บทที่ 168 ข้ารู้ทุกอย่าง

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

จินเฟยเหยาไม่ต้องให้คนอื่นช่วยเหลือ แลเห็นร่างจินเฟยหยางบวมพอง ก้อนแข็งสีดำเริ่มปริแตก นางก็ยกสองมือ ฟองแสงนรกฟองใหญ่พุ่งออกมาปกคลุมร่างจินเฟยหยางเอาไว้ ไฟนรกแล่นออกมา เขาซึ่งกำลังจะระเบิดตนเองตายก็ถูกแช่แข็งเป็นหินผลึกขนาดใหญ่รูปวงกลมในพริบตา

คนจับตัวแข็งแล้วจึงหยุดระเบิดตนเอง จินเฟยเหยาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ต่อยหมัดไปโดยไม่กระพริบตาสักนิด ผลึกน้ำแข็งแตกเป็นเสี่ยงๆ จินเฟยหยางก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตามไปด้วย ตายไปอย่างเศร้ารันทด ส่วนการระเบิดตนเองของผู้บำเพ็ญมารที่ทำให้คนหวาดกลัวจนตัวสั่นก็สลายหายไปเช่นนี้

ส่วนจินเฟยเหยากลับลืมถามว่าจินเฟยหยางมาที่นี่ได้อย่างไร ทั้งสองคนโต้คมรมกันจนนางลืมเรื่องนี้ไปนานแล้ว

ในยามนี้เอง ไป๋เจี่ยนจู๋พลันลงมือกับจินเฟยเหยาอย่างเหนือความคาดหมาย เขาสะบัดไผ่วั่นคง มังกรเขียวตัวนั้นก็แหวกอากาศออกมา พุ่งเข้าหาจินเฟยเหยาที่ไม่ได้เตรียมตัวป้องกัน

“โล่!” จินเฟยเหยารีบยกสองมือขึ้น ทงเทียนหรูอี้กลายเป็นโล่ขนาดใหญ่สองชิ้นขวางไว้หน้าลำตัว เสียงดังเอะอะ แลเห็นมังกรเขียวกำลังจะพุ่งเข้าชน ด้านหน้าโล่ของจินเฟยเหยาปรากฏเงาร่างหนึ่งขึ้นอย่างกะทันหัน เห็นเพียงแสงสีขาววาบขึ้น มังกรเขียวถูกผ่าออก ปู้จื้อโหยวถือปิศาจราตรีที่มองไม่เห็นยืนอยู่เบื้องหน้าจินเฟยเหยา

“ไป๋เจี่ยนจู๋ เจ้าคิดจะทำอะไร!” คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะเรียนรู้การลอบโจมตี จินเฟยเหยาถลันออกมาจากด้านหลังปู้จื้อโหยว ชี้หน้าเขาด่าทอเสียงดัง

ไป๋เจี่ยนจู๋เอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ขุดรากถอนโคนผู้บำเพ็ญมาร เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำ ข้าเพียงแต่ทำเรื่องที่สมควรทำเท่านั้น”

ปู้จื้อโหยวเก็บปิศาจราตรีกลับคืน เอ่ยอย่างสงสัย “สหายเซียน…แห่งสำนักตงอวี้หวงท่านนี้ ผู้บำเพ็ญมารถูกสหายของข้าสังหารทิ้งแล้ว เป้าหมายที่เจ้าลงมือเมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าเป็นสหายของข้า เจ้าทำตัวให้ใจกว้างมีเมตตาหน่อย เหตุใดจึงทำเรื่องลอบโจมตีเช่นนี้”

“นางก็เป็นผู้บำเพ็ญมาร สหายเซียนท่านนี้โปรดหลีกทาง อย่าได้ติดกับผู้บำเพ็ญมาร” ไป๋เจี่ยนจู๋เอ่ยด้วยสีหน้าอึมครึม

ยามนี้เฟิงอวิ๋นจู๋ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นและไม่เข้าใจว่าไป๋เจี่ยนจู๋คิดจะทำอะไร จึงรีบเอ่ยโน้มน้าว “ศิษย์น้อง เจ้าใจเย็นหน่อย บุรุษผู้นี้เป็นเพียงสหายแน่นอน ไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างที่เจ้าคิด ต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่ เจ้าจะใส่ความสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ความผิดนี้ลบล้างไม่ออกนะ”

“ศิษย์พี่! นางเป็นพี่น้องกับผู้บำเพ็ญมารคนเมื่อครู่ เรื่องนี้ทุกคนต่างก็เห็นอย่างชัดเจน อีกทั้งเวทมนตร์ที่นางใช้ต้องเป็นเคล็ดวิชาเผ่ามารแน่ นี่เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดอยู่แล้ว อย่าถูกนางหลอกลวงเด็ดขาด พวกเขาต้องเป็นพวกเดียวกัน นี่เป็นเพียงแผนทรมานสังขารเท่านั้น” ต้องโทษที่ปกติไป๋เจี่ยนจู๋ไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน จึงไม่รู้เรื่องมีคนปล่อยจอมมารหลงไป ไม่เช่นนั้นยามนี้เขายิ่งมีหลักฐานมากเพียงพอ

ถึงเฟิงอวิ๋นจู๋จะสงสัย ทว่าเนื่องจากความประทับใจแรกเข้ายึดครองความคิด จินเฟยเหยาที่เขารู้จักเป็นเด็กสาวอ่อนโยนน่าสนิทสนมและน่ารักนิดหน่อย ไม่เกี่ยวข้องกับผู้บำเพ็ญมารเลยสักนิด ที่สำคัญที่สุดคือ เขามาจากโลกหนานซาน ไม่มีความคิดชิงชังคนเผ่ามารหยั่งรากฝังลึกเหมือนประชาชนในโลกวิญญาณเลยสักนิด ในความเห็นของเขา เผ่ามารหรือผู้บำเพ็ญมาร เป็นเพียงคนที่หน้าตาแตกต่างกัน นิสัยเข้ากันไม่ได้ เจอหน้าก็ต้องสู้กันเท่านั้น ไม่ถึงขั้นคนนับหมื่นต่างพากันเคียดแค้น

ดังนั้นพอเห็นทุกคนเจ็บแค้นผู้บำเพ็ญมารปานนี้ เขาจึงไม่มีความคิดจะเอ่ยข้อสงสัยในใจออกมา

ได้ยินคำพูดของไป๋เจี่ยนจู๋ ทุกคนต่างมองจินเฟยเหยา รู้สึกว่านางน่าสงสัยอย่างยิ่ง

จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ นางไม่ได้เอ่ยแม้แต่คำพูดทอดถอนใจก็สังหารจินเฟยหยางทันที ก็เพื่อจะหลบหนีอย่างรวดเร็ว ถุงเฉียนคุนที่มีสมบัติห่อนั้นซึ่งถูกแย่งชิงไปก็ถูกแยกออกมาทั้งชิ้นในสภาพสมบูรณ์ และถูกนางเก็บไว้แต่แรก คิดไม่ถึงว่าไป๋เจี่ยนจู๋จะข้ามมารยาทพูดก่อนลงมือทีหลัง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลอบโจมตี ทั้งยังพูดเช่นนี้ ทำให้นางตกอยู่ในฐานะถูกกระทำ

ทว่าปู้จื้อโหยวกลับไม่ได้หวั่นไหวเลยสักนิด กอดอกยิ้มให้ทุกคน “หรือว่าน้องชายเป็นผู้บำเพ็ญมาร พี่สาวก็เป็นผู้บำเพ็ญมารเช่นกัน ถ้ามีญาติเป็นผู้บำเพ็ญมาร เผ่ามนุษย์ทั้งหมดก็ต้องเกี่ยวพันด้วย โลกวิญญาณเป่ยเฉินจะมีคนบริสุทธิ์เท่าไรกัน ภายในสำนักใหญ่เหล่านั้นก็มีญาติของคนจำนวนมากกลายเป็นผู้บำเพ็ญมาร ถ้าข้าจำไม่ผิด แม้แต่จู๋ซวีอู๋แห่งสำนักตงอวี้หวงที่เพิ่งกลับมา ลูกพี่ลูกน้องชายคนโตของภรรยาหลานชายของบ้านภรรยาท่านลุงของเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญมาร”

เรื่องที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ ปู้จื้อโหยวกลับรู้ ถึงแม้ฟังแล้วทำให้คนไม่อยากเชื่อ ทว่าการข่าวที่รวดเร็วของเขาขึ้นชื่อไปทั่วโลก เรียกได้ว่ารู้ทุกอย่าง ปกติไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไร จึงสืบเรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ได้

ถึงจะไม่ชัดเจนว่าเป็นญาติกับอู๋ซวีจู๋ ทว่าผู้บำเพ็ญจำนวนมาก ณ ที่นั้น มากบ้างน้อยบ้างล้วนมีคนที่มีสายสัมพันธ์เป็นญาติพี่น้องที่ไม่เคยพบหน้าเป็นผู้บำเพ็ญมาร็ ยามนี้ได้ยินคำพูดของปู้จื้อโหยวก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง หรือว่าเนื่องจากคนเหล่านี้เป็นผู้บำเพ็ญมาร ตนเองก็ถือเป็นผู้บำเพ็ญมารถูกสังหารไปด้วย?

“เจ้าถูกนางหลอกแล้ว นางเป็นคนเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง ข้าพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าถอยไปเดี๋ยวนี้” ไป๋เจี่ยนจู๋คร้านจะเปลืองคำพูดกับปู้จื้อโหยว จึงตรงเข้าหาตัวปัญหาอย่างดุดัน

เห็นตนเองเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาไม่สำเร็จ ปู้จื้อโหยวจึงคิดจะโน้มน้าวคนอื่นต่อ ขอเพียงชักชวนให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ไม่พอใจก็ต่อสู้กันไม่ได้

จินเฟยเหยากลับตบบ่าของเขา เอ่ยขอบคุณ “พี่ปู้ ขอบคุณที่เจ้าเชื่อถือข้าถึงเพียงนี้ ข้ามีเรื่องอยากพูดกับผู้บำเพ็ญเซียนท่านนี้”

“ใครให้พวกเราเป็นคู่หูกันเล่า ถ้าข้าไม่เชื่อเจ้า หรือว่าต้องเชื่อเจ้าคนที่ไม่แยกแยะถูกผิดแบบนี้?” ปู้จื้อโหยวยิ้มแล้วถอยให้

จินเฟยเหยาเก็บทงเทียนหรูอี้กลับคืน เดินมือเปล่าไปข้างหน้าหลายก้าว เอ่ยกับเขาอย่างมีอารมณ์ “เจ้าบอกว่าข้าเป็นผู้บำเพ็ญมาร ข้าอยากถามเจ้าหน่อย ข้าต่อต้านน้องชายตนเอง ทั้งยังสังหารญาติสนิทเพื่อความสงบสุขของโลกวิญญาณ แผนการของข้าคืออะไร! ข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนอิสระคนหนึ่ง ไร้สำนัก ต่อให้เป็นสายลับของเผ่ามาร ข้าจะล้วงข้อมูลอะไรได้!”

“ข้าสังหารญาติสนิท เพื่อความสงบสุขของโลกวิญญาณ มิใช่เพื่อตนเอง ข้าคงไม่ได้ทำเรื่องนี้เพราะต้องการขอร้องใครให้รับข้าเข้าสำนัก และไม่เคยอยากได้รางวัลใดๆ ข้าทำเพื่ออะไร! ข้าสังหารน้องชายตนเองกับมือ มิใช่เพื่อพวกเจ้าหรอกหรือ เจ้ากล่าวหาปากเปล่าว่าข้าเป็นผู้บำเพ็ญมาร บอกว่าข้าเป็นพวกเดียวกับเขา ในเมื่อเป็นพวกเดียวกัน เพราะเหตุใดข้าจึงต้องสังหารเขาทิ้ง เจ้าอธิบายให้ข้าฟังอย่างกระจ่างสิ”

คนรอบด้านต่างรู้สึกว่าพูดได้ถูกต้อง นางสังหารน้องชายของตนเองต่อหน้าทุกคน อาศัยเรื่องสังหารญาติสนิทเพื่อผดุงคุณธรรม เจ้าก็มิอาจกล่าวหาผู้อื่นว่าเป็นผู้บำเพ็ญมาร

ไม่ยอมให้ไป๋เจี่ยนจู๋เอ่ยวาจา จินเฟยเหยาน้ำตาคลอเบ้า เอ่ยอย่างเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ “บอกว่าสิ่งที่ข้าใช้คือเคล็ดวิชามาร ข้ามีไอมารปล่อยออกมาหรือ? ใช่สิ วิชาที่ข้าฝึกไม่ใช่เวทมนตร์ชั้นยอดและสง่าผ่าเผยอะไร ข้าคุณสมบัติอ่อนด้อย อาศัยฝึกบำเพ็ญเองทั้งหมด ข้าได้แต่ฝึกวิชานอกรีตราคาถูกที่ไม่มีใครยอมฝึก คนจนจะไม่มีหนทางรอดเลยหรือ หรือว่าข้าฝึกเวทอัคคีภูติก็ทำให้ทุกคนมีโทสะ ข้าอยากถามหน่อย แม้แต่เวทนอกรีตก็ฝึกไม่ได้ใช่หรือไม่ เวทนอกรีตมีเพียงคนเผ่ามารและผู้บำเพ็ญมารจึงสามารถฝึกได้หรือ!”

“แน่นอนว่าไม่ใช่ เวทนอกรีตเป็นเพียงประตูข้างเท่านั้น จะเป็นเคล็ดวิชามารได้อย่างไร!” ปู้จื้อโหยว เอ่ยตอบอยู่ด้านข้างอย่างไม่พลาดโอกาส

จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองหินแสงอาทิตย์ที่เสียดแทงนัยน์ตาเม็ดนั้นบนเพดานถ้ำ มีสีหน้าเศร้ารันทดและอ้างว้าง เนื่องจากจ้องหินแสงอาทิตย์ชิ้นนั้น สองตาของนางจึงระคายเคือง มีน้ำตาไหลออกมาตลอดเวลา

นางถอนหายใจอย่างแรง เกรงว่าถ้าเสียงเบาคนอื่นๆ จะไม่เห็น จากนั้นมองไป๋เจี่ยนจู๋อย่างคับแค้นใจ “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าเป็นคนของสำนักตงอวี้หวง มีสิ่งของในสำนักมากมาย ย่อมนึกว่าตนเองสูงส่งกว่าคนอื่น จึงดูแคลนข้าที่มีชาติกำเนิดยากจน ไป๋เจี่ยนจู๋ คุณชายใหญ่ไป๋! หรือเนื่องจากข้าไม่ยอมเป็นอนุภรรยาของเจ้า เจ้าจะทำให้ข้าไร้ที่หยั่งเท้าในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนอย่างที่เจ้าเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ต้องทำลายข้าให้ได้จึงยอมรามือหรือ!”

ทุกคนส่งเสียงฮือฮา คิดไม่ถึงว่าสำนักตงอวี้หวงจะมีคนเช่นนี้ โชคดีที่ทุกคนอดกลั้นไว้ชั่วคราว ชมดูความสนุกก่อนแล้วค่อยไปขุดหาสมบัติ ไม่เช่นนั้นเกือบจะไม่ได้ดูเรื่องสนุกแบบนี้แล้ว

เฟิงอวิ๋นจู๋ได้ยินก็รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ทว่าครุ่นคิดดูอย่างละเอียด ศิษย์น้องไป๋จะเป็นคนเช่นนั้นได้อย่างไร ดูท่าแม่นางจินไม่พอใจศิษย์น้องจากรักจึงกลายเป็นแค้น ดังนั้นคิดจะเป็นอิสระจากศิษย์น้อง คิดถึงตรงนี้เขาอดส่ายศีรษะไม่ได้ โชคร้ายจริงๆ ดูท่าต่อไปต้องสั่งสอนเจ้าท่อนไม้นี่สักหน่อยว่าต้องเอาใจสตรีอย่างไร

ส่วนไป๋เจี่ยนจู๋ไม่รู้ว่าเดือดดาลเกินไปหรือรู้ซึ้งถึงความจริงแห่งโลกิยะ[1] อยู่เหนือไตรภูมิ[2] เขามองจินเฟยเหยาพูดจาเหลวไหลอย่างชืดชา ในใจมีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คือไม่ว่านางจะพูดอะไร และต่อให้คนอื่นเข้าใจเขาผิด เขาก็ต้องขจัดภัยให้ปวงชน

ทว่าเขาคิดจะชืดชาคิดจะหนักแน่น กลับมีคนไม่ชืดชาและไม่หนักแน่น

แลเห็นศิษย์น้องซิ่นเทียนพลันปรากฏกายขึ้นด้านข้าง ใช้มือกอดด้านหลังเขาไว้ ตะโกนใส่เฟิงอวิ๋นจู๋สองคน “ศิษย์พี่ทั้งสอง รีบมาหยุดศิษย์พี่ไป๋เร็วเข้า! สำนักตงอวี้หวงเราจะให้เกิดเรื่องเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ท่านเจ้าสำนักรักหน้าตาที่สุด ถ้าวันนี้ก่อเรื่องใหญ่โต จู๋ซวีอู๋ซือจุนก็ปกป้องพวกเจ้าไม่ได้!”

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย? ไม่ต้องพูดเกินจริงขนาดนี้ก็ได้” เฟิงอวิ๋นจู๋มองท่าทางตื่นตระหนกเกินเหตุของศิษย์น้องซิ่นเทียน รู้สึกว่าเขาทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่บ้าง ตั้งแต่เบื้องบนจนถึงเบื้องล่างของสำนักตงอวี้หวงมีเกือบหมื่นคน เจ้าสำนักจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระแบบนี้หรือ?

“ทางที่ดีพวกเจ้าห้ามเขาไว้ ตอนเจ้าสำนักตงอวี้หวงยังหนุ่มน้องสาวได้พบกับผู้บำเพ็ญเซียนที่ไร้คุณธรรม พยายามพัวพันนางทุกวิถีทาง น่าเสียดายที่น้องสาวของเจ้าสำนักพวกเจ้าไม่ชอบผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ หลังจากเขาถูกปฏิเสธหลายครั้ง ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นจากรักก็กลายเป็นแค้น อาศัยที่ตอนนั้นเขามีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงกว่า ทำการหักกระดูกทั่วร่างของเจ้าสำนักพวกเจ้า จินตัน[3]ถูกสลาย พลังการบำเพ็ญเพียรถูกทำลาย ถ้าไม่ใช่บังเอิญโชคดี เจ้าสำนักของพวกเจ้าจะมีวันนี้ได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงชิงชังกับคนที่พัวพันสตรีมากเกินไปเป็นพิเศษ ทางที่ดีพวกเจ้าโน้มน้าวสหายเซียนท่านนี้ ไม่เช่นนั้นถ้าทำร้ายสหายของข้าจริง พวกเจ้าต้องถูกเจ้าสำนักใช้ฝ่ามือฟาดตายแน่” ปู้จื้อโหยวล้วงตำราที่เต็มไปด้วยปราณวิญญาณออกมาเล่มหนึ่ง มองดูเนื้อหาในนั้นแล้วเอ่ยกับพวกซิ่นเทียน

ซิ่นเทียนอดเอ่ยถามเขาไม่ได้ ปู้จื้อโหยว “ในโลกนี้มีเรื่องอะไรที่เจ้าไม่รู้บ้าง เรื่องแบบนี้เจ้าก็รู้ จุ้นมากไปแล้ว”

“รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครา คิดจะอยู่อย่างอิสระ ต้องรู้ให้หมดว่าบ้านใครแอบเลี้ยงอนุภรรยาในโลกวิญญาณเป่ยเฉิน” ปู้จื้อโหยวส่ายตำราในมือ เอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง

……………………………………

[1] โลกิยะ หมายถึง ทางโลก ธรรมดาของโลก

[2] ไตรภูมิ ประกอบด้วย กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ

[3] จินตัน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานหลอมรวมพลังวิญญาณภายในร่างเป็นแก่นพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุด แก่นพลังวิญญาณนั้น เรียกว่า จินตัน