ฉินเยว่เลิกเวรกะดึกแล้ว แต่เธอยังไม่กลับเสียที
แต่นั่งตาแดงก่ำไม่พูดไม่จาอยู่ในห้องทำงาน หลังจากที่ลังเลใจอยู่นาน เธอก็ลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกจากโรงพยาบาลไป
เมื่อเฉินชางเห็นเช่นนั้น เขาก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก เขาทักทายหวังหย่งแล้วก็วิ่งตามฉินเยว่ไป!
เมื่อออกไปจากโรงพยาบาลแล้ว เฉินชางก็ถามฉินเยว่ว่า “คุณจะไปไหนน่ะ”
ฉินเยว่หันมาถลึงตาใส่เฉินชางทีหนึ่ง “เกี่ยวอะไรกับคุณ!”
ฉินเยว่ยืดตัวตรงแล้วเดินตรงไปยังทางที่จะไปย่านธุรกิจการค้าเทียนเจีย โรงพยาบาลอันดับสองอยู่ใกล้กับย่านธุรกิจการค้าเทียนเจียมาก เป็นสถานที่ที่คึกคักมีสีสันที่อยู่ใกล้ที่สุด ที่นั่นมีห้างสรรพสินค้ากระจายอยู่ทั่ว มีผู้คนเดินขวักไขว่กันมากมาย
เฉินชางรู้สึกว่าตนปฏิบัติต่อฉินเยว่ไม่ค่อยดีนัก เขาเลยเป็นฝ่ายซื้อชานมให้เธอหนึ่งแก้ว
“หายโกรธได้แล้ว ผมอารมณ์ร้อนไป”
ฉินเยว่พ่นลมหายใจออกทางจมูกด้วยความไม่พอใจ เธอรับแก้วชานมมา แล้วดื่มลงไปหนึ่งอึก
…
เฉินชางกับฉินเยว่ตามหาจูหย่งวั่งทั้งวันก็ยังหาตัวไม่เจอ
เมื่อช่วงเวลาโพล้เพล้ย่างกรายมาถึง โคมไฟแสงสีงดงามแขวนประดับประดา เมืองอันหยางในยามค่ำคืนสว่างขึ้นอีกครั้งด้วยแสงไฟนีออนที่ส่องสว่าง
ฉินเยว่ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก “คุณคิดว่าเขาจะไปที่ไหน”
เฉินชางส่ายหน้า “ผมจะไปรู้ได้ไงกัน!”
บริเวณข้างทางเปิดเพลงเศร้าเคล้าคลอ ทำให้เฉินชางรู้สึกเศร้าหมองในเวลาต่อมา
ไม่ใช่แค่เพราะว่าทำภารกิจของจูหย่งวั่งไม่สำเร็จ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือตนเอง…เพราะอุปสรรคขวากหนามที่อยู่ในหัวใจของตน!
จูหย่งวั่งเที่ยวเล่นตลอดทั้งวัน เขาไปสวนสนุก ไปสวนสาธารณะ ไปห้างสรรพสินค้าใหญ่โต ใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นอาม่าถ่ายรูปที่ไม่ชัดเลย
เขายิ้มอย่างใสซื่อ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกเสียง “ลูกรัก พ่อไม่ใช่พ่อที่ดี ชั่วชีวิตนี้พ่อดูแลลูกกับพี่สาวของลูก แล้วก็แม่ของลูกไม่ได้ พ่อเป็นพ่อที่แย่คนหนึ่ง พ่อเป็นพ่อที่ห่วยแตก”
ขณะที่พูดอยู่นั้น จูหย่งวั่งก็เดินเข้าไปในหวังฝูจิ่ง[1] เขามองห้างสรรพสินค้าที่ประดับประดาตกแต่งด้วยเครื่องประดับตัวอาคารที่มีสีทองอร่ามด้วยความรู้สึกอิจฉายิ่งนัก บอกกับตนเองเสียงเบาว่าที่นี่สวยราวกับเป็นพระราชวัง…มีกลิ่นน้ำหอมที่หอมเป็นพิเศษ สิ่งเหล่านี่ทำเอาจูหย่งวั่งถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสาย
ร้านขายสินค้าแบรนด์เนมโดยรอบ เขาไม่รู้จักเลยสักแบรนด์ พนักงานแนะนำสินค้าแต่ละคนแต่งกายสวยหล่อดูดี พนักงานหญิงชายแต่ละร้านดูงดงามหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา เขามองดูเสียจนรู้สึกละลานตาไปหมด
เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของห้างสรรพสินค้าเห็นจูหย่งวั่งที่ดูเหมือนคนเร่ร่อน ก็เดินเข้ามาเร่งให้เขาออกจากห้างสรรพสินค้าไป “เอ่อ น้องชาย น้องชายออกไปด้านนอกเถอะ เดี๋ยวผู้จัดการมาเห็นเข้า พี่จะโดนด่า!”
จูหย่งวั่งไม่ได้สนใจ เขายืนชมห้างสรรพสินค้าอยู่เงียบๆ ตรงนั้น
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเริ่มร้อนรนแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อบังคับที่เป็นลายลักษณ์อักษรว่าห้ามไม่ให้คนจรจัดเข้ามาในพื้นที่ แต่ทุกครั้งหลังจากที่ปล่อยให้เข้ามา ผู้จัดการมักจะด่าพวกเขาด้วยถ้อยคำที่รุนแรง!
ใครบ้างที่ไม่ต้องทำงานแลกเงิน?
ฉิเยว่กับเฉินชางกำลังเดินผ่านมาพอดี ฉินเยว่เจอจูหย่งวั่งแล้ว เธอรีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันที!
“จูหยงวั่ง ฉันฉินเยว่ คุณบอกว่าฉันหน้าตาดีไม่ใช่เหรอ กลับโรงพยาบาลกับพวกเราเถอะค่ะ พวกเราจะผ่าตัดให้คุณ!” ฉินเยว่รีบพูดด้วยความร้อนรน
เฉินชางถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก เขากับฉินเยว่ตามหาจูหย่งวั่งมาทั้งวัน ตั้งแต่สิบโมงเช้ายันสามทุ่ม
สิบเอ็ดชั่วโมง!
เมื่อคืนฉินเยว่เข้าเวรดึก เธอไม่ได้นอนเลยสักงีบ ตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าของเมื่อวานมาจนถึงสามทุ่มในวันนี้ เกือบจะสี่สิบชั่วโมงแล้วที่เธอยังไม่ได้นอน
ทว่าฉินเยว่ดื้อรั้นที่จะหาตามหาจูหย่งวั่งให้เจอ!
นี่แหละฉินเยว่ เนื้อแท้เป็นคนนิสัยหัวแข็งดื้อรั้นและมุ่งมั่น ทำให้เฉินชางนึกภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นขึ้นมาได้ ที่ฉินเยว่กระโดดขึ้นไปบนเตียงผู้ป่วยที่กำลังเข็นอยู่เพื่อปั๊มหัวใจผู้ป่วย นึกถึงตอนที่ฉินเยว่โดนคนในครอบครัวต่อว่า แล้วเธอก็มานั่งน้อยใจอารมณ์ไม่ดีอยู่ในห้องทำงานครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำงานต่อ
เมื่อจูหย่งวั่งได้ยินเสียงตะโกนเรียกของฉินเยว่ เขาก็หันมายิ้ม พร้อมเอามือล้วงเข้าไปในถุง
ทำเอาฉินเยว่ถึงกับตกใจ!
ไม่ใช่ฉินเยว่คนเดียวเท่านั้นที่ตกใจ แม้แต่เฉินชางก็ยังหน้าถอดสี!
เมื่อคิดโยงไปถึงคำพูดของจูหย่งวั่งที่บอกว่าจะแก้แค้นสังคม ทั้งสองคนต่างก็หน้าถอดสี พวกเขารีบโผเข้าไปทันที
ฉินเยว่กอดกระเป๋าถือไว้ในอ้อมอก
ทว่า…กลับเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในมือจูหย่งวั่งคือโทรศัพท์มือถือรุ่นอาม่า ภาพบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นรูปภาพรูปหนึ่ง
บุคคลในภาพเป็นเด็กผู้หญิงสองคน เด็กผู้ชายหนึ่งคน ทั้งสามคนมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสไร้เดียงสา
เฉินชางกับฉินเยว่พลันเหม่อลอยในทันใด
จูหย่งวั่งนอนไร้ชีวิตชีวาอยู่บนพื้น กล่าวด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า “นี่เป็นลูกๆ ของผม พวกเขาไม่เข้าเมืองเลย ไม่เคยเห็นโลกที่งดงามแบบนี้ ไม่เคยเห็นตึกสูงระฟ้า ยิ่งไม่เคยได้กลิ่นน้ำหอมที่หอมยิ่งกว่าดอกไม้…ในอนาคตพวกจะมีโอกาสได้เข้าเมืองมั้ย”
ฉินเยว่รู้สึกเคืองจมูกอยากจะร้องไห้ เธอกลั้นเสียงสะอื้นไว้ไม่อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว “มีโอกาสค่ะ จะต้องมีโอกาสค่ะ!”
…
จูหย่งวั่งถูกจัดให้พักอยู่ที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉินเพื่อเตรียมผ่าตัดบาดแผลบริเวณหน้าอกในอีกสามวัน
ฉินเยว่ช่วยนำรูปในโทรศัพท์มือถือไปล้างรูปออกมา ในโทรศัพท์มือถือมีรูปทั้งหมดสิบรูป รวมทั้งรูปครอบครัวแสนสุขของพวกเขา
ถึงแม้ว่ารูปที่ถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือจะไม่ชัด แต่รอยยิ้มกลับไม่เลือนเลยสักนิด
ฉินเยว่กับเฉินชางเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย
จูหย่งวั่งรีบซ่อนบางสิ่งบางอย่างในมือทันที “คุณหมอฉิน คุณหมอเฉิน วันนี้เป็นวันหยุดไม่ใช่เหรอครับ ทำไมพวกคุณยังมาทำงาน?”
เฉินชางหัวเราะ “ไม่ต้องซ่อนแล้วครับ เห็นตั้งนานแล้ว”
จูหย่งวั่งถึงยอมหยิบรูปออกมา “นี่ลูกผมครับ”
ฉินเยว่ถึงสังเกตเห็นว่าจูหย่งวั่งเอามือปาดน้ำตาเพราะร้องไห้
“ภรรยาของคุณสวยจริงๆ ลูกสาวสองคนของคุณหน้าเหมือนคุณมาก ส่วนลูกชายเหมือนแม่” ฉินเยว่ดูรูปพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จูหย่งวั่งกล่าวด้วยความเขินอาย “สวยสู้คุณไม่ได้ อันที่จริง…สมัยผมเป็นวัยรุ่นผมหล่อมากเลย”
ฉินเยว่หัวเราะ “ตอนนี้คุณก็ยังดูดี!”
เฉินชางกล่าวว่า “คืนวันนี้ลูกกับภรรยาของคุณก็มาแล้ว ฝ่ายกิจการแพทย์ของโรงพยาบาลจัดคนให้ไปรับแล้วครับ”
เมื่อจูหย่งวั่งได้ยินเช่นนั้น เขาก็พลันตกตะลึงจนตาค้าง…
“พวกคุณ…พวกคุณรู้ได้ยังไง”
เฉินชางยิ้ม “พวกเราติดต่อไปทางสำนักงานตำรวจน่ะครับ พวกเขาร่วมมือกับเราออกไปรับครอบครัวคุณเมื่อคืนนี้”
ทันทีที่จูหย่งวั่งได้ยินดังนั้น เขาก็ร้องไห้โฮออกมาทันที
ทำเอาฉินเย่วกับเฉินชางถึงกับตกตะลึง…
นานมากกว่าเขาจะสงบสติอารมณ์ลง
“ผมไม่อยากให้พวกเขาต้องมาเห็นพ่อตัวเองตกอยู่ในสภาพที่ดูหมดสภาพขนาดนี้! ผม…ผมแค่ต้องการจะเป็นฮีโร่ของพวกเขา ไม่ใช่ตกอยู่ในสภาพคนไร้ค่าเช่นนี้ เศษสวะในโรงพยาบาล ผม…ผมจะสู้หน้าพวกเขาได้ยังไง…”
เฉินชางกล่าวต่อ “การผ่าตัดจำเป็นต้องมีคนในครอบครัวมาด้วย คุณไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน เพราะคนในแผนกบริจาคเงินมาให้ผมแล้ว ถึงแม้ว่าค่าผ่าตัดของคุณจะฟรี แต่คุณต้องใช้เงินเป็นค่าที่พักค่าข้าวของภรรยากับลูกๆ คุณ”
เมื่อชายหนุ่มได้ฟังเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำทันใด “ผมไม่ต้องการ!”
ฉินเยว่ถอนหายใจ “เราไม่ได้ให้คุณ เราให้ลูกๆ ของคุณ กว่าพวกเขาเดินทางมาถึงที่นี่ได้ไม่ใช่ง่ายๆ หลังจากที่มาถึงแล้ว ฉันจะพาพวกเขาไปเดินเล่นรอบเมือง ชมความงดงามของเมืองอันหยาง พาไปดูตึกสูงใหญ่ สวนสาธารณะกว้างใหญ่ พาไปเล่นสวนสนุก…พวกเขาเก่งกว่าคุณมาก อายุน้อยขนาดนี้ได้เห็นเมืองใหญ่แล้ว!”
จูหย่งวั่งถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก “ใช่น่ะสิครับ สมัยผมยังเด็กๆ ผมอยู่ในชนบท ไม่เคยเข้าไปในเมือง…แต่…สมัยเด็กผมมีพ่อนะ…”
คำพูดหนึ่งประโยคทำให้คนอื่นๆ ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
จูหย่งวั่งลุกขึ้น ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก ทอดสายตามองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ห้องฉุกเฉินอยู่ชั้นหนึ่ง ห้องผู้ป่วยห้องนี้ไม่มีท้องฟ้าให้เห็นด้านนอกหน้าต่าง มีแต่กำแพงกั้นอุดอู้
สายตาของจูหย่งวั่ง…เต็มเปี่ยมไปด้วยความจนปัญญาและความรู้สึกเศร้ารันทดใจ!
…
เดิมทีแผนการผ่าตัดที่วางไว้คือจะรอให้ครอบครัวของจูหย่งวั่งมาถึงก่อนแล้วจึงทำการผ่าตัด ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่วางไว้เปลี่ยนไป!
จูหย่งวั่งปฏิเสธการผ่าตัด
เขาทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับกับโทรศัพท์มือถือที่ฝากข้อความไว้ แล้วหายตัวไป!
จูหย่งวั่งหายตัวไปแล้ว…
รูปภาพทั้งหมดเขาเอาไปหมดแล้ว
หลังจากที่ลูกๆ กับภรรยาของเขามาถึงห้องฉุกเฉินแล้ว และได้อ่านจดหมายฉบับนั้นที่เขาทิ้งไว้แล้ว ภรรยาของเขาก็ร้องไห้โฮออกมา
สีหน้าของเฉินชางเองก็งุนงงจนทำอะไรไม่ถูก!
ทำไมจูหย่งวั่งถึงต้องหนี
เขาไปไหนแล้ว
เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่
เฉินชางครุ่นคิดอยู่นานมาก ทันใดนั้นเขาก็เห็นเสื้อของตนเองแขวนอยู่ตรงนั้น…
เฉินชางเก็บเสื้อตัวนั้นมาอย่างเงียบๆ
แล้วเขาก็พบว่าในกระเป๋าเสื้อมีจดหมายอยู่หนึ่งฉบับ
เฉินชางเปิดจดหมายอ่าน
“คุณหมอเฉิน:
ขอบคุณนะครับคุณหมอเฉิน คุณทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นกับความหวังในช่วงที่ยากลำบากที่สุดในช่วงสุดท้ายของชีวิต คุณทำให้ผมได้เห็นแสงสุดท้ายในชีวิต
ผมไปแล้วนะครับ!
พบไม่รู้ว่าจะมองหน้าภรรยาผมได้อย่างไร
ผมอยากเป็นฮีโร่ของพวกเขา
ผมอยากเป็นเกราะปกป้องพวกเขาจากสิ่งต่างๆ
แต่ชีวิตนี้…ผมทำไม่ได้
ผมไม่กล้าสู้หน้าพวกเขาแล้ว
ผมไม่มีหน้าจะไปเจอพวกเขาแล้ว
อ้อ จริงด้วยสิ ผมยังมีอีกความปรารถนาหนึ่ง ผมหวังว่าคุณจะช่วยผมได้ ผมจากไปแล้ว ผมหวังว่าผมจะได้บริจาคอวัยวะให้กับคนเหล่านั้นที่ต้องการอวัยวะ แต่ผมไม่อยากให้ลูกๆ ของผมต้องเห็นผมในสภาพที่น่าเวทนา!
ผมไม่อยากให้พวกเขาจดจำผมในภาพที่น่าเศร้าใจเช่นนี้ ผมแค่อย่างจะบอกกับพวกเขาว่า
พ่อไม่ใช่คนอ่อนแอ!
ฝากคุณหมอเฉินด้วยนะครับ คุณหมอเฉินคุณเป็นคนดี คุณช่วยติดต่อหน่วยงานที่รับบริจาคร่างกายให้ผมหน่อย ถ้าได้เงินค่าบริจาคก็มอบเงิบจำนวนนั้นให้ภรรยาผม…
แล้วก็ คุณช่วยบอกคุณหมอฉินหน่อยนะครับว่า เธอสวยมาก มีแค่คุณเท่านั้นที่คู่ควรกับเธอ ถ้าคุณหมอเห็นจดหมายฉบับนี้ ถึงตอนนั้นผมน่าจะตายไปแล้ว ผมอยู่…”
เฉินชางหน้าถอดสี!
เฉินชางรีบวิ่งออกไปเหมือนคนขาดสติ!
เขาเห็นจูหย่งวั่งอยู่ข้างนอกหน้าต่างตรงมุมที่ลับตา จูหย่งวั่งนอนพิงมุมกำแพง มือทั้งสองข้างกำมีดเอาไว้ สายทอดมองออกไปเบื้องหน้า ทว่าแม้เขายังไม่เสียชีวิต แต่…คงจะยื้อชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว
ดูเหมือนว่าภรรยาของจูหย่งวั่งจะสังเกตเห็นอะไรได้กะทันหัน เธอวิ่งตามเฉินชางไป
ในตอนที่ภรรยาของจูหย่งวั่งเห็นเขานอนอยู่ที่มุมกำแพง เธอโผเข้าหาเขาราวกับคนที่เสียสติไปแล้ว!
“ที่รัก เรื่องที่ผมอยากบอกอยู่ในโทรศัพท์มือถือทั้งหมดแล้ว บอกลูกด้วยว่า พ่อของพวกเขาไม่ใช่คนอ่อนแอ แล้วก็ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดี คุณต้องให้พวกเขาตั้งใจเรียนนะ…”
หญิงสาวพยักหน้าไม่หยุด
จูหย่งวั่งมองเฉินชาง “คุณหมอเฉิน ครั้งนี้ผมหาหัวใจเจอแล้ว…”
เฉินชางกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตารินไหลเป็นสายน้ำ
“ที่รัก…อย่าให้ลูกๆ เห็นผมให้สภาพนี้ ผมกลัวว่าพวกเขาจะจดจำภาพนี้ไปตลอดชีวิต บอกพวกเขาว่าพ่อของพวกเขาเป็นฮีโร่ เป็นคนที่อุทิศตนทำความดีต่อสังคม!”
ภรรยาของเขาพยักหน้าไม่หยุด “ที่รัก…คุณเป็นฮีโร่ของฉันเสมอมา…”
ไม่ทราบว่าฉินเยว่ตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเห็นภาพเหตุการณ์นี้เช่นกัน
จูหย่งวั่งยิ้ม “คุณหมอเสี่ยวฉิน คุณสวยมาก มีแค่…มีแค่คุณหมอเฉินคนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรกับคุณ…”
จูหย่งวั่งมองหน้าภรรยาของเขา “ที่รัก คุณอย่าตำหนิโรงพยาบาล พวกเขาทุกคนเป็นคนดี ผมเขียนพินัยกรรมเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะบริจาคอวัยวะให้กับคนเหล่านั้นที่จำเป็น…อย่าตำหนิโรงพยาบาล…”
…
ป.ล. จูหย่งวั่งจากโลกใบนี้ไปแล้ว สิ้นสุดการเดินทางบนโลกมนุษย์ จุดจบในแบบที่เขาเลือกเอง
เขาต้องการตายอย่างสมศักดิ์ศรี!
ต้องการตายเยี่ยงวีรบุรุษ
เขาไม่อย่างดิ้นรนทุรนทุรายเหมือนคนขี้ขลาด
ทุกคนอาจจะรู้สึกรังเกียจจูหย่งวั่งในตอนแรกเริ่ม แต่…เขาคือคนพูดจริงทำจริงคนหนึ่ง เขาอ้อนวอนขอให้มีชีวิตรอด นี่เป็นทางเลือกเดียวของเขา
จะไร้เหตุผลก็ดี จะรู้สึกจงเกลียดจงชังและเคียดแค้นกับความไม่เป็นธรรมที่ต้องเผชิญก็ดี สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง
แต่คนธรรมดาๆ ก็เป็นฮีโร่ได้เช่นกัน!
คนธรรมดาที่ยอมตาย และยืดหยัดในสิ่งที่ปรารถนา
จูหย่งวั่งใช้การบริจาคครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา ทำให้เขาได้กลายเป็นฮีโร่
เขาอยากจะบอกกับลูกๆ ของเขาว่าเขาเป็นฮีโร่
สำหรับผมแล้ว ผมไม่รู้สึกรังเกียจเขา
–
[1] หวังฝูจิ่ง ตลาดถนนคนเดินที่มีชื่อเสียง