[ติ๊ง! ภารกิจความปรารถนาของจูหย่งวั่งเสร็จสิ้น
ได้รับรางวัล: 1. คะแนนทักษะ +5 2. ถุงนำโชค 1 ถุง 3. ระดับ +1]
[ติ๊ง! ภารกิจทดสอบจรรยาบรรณแพทย์เสร็จสิ้น ได้รับคะแนนทักษะ +3]
จูหย่งวั่งนำพาของรางวัลกองโตมาให้เฉินชาง
ทว่าเฉินชางกลับไม่รู้สึกว่าต้องละอายใจอะไรที่ได้รับรางวัล
สิ่งที่ตนควรจะทำตนก็ได้ทำไปหมดแล้ว พยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว
ถึงขั้นที่เฉินชางรู้สึกว่าสำหรับครอบครัวนี้แล้ว การจากไปของจูหย่งวั่งไม่นับว่าเป็นเรื่องเลวร้าย
จูหย่งวั่งเองใช้ทางเลือกสุดท้ายในการกำหนดตอนจบในชีวิตที่น่าสงสารของเขาด้วยตอนจบที่ค่อนข้างมีเกียรติศักดิ์ศรี
มีคนกล่าวว่า คนเป็นแพทย์ถ้าไม่เคยเจอผู้ที่ตนรักษาเสียชีวิตมาก่อน ก็เป็นแพทย์ที่ยังขาดประสบการณ์
ต้องมองชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง ถึงจะฝึกใจให้แข็งแกร่งดุจดั่ง ‘หัวใจศิลา’ ได้!
สมัยที่เฉินชางเป็นแพทย์ฝึกหัด ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายคนหนึ่ง แต่เขาก็เสียน้ำตามาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขารู้สึกว่าน้ำตาที่ไหลไม่ใช่เพราะตนเองที่อยากร้องไห้ แต่สุดท้ายก็เป็นเพราะตนเองนั่นแหละที่รู้สึกเสียใจจนร้องไห้ออกมา
แพทยศาสตร์คือความเจ็บปวด
เพราะคุณต้องรับรู้ความเจ็บปวดของคนอื่น
แพทยศาสตร์คือความสุข
เพราะคุณช่วยชีวิตคนอื่นจากความเจ็บป่วยได้
ทว่าถึงที่สุดแล้ว
สุดท้ายแพทยศาสตร์ยังคงความบริสุทธิ์
เราทำได้ แค่มีตัวเราก็พอ
ให้กำลังใจให้คนเรียนแพทย์ ส่งเสริมให้มุ่งมั่นตั้งใจ!
…
บ่ายวันเสาร์เฉินชางไม่ได้ไปที่คลินิกศัลยกรรมจางจื้อซิน เขาอยากจะให้ตนเองได้หยุดพักสักหน่อย
ช่วงนี้เขาเหนื่อยมากเกินไปแล้ว แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนเลย
เงินในกระเป๋าสตางค์ก็มีไม่น้อยแล้ว รายได้ที่ได้จากระบบกับงานนอกได้มาไม่น้อย แน่นอนว่ารายได้ส่วนใหญ่มาจากเศรษฐินี…
จู่ๆ เฉินชางก็รู้สึกว่ารายได้ที่ได้จากคนกลุ่มนี้เป็นรายได้ที่สูงมากจนน่ากลัว ถ้าอยากร่ำรวยต้องจับคนกลุ่มนี้ไว้ให้มั่น ดูแล้วจะต้องขยายช่องทางทางธุรกิจของตนเองให้กว้างขึ้นสักหน่อย
ช่วงสองวันมานี้ เถียนเซียงหลานกับฟู่อวี้ฟางโทรหาเขาทุกวัน สอบถามเขาเกี่ยวกับเรื่องเสริมหน้าอก เฉินชางเลื่อนไปเป็นวันพรุ่งนี้ เมื่อทั้งสองคนได้ยินเช่นนี้ก็ดีอกดีใจยิ่ง
ช่วงเที่ยงเฉินชางกลับบ้านไปจัดบ้าน ช่วงบ่ายไปที่ย่านธุรกิจการค้าเทียนเจีย เขาตัดสินใจจะซื้อเสื้อผ้าให้ตนเองเพิ่มสักสองสามตัว
ถึงอย่างไรเสียก็ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ห่างหายจากมหาวิทยาลัยไปนานถึงสามปี ได้กลับไปเรียนกะทันหัน ความรู้สึกแปลกใหม่กับความรู้สึกแห่งการรอคอยยังคงเปี่ยมล้นในหัวใจ
เฉินชางค่อนข้างตั้งตาคอยที่จะได้พบกับเพื่อนใหม่ที่เรียนด้วยกัน
แม้แต่หัวใจที่เงียบสงบมานานก็พลันร้อนรุ่มกระสับกระส่ายขึ้นมาอีกครั้ง จนทำให้เฉินชางรู้สึกว่าสาเหตุที่วันนี้อากาศที่ร้อนอบอ้าวไม่เกี่ยวอะไรกับฮอร์โมน
ในช่วงบ่าย จู่ๆ กวนเหว่ยก็โทรมาหาเขา
เฉินชางเพิ่งจะกดรับสาย กวนเหว่ยก็รีบพูดทันทีว่า “เสี่ยวเฉิน วันนั้นผมลืมคุยเรื่องนี้กับคุณเลย คุณเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาหรือยัง”
เฉินชางชะงักงัน “ยังเลยครับ…แต่อาจารย์กวนครับ ถึงยังไงผมก็เข้าเรียนแบบฝากชื่ออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีอาจารย์ที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยมมากก็ได้ อาจารย์ที่เก่งๆ ของมหาวิทยาลัยเราเจ้ากฎเกณฑ์มาก ผมไม่เข้าตาแน่ อีกอย่าง ผมไม่มีเวลาไปทำงานกับอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ที่ปรึกษาคงไม่อยากได้ผมแน่ครับ”
เมื่อกวนเหว่ยได้ฟังเช่นนั้น เขาก็เคร่งขรึมในทันใด ก่อนจะโน้มน้าวด้วยความตั้งใจจริงจัง “เสี่ยวเฉิน ความคิดนี้ของคุณผิดมหันต์ ผมจะบอกอะไรคุณให้นะ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ที่ปรึกษากับตัวนักศึกษาปริญญาโทเป็นความสัมพันธ์ที่ดี เรียกได้ว่าเป็นพ่อแม่คนที่สองของคุณเลยนะ! เป็นคนสำคัญในชีวิตคุณ! หลังจากที่นักศึกษาของพวกเขาเรียนจบแล้ว พวกเขาก็จะจัดหางานให้ หรือเป็นหลักประกันให้คุณตอนเรียนต่อปริญญาเอกได้เลย!…”
“…ดังนั้น คุณต้องจริงจังกับการเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาหน่อย! แล้วก็ต้องหาอาจารย์ที่ปรึกษาที่เก่งและไว้ใจได้ ถ้าไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งสูง อย่างเช่นผู้อำนวยการโรงพยาบาล ก็ต้องเป็นคนที่มีการศึกษาสูง อายุไม่มาก แต่มีผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์”
กวนเหว่ยทำงานเกี่ยวกับนักศึกษาปริญญาโทมาสองปีกว่า เข้าใจในงานสายนี้ลึกซึ้งกว่าเฉินชางมาก ก็เลยโน้มน้าวเฉินชางด้วยความจริงใจ ให้คำแนะนำที่ดีกับเขา
เมื่อเฉินชางได้ฟังที่กวนเหว่ยกล่าว เขาก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมาก ยกตัวอย่างเช่น ฉินเสี้ยวยวน สาเหตุที่ฉินเสี้ยวยวนได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็เพราะฝางยงหลิน อาจารย์ของให้ความช่วยเหลือเขาอย่างเต็มกำลังไม่ใช่หรือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ที่มีชื่อเสียงยังมีอาจารย์ที่นับถือกันเป็นพี่เป็นน้องอีกมากมายหลายท่าน ทุกท่านล้วนเป็นบุคคลที่พึ่งพาได้
ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหลี่เจี้ยนเหว่ย ห่าวซวี่เลี่ยง เถามี่ ฉินเสี้ยวยวนคงไม่ได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลง่ายขนาดนี้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินชางก็ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “เอ่อ อาจารย์กวนคุณมีอาจารย์ที่ปรึกษาท่านไหนแนะนำมั้ยครับ”
กวนเหว่ยพยักหน้า “อืม เอาอย่างนี้ครับ คุณมาหาผม มาถึงแล้ว ผมจะอธิบายให้คุณฟังอย่างละเอียด ก่อนวันที่หนึ่ง พวกคุณต้องถือแบบฟอร์มรับศิษย์ไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาเซ็นชื่อ จากนั้นก็ถือว่าตกลงเรียบร้อย วันนี้คุณมาหาผมที่มหาวิทยาลัยก่อน”
เฉินชางรีบพยักหน้า “ครับอาจารย์ ผมจะรีบไป อ้อ วันเสาร์คุณไม่หยุดพักเหรอครับ”
กวนเหว่ยหัวเราะลั่น “ถามไม่ดูเลยว่านี่มันช่วงเวลาไหน นักศึกษาเข้าใหม่หนึ่งล็อต ทุกวันต้องทำโอที จะไปมีวันหยุดที่ไหนกันล่ะครับ คุณมาที่ห้องทำงานผมได้เลย หลังจากที่มาถึงแล้ว ผมมีตารางคัดเลือกอาจารย์ให้คุณดู ในตารางระบุข้อมูลของอาจารย์แต่ละท่าน คุณถึงแล้วก็ดูได้เลย”
เฉินชางพยักหน้า เขานำเสื้อผ้าที่เพิ่งซื้อกลับไปเก็บที่บ้าน จากนั้นก็นั่งรถแท็กซี่ไปที่มหาวิทยาลัยเลย
เฉินชางพบว่าเขาใจกล้ามากที่กล้าเรียกรถแท็กซี่!
ดูแล้วเงินคือพลังความกล้าของมนุษย์จริงๆ!
แต่เงินคงจะไม่ทำให้เราใจกล้าบ้าบิ่นถึงขั้นหายนะหรอกนะ?
ในตอนนี้ เฉินชางมีทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดสี่แสนกว่าหยวนแล้ว วัดจากความเร็วนี้แล้ว คาดว่าไม่นานก็คงมากพอจะแต่งภรรยาได้แล้ว
หลังจากมาถึงสำนักงานมหาบัณฑิตวิทยาลัย กวยเหว่ยก็เรียกเฉินชางให้เข้าไปในห้องทำงาน
“เสี่ยวเฉิน ผมคัดเลือกให้คุณแล้ว มีตัวเลือกทั้งหมดยี่สิบกว่าตัวเลือกเด่นๆ อาจารย์เหล่านี้ถ้าไม่ได้เป็นคนตำแหน่งสูง ก็เป็นบุคคลที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในวงการแพทย์ เป็นประโยชน์ต่อหน้าที่การของของคุณมาก…”
“…แล้วก็มีเหล่าบุคคลที่มีฝีมือดี มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าที่มีศักยภาพอย่างแท้จริง หลังจากที่นักศึกษาเรียนจบไปแล้วก็มาทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งก็นับว่าไม่เลว งานที่จัดหาให้เป็นตำแหน่งที่ยอดเยี่ยม บุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นในมณฑลตงหยาง…”
“…สุดท้าย…แล้วก็มีบุคคลเหล่านี้ที่จัดว่าใช้ได้เหมือนกัน เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ผมรู้สึกว่าบุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลที่ค่อนข้างมีศักยภาพ ถึงแม้ว่าระดับความอาวุโสของบุคคลเหล่านี้จะห่างไกลจากอาจารย์ที่ปรึกษาอาวุโสเหล่านั้น แต่ถึงแม่ว่าบุคคลเหล่านี้จะอายุไม่มาก อายุน้อยสุดเพิ่งจะอายุแค่สามสิบ พวกเขามีพลังของคนรุ่นใหม่ เป็นบุคลากรที่มีความสามารถ แต่ละโรงพยาบาลต่างก็ดึงตัวเข้ามาทำงาน จัดอยู่ในกลุ่มของบุคคลที่เหมาะเป็นผู้ให้คำชี้แนะ บุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลที่มีอนาคตไกลมาก…”
“…ตารางข้อมูลของอาจารย์ที่ปรึกษาทั้งยี่สิบกว่าคนที่คัดมาแล้วอยู่นี่ คุณลองดู คุณถูกใจไปทางท่านไหน ผมไปทำงานห้องข้างๆ ครู่หนึ่ง เดี๋ยวพอผมกลับเข้ามาอีกทีคุณค่อยบอกผม”
หลังจากที่พูดจบ กวนเหว่ยก็ดันเอกสารหนาปึกหนาไปตรงหน้าเฉินชาง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง
เฉินชางยิ้มด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณ “รบกวนอาจารย์กวนแล้ว!”
กวนเหว่ยหัวเราะร่วน โบกไม้โบกมือแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องเกรงใจ
ตารางข้อมูลอาจารย์ที่ปรึกษาที่คัดมามีรูปภาพ ประวัติการศึกษา หัวข้อสำคัญ วิทยานิพนธ์ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา
เฉินชางเปิดอ่านไปทีละหน้า แล้วเขาก็พบว่าบางคนเป็นคนที่เขารู้จัก
เฉียนเลี่ยง หลิวซือฉี หลี่เจี้ยนเหว่ย บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลที่เปี่ยมศักยภาพ อันที่จริงในตอนที่เฉินชางเห็นเฉียนเลี่ยง เขาค่อนข้างลังเล ถึงอย่างไรเสียภารกิจกราบอาจารย์ก็ปรากฏขึ้นบนตัวของเฉียนเลี่ยง ถ้าเขาเลือกเฉียนเลี่ยงเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาอีก จะเสียเปล่าหรือเปล่านะ
เฉินชางรู้สึกว่าการฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์ที่ปรึกษาก็จะได้รับข้อความเปลี่ยนอาชีพอยู่แล้ว ส่วนเฉียนเลี่ยง ขอแค่เฉินชางทำภารกิจเขียนวิทยานิพนธ์ให้สำเร็จ มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับใบรับรองเปลี่ยนอาชีพเป็นด้านศัลยกรรมตับและถุงน้ำดีแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ค่อนข้างที่จะเสียเปล่าอย่างไม่ต้องสงสัย!
หลี่เจี้ยนเหว่ยน่าพิจารณา คุณสมบัติใช้ได้ แถมยังเป็นยอดฝีมือในวงการศัลยกรรมกระดูก เฉินชางเคยมีปฏิสัมพันธ์กับเขาอยู่สองสามครั้ง ถ้าตนไปขอให้เขาเซ็นรับเป็นศิษย์ เขาคงไม่ปฏิเสธ ถึงอย่างไรเสียตนก็เคยช่วยชีวิตอาจารย์ของเขาไว้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินชางก็แยกหลี่เจี้ยนเหว่ยไว้ข้างซ้ายสำหรับคัดเลือก
ส่วนหลิวซือฉีเฉินชางไม่ได้พิจารณา ถึงอย่างไรเสียคุณสมบัติของหลิวซือฉีกับเฉียนเลี่ยงก็ซ้ำกัน ในเมื่อมีเฉียนเลี่ยงแล้ว หลิวซือฉีก็ถูกปัดตกไป!
หลังจากที่เฉินชางอ่านจนครบแล้ว เขาก็เจออาจารย์ที่ปรึกษาที่อายุแค่สามสิบปีเท่านั้น
แค่ดูประวัติ เฉินชางก็ถึงกับตกตะลึงในทันใด!
มหาวิทยาลัยแพทย์แคโรลินสกา[1]?
เฉินชางพบว่าตนเองดูจะเป็นคนไร้การศึกษามากขึ้นทุกทีแล้ว!
เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาต้องอาศัยไป่ตู้ในการข้อมูลวารสาร ‘ปลูกถ่ายตับ’
มาวันนี้ชื่อมหาวิทยาลัยยังต้องพึ่งไป่ตู้อีก…
เพียงแต่ว่าในครั้งนี้ ทันทีเสิร์ชชื่อมหาวิทยาลัยไป เฉินชางก็ถึงกับตกตะลึงจนตาค้าง!
มหาวิทยาลัยแพทย์แคโรลินสกา เมืองสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน!?
[1] มหาวิทยาลัยแพทย์แคโรลินสกา (Karolinska Institutet) ตั้งอยู่ที่ประเทศสวีเดน เป็นมหาวิทยาลัยแพทย์ที่มีชื่ออันดับโลก