบว่าเขาเอ่ยคำพูดที่ขัดแย้งกันเอง เห็นได้ชัดว่าตนเองจอมปลอมเกินไป สีหน้าจึงปั้นยากอยู่บ้าง

แต่พอเห็นไม่มีใครหาทางลงให้ตนเอง ในใจก็ยิ่งเดือดดาล ถ้าอาจารย์ไม่บอกว่าพวกเขาไม่รู้จักทาง ไม่คุ้นเคยกับสภาพการณ์ของโลกวิญญาณเป่ยเฉิน ต้องให้เขามาด้วย เขาจะไม่ยอมออกมากับคนเหล่านี้หรอก

คนหนึ่งเหน็บแนมตนเองทั้งวัน คนหนึ่งไม่มีอะไรก็ตีหน้าแสร้งเป็นยอดฝีมือ ยังมีอีกคนหนึ่งหลายวันนี้ไม่พูดเลยสักประโยค ไม่รู้สึกถึงการคงอยู่เลยสักนิด ถ้าไม่รู้ยังนึกว่าเป็นใบ้ พวกบ้านนอกที่เกิดและเติบโตในโลกระดับดินเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะจู๋ซวีอู๋ซือจุน ตอนนี้พวกเขายังมีชีวิตไปวันๆ อยู่ในโลกระดับดิน

มาสำนักตงอวี้หวงของพวกเรา ก็ไม่รู้จักเคารพศิษย์พี่ศิษย์น้อง พวกเราจึงเป็นศิษย์ที่แท้จริงของสำนักตงอวี้หวง พวกโผล่มากลางคันอย่างพวกเจ้า ซือจุนเพียงอยู่ว่างจนเบื่อหน่ายรับมาเป็นศิษย์เล่นๆ เท่านั้น ฮึ! ศิษย์น้องซิ่นเทียนไม่พอใจ ถึงแม้คิดจะรักษาภาพพจน์ ทว่าเขากลับสู้คนตำหนักซวีชิงไม่ได้สักคน แม้แต่เจ้าใบ้ที่มีการคงอยู่ราวกับเมฆาล่องลอยคนนั้น เขาก็สู้ไม่ได้ คิดถึงกำลังทรัพย์ของจู๋ซวีอู๋ซือจุน ทั้งยังใจกว้างกับศิษย์ขนาดนี้ เขารู้สึกว่าซือจุนและอาจารย์ของตนเองตระหนี่อย่างยิ่ง

ส่วนจินเฟยเหยาในยามนี้ คร้านจะเก็บงำฝีมืออีกต่อไป กะจะกำจัดจินเฟยหยางทิ้งอย่างรวดเร็ว นำสิ่งของที่ตนเองขุดออกมาจากไปทันที ฟองแสงนรกลอยออกมาจากมือของนาง ล้อมจินเฟยหยางเอาไว้ ขอเพียงเขาสัมผัสโดนฟองแสงนรกเหล่านี้ ไฟนรกด้านในจะลุกไหม้ขึ้นทำให้เขาทรมาน ดูเหมือนจินเฟยหยางจะหวาดกลัวไฟนรกอย่างยิ่ง หลังจากถูกเผาหลายครั้ง ก็ได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่กล้าเคลื่อนไหวสักนิด

แต่เขาก็ไม่อาจนั่งรอความตายแบบนี้ ไอมารบนร่างจินเฟยหยางผนึกรวมกลายร่างเป็นคมดาบสีดำทีละเล่ม คิดจะทะลวงออกไปจากรอยแตกของฟองแสงนรก ฟองแสงนรกขยับเองโดยไร้ลม ตรงไหนมีคมดาบสีดำก็ลอยไปตรงนั้น คมดาบสีดำบินออกไปไม่ได้ราวกับจะเย้ยหยันเขา ฟองแสงนรกยังกระโดดบนร่างเขาประหนึ่งนกตัวเล็กๆ ผลที่ตามมาแน่นอนว่าเผาไหม้จนเขาร้องโหยหวน

ฉวยโอกาสที่เขาถูกขังไว้ ทงเทียนหรูอี้กลายเป็นกระบองเขี้ยวสุนัขป่าสองด้ามไปทุบแพะภูเขาตัวนั้นที่กำลังเหยียบย่ำอย่างเบิกบาน แพะภูเขาหลบทงเทียนหรูอี้ด้ามหนึ่งอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก็ถูกทงเทียนหรูอี้อีกด้ามหนึ่งทุบร่วงพื้น ขาสี่ข้างกระตุกแล้วสลบไป

จินเฟยเหยานำถุงสัตว์ภูติออกมาเก็บมัน แล้วมองจินเฟยหยางที่ยืนอยู่ในกลุ่มฟองแสงนรก มือขวากลายเป็นไฟนรก บนใบหน้ามีรอยยิ้ม “ข้าจะส่งเจ้าออกเดินทาง!”

“จินเฟยเหยา! ข้าจะตายพร้อมเจ้า!” จินเฟยหยางพลันคำรามลั่นอย่างสิ้นหวัง ต่อให้ตาย เขาก็ต้องลากนางมาตายด้วย

ร่างของเขาพองขึ้นราวกับเปี่ยมด้วยพลังปราณ ดวงตาเปล่งสีแดงปูดออกมาด้านนอก ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกว่าเหมือนกบตัวหนึ่งนิดๆ เพียงแต่อัปลักษณ์อย่างยิ่ง

“รีบถอยไป ผู้บำเพ็ญมารจะระเบิดตนเอง!” ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ มีประสบการณ์ในการจัดการผู้บำเพ็ญมารอยู่บ้าง พอเห็นสภาพของจินเฟยหยาง ก็รู้ทันทีว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทยอยกันเรียกอาวุธเวทป้องกันนานาชนิดออกมาใช้ร่วมกับเวทม่านแสง ทั้งหมดหนีไปอยู่มุมหนึ่ง

“รีบช่วยพวกเราด้วย พวกเราหนีไม่ได้!” แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนห้าคนที่กำลังต่อสู้กับผู้บำเพ็ญมารคนสุดท้าย ก็ฉวยโอกาสหนีไปสามคน เหลือผู้บำเพ็ญเซียนต่อกรกับผู้บำเพ็ญมารสองคนที่ปลีกตัวหนีไปไม่ได้ หวาดกลัวจนร้องลั่นให้ช่วยเหลือ

ไป๋เจี่ยนจู๋มองแวบหนึ่ง ดึงไผ่วั่นคงออกมาแล้วหายตัวไปอยู่ข้างคนผู้นั้นในพริบตา “ถอยไป!” ผู้บำเพ็ญมารคนนี้ไม่ได้คิดจะระเบิดตนเอง เขาเชื่อว่าตนเองสามารถรักษาชีวิตภายใต้การระเบิดตนเองของจินเฟยหยางได้ จะได้ฉวยโอกาสหลบหนีไปพอดี

ไป๋เจี่ยนจู๋ถือไผ่วั่นคงสีเขียวขจีในมือชี้ใส่เขาตามสบาย ตัวไผ่วั่นคงพลันเปล่งแสงสีเขียว มังกรเขียวตัวหยาบใหญ่เท่าถังน้ำก็ทะยานออกมาจากแสงสีเขียว อ้าปากกว้างพุ่งใส่ผู้บำเพ็ญมารคนนี้ มังกรเขียวผ่านร่างของเขาไป ผู้บำเพ็ญมารอ้าปากยืนตะลึง หนึ่งอึดใจต่อมาก็กลายเป็นควันสีเขียว ไม่เหลือแม้เศษซาก

ผู้บำเพ็ญเซียนที่ร้องให้ช่วยก่อนหน้านี้ มองไป๋เจี่ยนจู๋ที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรใกล้เคียงกับตนเองอย่างตกตะลึง ตนเองสู้กับผู้บำเพ็ญมารอย่างลำบากลำบนอยู่นาน เหตุใดผู้อื่นเพียงสะบัดกิ่งไผ่ใช้แค่กระบวนท่าเดียวก็สามารถกำจัดทิ้งได้ หลังตกตะลึง ในใจก็รู้สึกชิงชัง ในเมื่อร้ายกาจถึงปานนี้ เหตุใดเมื่อครู่จึงไม่ลงมือแต่แรก ยืนดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างตลอดเวลา

ถุย! สิ่งมีชีวิตเลือดเย็น คนไร้น้ำใจ ยอดเยี่ยมนักหรือ รักษาภาพพจน์อะไรกัน เสแสร้งเป็นวีรบุรุษ คนเหล่านี้ไม่รู้สึกสำนึกขอบคุณเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับมีสีหน้าชิงชัง หนีไปตรงมุมหลบหลีกการระเบิดตนเองของผู้บำเพ็ญมารอย่างเดือดดาล

ที่จริงพวกเขาจะฉวยโอกาสนี้หลบหนีออกไปก็ได้ แต่พอคิดถึงสมบัติใต้ดินก็ไม่มีใครยอมออกไป คิดจะรอจนจินเฟยหยางระเบิดตนเองเสร็จสิ้นค่อยเริ่มหาสมบัติ

ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่ใส่ใจเรี่องเหล่านี้ หมุนร่างมามองจินเฟยหยางที่ใกล้จะระเบิดตนเอง ไผ่วั่นคงในมือเปล่งแสงสีเขียวอย่างต่อเนื่อง เขาเตรียมลงมือหยุดยั้งการระเบิดตนเอง