เล่มที่ 7 บทที่ 182 ปลาตุ๋นน้ำแดงใส่หน่อไม้ดอง

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซียวหมิงจูกลับบ้านด้วยท่าทางดีอกดีใจ วิ่งเข้าไปในห้องครัว เห็นบิดามารดากำลังเตรียมอาหารอยู่ในห้องครัว ท่านป้าสี่เห็นเซียวหมิงจูกลับมาแล้ว เดิมคิดจะว่ากล่าวกับนางสักสองประโยค คิดอีกทีหนึ่ง กำลังจะเอ่ยปาก สุดท้ายก็เปลี่ยนคำพูด “กลับมาแล้วงั้นหรือ? รีบมาช่วยอีกแรง เจ้าถนัดทำอาหารหลายอย่างไม่ใช่หรือ? อาหารเที่ยงวันนี้ให้เจ้าทำแล้วกัน”

เซียวหมิงจูต้องการทำเช่นนั้นอยู่แล้ว นางมองท่านป้าสี่ ภายในใจรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดมารดาของตนเองถึงเปลี่ยนใจเร็วนัก แต่เห็นบิดาอยู่ข้างๆ ก็เข้าใจทันที รีบเข้าไปช่วย “ได้เจ้าค่ะ ข้าทำเอง! ”

เมื่อท่านลุงสี่เห็นสองแม่ลูกคืนดีกันดังเดิมแล้ว ก็ยิ้มจนตาหยี “วันนี้เดี๋ยว…”

ท่านป้าสี่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เกรงว่าเขาจะบอกเซียวหมิงจูเรื่องที่เซียวหยวนจะมาด้วย จึงพูดขัดเขาทันที “พูดอะไรกัน? ที่นี่ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว รีบจูงวัวไปกินหญ้าไป อย่ามาวุ่นวายตรงนี้! ”

กล่าวจบ ก็ผลักท่านลุงสี่ออกจากประตู สองแม่ลูกเตรียมอาหารเที่ยงด้วยกัน

อาหารมื้อนี้ ท่านป้าสี่ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพียงล้างผักหั่นผัก จากนั้นจึงใส่ฟืน เรื่องทำอาหารปล่อยให้เซียวหมิงจูทำเพียงคนเดียว

เซียวหมิงจูคิดแต่จะทำอาหารอร่อยให้เซียวยวี่ได้ลิ้มลอง จึงทุ่มเทความพยายามทั้งหมด ทำอาหารที่นางถนัด

ทางเซี่ยยวี่หลัวก็เริ่มเตรียมอาหารเที่ยงแล้ว นางไปสวนหลังบ้านจับปลาขนาดปานกลางมาสองตัว ขอดเกล็ดและนำเครื่องในออก กรีดบนตัวปลาสองที ทาเกลือบางๆ หนึ่งชั้นไว้ทั่วตัวแล้วจึงวางไว้ข้างๆ

ตักหน่อไม้ดองชามใหญ่ออกมาจากไหหมักดอง หั่นกระเทียม ขิง และพริกเตรียมไว้

หม้อใบเล็กด้านในใช้หุงข้าว เซี่ยยวี่หลัวใช้ใยบวบล้างกระทะใหญ่ด้านนอกสามรอบ ใช้ไฟแรงอุ่นกระทะจนร้อน เทน้ำมัน กระทะร้อนน้ำมันเย็น ใส่ปลาลงไป ใช้ไฟอ่อนทอดจนหนังปลากลายเป็นสีเหลืองทองทั้งสองด้าน ตักขึ้นมาวางไว้ข้างๆ

ในกระทะยังเหลือน้ำมัน เจียวกระเทียม พริก และขิงที่หั่นไว้จนหอม จากนั้นใส่หน่อไม้ดอง ซีอิ๊ว และเกลือ ผัดครู่หนึ่ง เติมน้ำลงไป รอน้ำเดือดแล้วจึงใส่ปลาที่ทอดไว้ลงในกระทะ ต้มพร้อมกัน เมื่อเดือดอีกครั้งจึงนำไปตั้งบนเตาถ่านเล็ก ต้มต่อด้วยไฟอ่อน

เดิมทีเซี่ยยวี่หลัวคิดว่าเซียวยวี่จะกินข้าวที่บ้าน วันนี้จึงนำผักตี้เอ่อแห้งหนึ่งถ้วยไปแช่น้ำไว้ ผัดผักตี้เอ่อผัดพริก ผัดครู่หนึ่งก็ตักขึ้นจากกระทะ ข้าวในหม้อด้านในหุงเสร็จแล้ว เซี่ยยวี่หลัวใช้ไข่ไก่สี่ฟองทำไข่ตุ๋น ตุ๋นเสร็จแล้ว นำอาหารทั้งสามไปวางบนโต๊ะ เซี่ยยวี่หลัวกำลังจะให้เด็กๆ ไปตามเซียวยวี่มากินข้าว

ประตูห้องข้างๆ เปิดออกดังแกร๊ก เซียวยวี่เดินออกมา

เขาไม่มองเซี่ยยวี่หลัวด้วยซ้ำ กล่าวกับเด็กสองคน “ข้าออกไปก่อน”

จากนั้นจึงมองอาหารบนโต๊ะ ก่อนเดินออกไป

เซี่ยยวี่หลัวกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กินข้าวเสร็จค่อยไปทำธุระก็ได้”

ไม่ว่าจะมีธุระอะไร อย่างน้อยก็ควรกินข้าวก่อน!

เซียวยวี่หันมองเซียวจื่อเซวียน เซียวจื่อเซวียนเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าเขาลืมบอกพี่สะใภ้ใหญ่เรื่องที่พี่ใหญ่จะออกไปกินข้าวข้างนอก

เขาเปิดปากกำลังจะกล่าว แต่พอคิดได้ว่าพี่ใหญ่ของตนก็อยู่ที่นี่ เมื่อครู่เพราะพี่ใหญ่บอกว่าจะอ่านตำรา จึงให้เขามาช่วยบอก แต่ขณะนี้เจ้าตัวอยู่ต่อหน้าพี่สะใภ้ใหญ่ เหตุใดพี่ใหญ่ถึงไม่พูดเอง ต้องให้เขาช่วยพูดด้วย?

เซียวจื่อเซวียนปิดปาก ไม่กล่าวอะไร หันมองไปทางเซียวยวี่โดยเลียนแบบท่าทางพี่สะใภ้ใหญ่ ทำท่าทีเหมือนจะบอกว่าท่านอธิบายเอง ข้าจะไม่ปริปากพูดอะไร

เซียวยวี่ทอดถอนใจด้วยความอ่อนใจ เด็กคนนี้ มีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว

“ท่านลุงสี่เชิญข้าไปกินข้าว ไม่ได้บอกเจ้า” เซียวยวี่หันไปทางเซี่ยยวี่หลัว กล่าวประโยคที่สมบูรณ์หนึ่งประโยคอย่างหาได้ยากนัก

เซี่ยยวี่หลัวเข้าใจทันที ดูท่าที่เซียวหมิงจูมาในตอนเช้า คงมาด้วยธุระเรื่องนี้

นางไม่แสดงท่าทีแง่งอน เพียงกล่าว “อ่อ เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปเถอะ จื่อเซวียนจื่อเมิ่ง เรากินข้าวกัน”

เซี่ยยวี่หลัวหันไปพาเด็กสองคนนั่งลงตรงโต๊ะ ตักข้าวให้เด็กสองคนจนพูนชาม ไม่สนใจเซียวยวี่ที่ทำสีหน้าถมึงทึงอยู่ด้านหลังแม้แต่น้อย

เซียวยวี่ขมวดคิ้วขณะมองดูอาหารสามจานบนโต๊ะ ชามหนึ่งเป็นปลา ปลานั่นใส่ไว้ในชามใบใหญ่ ในนั้นมีวัตถุดิบอื่นด้วย กลิ่นเปรี้ยวลอยล่องอยู่ในอากาศ แค่ได้กลิ่นก็แทบน้ำลายสอ

ยังมีอาหารสีดำคล้ำอีกหนึ่งอย่าง ไม่รู้ว่าคืออะไร เซียวยวี่มองอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังดูไม่ออก เหมือนว่าเขาไม่เคยกินอาหารชนิดนี้มาก่อน ในนั้นแต่งแต้มด้วยพริกแห้งสีแดง สีดำสลับแดง ดูดียิ่งนัก ข้างๆ มีไข่ตุ๋นชามใหญ่ ไข่ตุ๋นถูกตุ๋นจนเป็นสีเหลืองทอง ด้านบนมีน้ำมันและหมูสับหนึ่งชั้น พอใช้ช้อนตักลงไป ไข่ด้านในถูกตุ๋นจนอ่อนนุ่ม สีสันดูสดใหม่ เซียวจื่อเมิ่งตักมาหลายช้อน คลุกกับข้าว กินอย่างเอร็ดอร่อย

“พี่สะใภ้ใหญ่ ปลานี่อร่อยเหลือเกินขอรับ ทั้งเปรี้ยวทั้งหอม อร่อยมากๆ เลยขอรับ! ” เหมือนเซียวจื่อเซวียนจะจงใจ หันไปยักคิ้วอย่างได้ใจให้เซียวยวี่ที่ยังไม่ได้ออกไป พร้อมใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาโยกไปมา

รสเปรี้ยวของหน่อไม้ดองและกลิ่นหอมของเนื้อปลาผสานกันอย่างลงตัว ปลาตัวนั้นทั้งนุ่มทั้งอร่อย แฝงเร้นด้วยรสเปรี้ยว อร่อยจนแทบกัดลิ้น

เซียวจื่อเซวียนกินคำแล้วคำเล่า ท่าทางที่ดูเกินจริงนั่น ทำให้เซียวยวี่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เซียวหมิงจูผัดอาหารจานสุดท้ายเสร็จ กำลังจะทำความสะอาดห้องครัว ท่านป้าสี่หยิบผ้าขี้ริ้วมา กล่าวกับเซียวหมิงจู “เจ้ากลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อก่อน ดูสิบนตัวมีแต่กลิ่นน้ำมันกับควันไฟ ในตู้เสื้อผ้าเจ้ามีเสื้อสีแดงกุหลาบที่ทำขึ้นใหม่ เจ้ายังไม่เคยสวมไม่ใช่หรือ? วันนี้จะได้นำมาสวมพอดี! ”

“ท่านแม่…” เซียวหมิงจูไม่กล้าเชื่อหูของตัวเอง นางไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่ ท่านแม่กำลังให้นางไปแต่งเนื้อแต่งตัวให้งดงามที่สุดงั้นหรือ?

นางก็มีความคิดเช่นนี้เช่นกัน!

ท่านป้าสี่กล่าวเป็นเชิงให้กำลังใจ “รีบไปเถอะ จำไว้ว่าแต่งตัวให้ดูดีเข้าไว้”

เซียวหมิงจูตักน้ำอุ่นที่สะอาดหนึ่งอ่างออกจากห้องครัวไปด้วยความดีใจ กลับห้องไปแล้ว

ขณะที่นางออกไป ผ้าขี้ริ้วในมือท่านป้าสี่ก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ หันกลับไปมองท่าทางดีอกดีใจของบุตรสาวตนเอง ส่ายหน้าพร้อมทอดถอนใจ!

เซียวหมิงจูล้างมือและหน้าจนสะอาด เลือกเสื้อและกระโปรงที่นางคิดว่าสวยที่สุดและขับผิวให้ดูเด่นที่สุดออกมาจากตู้เสื้อผ้า ทำทรงผมที่สวยที่สุด ปักปิ่นที่นางคิดว่าดูดีที่สุด หญิงสาวบ้านไหนบ้างจะไม่มีเครื่องประทินโฉม เซียวหมิงจูนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ใช้เครื่องประทินโฉมที่นางไม่ได้ใช้มาสามเดือนกว่า

ถึงแม้เซียวหมิงจูจะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ก็มักจะได้ยินคนกล่าวว่า นักรบยอมพลีชีพเพื่อสหายรู้ใจ สตรีแต่งแต้มโฉมเพื่อคนที่ตนมีใจ

นางไม่เข้าใจความหมายของคำพูดประโยคแรก แต่ประโยคหลัง นางเข้าใจ

เซียวยวี่คือคนที่นางมีใจให้ นางจะแต่งกายให้สวยสดงดงาม เพื่อเดินเข้าไปในใจเขา

ท่านป้าสี่ยกอาหารเข้าไปในห้อง เก็บกวาดห้องครัวเสร็จแล้ว จึงยืนชะเง้อคอรอคอยอยู่หน้าประตู

ภายในใจนางคิดถึงแต่ชื่อเซียวหยวน เซียวหยวน และแล้ว คนที่เดินมาจากทางบ้านเซียวหยวน ก็คือเซียวหยวนไม่ใช่หรือ?

เด็กคนนั้นมาแล้ว