บทที่ 48.2 ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

หลังจากที่พวกเขากลับไปถึงบ้านแล้ว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ออกไปซื้อเสบียงอีกครั้ง เธออาศัยอยู่กับแม่ตั้งแต่ยังเล็กและไม่มีปัญหาในการทำอาหาร ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้วยกันในบ้านที่ตั้งอยู่นอกหอพัก ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องรับหน้าที่เป็นแม่ครัว สำหรับโจวเหว่ยชิง เมื่อมาถึงเขาก็รีบกลับเข้าไปในห้องทันที ก่อนหน้านี้เขาได้มอบเงิน 450,000 เหรียญทองให้หยางเจ๋อชีดูแลทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงต้องการหารายได้เพิ่ม ตอนนี้เขายังเหลือกระดาษศาสตรามณียุทธ์ หมึกศาสตรามณียุทธ์ที่ได้จากฮูเหยียนเอ้าป๋อ และหมึกศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางอีกนิดหน่อย เขาตัดสินใจจะสร้างและขายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง 2-3 กล่องก่อนที่จะดำเนินการตามแผนขั้นต่อไป อย่างไรก็ตาม ในอนาคตเขาจำเป็นต้องซื้อวัตถุดิบอีกมากเพื่อสร้างหมึกศาสตรามณียุทธ์สำหรับม้วนคัมภีร์หลากหลายประเภท ทั้งหมดก็เพื่อทำให้แผนการณ์ของเขาบรรลุผลด้วยดี

ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ตั้งแต่ระดับกลางเป็นต้นไป ในหนึ่งกล่องจะไม่ต้องใช้ม้วนคัมภีร์ 1,000 แผ่นอีก เพราะเพียงแค่ 100 แผ่นก็ใช้ได้แล้ว แน่นอนว่าสำหรับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง ใน 100 แผ่นไม่จำเป็นต้องรับประกันความสำเร็จ แต่ถ้าหากทำได้ คุณภาพก็จะดีกว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานและอัตราความสำเร็จก็จะสูงกว่ามากเช่นกัน

การที่โจวเหว่ยชิงบอกว่าตนสามารถกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงได้ภายในระยะเวลา 4 ปีนั้นเขาไม่ได้พูดเกินจริงเลยด้วยซ้ำ ท้ายที่สุดแล้วด้วยระดับพลังปราณของเขาในตอนนี้ นั่นก็เพียงพอที่จะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงแล้ว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาต้องเร่งมือทำมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการฝึกฝนสร้างหมึกศาสตรามณียุทธ์และม้วนคัมภีร์จริง หากเขาสามารถออกแบบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงได้ ในขั้นต่อไปเขาก็จะสามารถสร้างมันได้ อย่างไรโจวเหว่ยชิงก็มีทักษะธาตุกาลเวลาเป็นตัวช่วยอยู่แล้ว หากฝึกฝนเพิ่มพูนประสบการณ์ให้มากขึ้น เขาก็จะสามารถกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงที่ ‘แท้จริง’ ได้อย่างง่ายดาย

ม่านพลังสีทอง เขียว และไร้สีเปล่งประกายอยู่รอบๆ ข้อมือของโจวเหว่ยชิง พวกมันหมุนวนเป็นวงกลมจากนั้นก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน ม้วนคัมภีร์แผ่นแล้วแผ่นเล่าล้วนเสร็จสมบูรณ์ด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนไหนทำได้ ในแง่ของความเร็วขณะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางนั้น แม้แต่ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ไม่สามารถเทียบกับโจวเหว่ยชิงได้ เพราะถึงอย่างไรโจวเหว่ยชิงก็มีทักษะธาตุลมเพื่อใช้เร่งความเร็ว ทั้งยังมีทักษะธาตุกาลเวลาที่ใช้รับประกันความสำเร็จ

หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน โจวเหว่ยชิงก็ใช้เวลาที่เหลือในช่วงบ่ายไปกับการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ สำหรับการฝึกปราณสวรรค์ เขาไม่ได้กังวลมากนักเนื่องจากวิชาเทพอมตะของเขาสามารถช่วยเหลือเรื่องนี้ได้ แน่นอนว่าขณะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เขาก็ต้องใช้พลังปราณสวรรค์อย่างต่อเนื่องด้วย ดังนั้นหลุมดำพลังปราณทั้ง 12 แห่งจึงดึงพลังปรานจากชั้นบรรยากาศภายนอกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแค่ช่วยฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ที่ถูกเขาใช้ไปกับการสร้างม้วนคัมภีร์เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มระดับพลังปราณของเขาในเวลาเดียวกันด้วย! นับตั้งแต่จุดตายฉีไห่ของเขาถูกทะลวง แม้ว่าจำนวนพลังปราณที่ต้องใช้เพื่อไปให้ถึงระดับแรกของขั้นทะลวงพิภพจะสูงกว่าทุกครั้งก่อนหน้านี้ แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังรู้สึกถึงระดับพลังปราณสวรรค์ของเขาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับเจ้าแมวอ้วน มันยังคงนอนแผ่หราอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมในห้องและงีบหลับตามปกติราวกับกำลังอาบแสงแดดที่ส่องเข้ามาจากทางหน้าต่าง เมื่อโจวเหว่ยชิงหันไปมองมันบ้างเป็นครั้งคราว เขาก็รู้สึกอิจฉาที่มันสามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจ

โจวเหว่ยชิงทำงานหัวหมุนจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ในที่สุดเขาก็เอนกายลงบนเก้าอี้และมองไปที่ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางทั้ง 6 กล่องเบื้องหน้าด้วยความพึงพอใจ ตอนนี้กระดาษและหมึกศาสตรามณียุทธ์ที่เขานำติดตัวมาเกือบจะหมดแล้ว หากเขาต้องการสร้างม้วนคัมภีร์เพิ่ม เขาคงต้องหาซื้อวัตถุดิบอีกครั้ง

โจวเหว่ยชิงเหยียดกายอย่างเกียจคร้าน เขาทุบหน้าอกตนเองอย่างมีความสุขและพึมพำว่า “ข้านี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ! อืมม…ม้วนคัมภีร์ 6 กล่องนี้ข้าจะมอบให้เพื่อนร่วมห้อง 1 กล่องเพื่อสร้างความประทับใจ ส่วนอีก 5 กล่องจะนำไปขายหารายได้ซื้อวัตถุดิบเพิ่ม ฮิๆ ทั้งห้องมีแค่ 20 กว่าคนเท่านั้น ความเร็วในการฝึกปราณของพวกเขาจะเทียบกับความเร็วในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของข้าได้อย่างไร ฮ่าๆ”

โจวเหว่ยชิงเก็บม้วนคัมภีร์ทั้ง 6 กล่องไว้ในสร้อยมิติของเขา จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อฝึกปราณ ไม่ใช่เพียงแค่ฟื้นฟูและบ่มเพาะพลังปราณสวรรค์ของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นการผ่อนคลายจิตวิญญาณของเขาหลังจากทำงานมาตลอดทั้งบ่าย

ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นแล้วทว่าหมิงฮัวก็ยังไม่กลับบ้าน แผนของโจวเหว่ยชิงคือการไปหาเธอคืนนี้เพื่อพูดคุยกัน เห็นได้ชัดว่าเพื่อความปลอดภัยของทั้งเขา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ รวมไปถึงอาณาจักรของเขา มีความเป็นไปได้เพียง 2 อย่างระหว่างหมิงฮัวกับเขา หนึ่งคือให้หมิงฮัวยอมประทับตราธาตุมืดเพื่อเป็นผู้ติดตามของเขา ส่วนทางที่สองก็คือกำจัดเธอทิ้งไป

ตอนนี้เขาตัดสินใจได้แล้วและจะไม่ลังเลอีกต่อไป อย่างไรเขาก็ไม่อาจแบกรับความเสี่ยงเช่นนี้ได้ ไม่อย่างนั้นทุกคนอาจต้องเผชิญกับความสูญเสียและความตายในที่สุด

หลังจากทานอาหารเย็นกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้ว โจวเหว่ยชิงก็ใช้ข้ออ้างว่าต้องการพักผ่อนหลังสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เพื่อกลับไปที่ห้องก่อนเวลา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร เธอรีบมุ่งหน้ากลับไปที่ห้องพักเพื่อฝึกปราณต่อ อันที่จริงเธอมุ่งมั่นและหมั่นฝึกปราณมาโดยตลอดแม้ว่าความเร็วของเธอจะเทียบไม่ได้กับโจวเหว่ยชิงเพราะวิชาเทพอมตะของเขา แต่ด้วยนิสัยพื้นฐานของเธอ เธอก็ไม่ได้ทำตัวเหลวไหลเช่นกัน

หลังจากกลับไปที่ห้อง โจวเหว่ยชิงก็ยังคงทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูจิตวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าพลังปราณสวรรค์ของเขาเพิ่มขึ้นถึงขีดสุดแล้ว เขาหวังเพียงว่าคืนนี้หมิงฮัวจะกลับบ้าน ไม่เช่นนั้นการเตรียมการทั้งหมดของเขาคงจะต้องเสียเปล่า

ท้องฟ้ามืดลงแล้ว ทว่าบ้านเช่าของพวกเขาก็ค่อนข้างเงียบสงบเมื่อเทียบกับความคึกคักบริเวณอื่นๆ ในเมือง   หลวงเฟยหลี่

เมื่อเวลาผ่านไป โจวเหว่ยชิงที่ฟื้นพลังกลับมาอย่างเต็มที่แล้วก็ค่อยๆขมวดคิ้วขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนขาดความอดทน หลังจากใช้เวลา 2 ปีในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ เขาก็ได้หล่อหลอมนิสัยอดทนอดกลั้นขึ้นมาพร้อมๆ กัน อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่าหากไม่รีบจัดการกับหมิงฮัว สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปมากและนั่นอาจส่งผลร้ายต่อเขาได้ เขาลังเลอีกครั้ง คิดว่าควรจะให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ย้ายกลับไปที่หอพักของโรงเรียนเพื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเองดีหรือไม่ ด้วยวิธีนี้ เธอจะไม่ได้รับผลกระทบหากข่าวสถานะปีศาจกลายร่างของเขาถูกเผยแพร่ออกไป ทั้งยังสามารถรับมือกับมันจากอีกฝั่งหนึ่งได้

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากด้านนอก หูของโจวเหว่ยชิงกระดิกเล็กน้อย สีหน้าของเขาพลันสงบลง จากนั้นรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าเมื่อรู้ว่าในที่สุดหมิงฮัวก็กลับมาแล้ว

หมิงฮัวเพิ่งกลับมาถึง ขณะเธอก้าวเข้ามาในเขตบ้านเช่าหลังนี้ เธอก็เหลือบมองไปที่ห้องของโจวเหว่ยชิงก่อนจะเข้าไปในห้องของตัวเอง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่ได้เห็นก็คือตอนนี้ดวงตาของหมิงฮัวมีประกายเยือกเย็นราวกับว่าเธอมั่นใจและกระจ่างแจ้งแล้ว

เมื่อประตูห้องของหมิงฮ่าวปิดลง บ้านทั้งหลังก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้งและท้องฟ้าข้างนอกพลันเปลี่ยนเป็นสีมืดสนิท

ตอนนี้หมิงฮัวกลับมาแล้ว โจวเหว่ยชิงจึงไม่มีท่าทีกระสับกระส่ายอีก แม้ว่าเขาจะต้องการจัดการกับเธอให้เร็วที่สุด แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รับรู้เรื่องนี้ ข้างนอกยังคงมีเสียงคึกคักจอแจอยู่ ดังนั้นเขาควรรอจนกว่าจะถึงกลางดึกที่เงียบสงบเพื่อดำเนินการตามแผน

ในขณะนี้โจวเหว่ยชิงเริ่มตั้งสมาธิไปที่การฝึกปราณ หลุมดำพลังปราณที่จุดตายทั้ง 12 จุดของเขาเริ่มหมุนวนด้วยความเร็วที่มากขึ้น ดึงดูดพลังปรานสวรรค์จากชั้นบรรยากาศและกระจายไปยังทุกส่วนของร่างกาย ขณะพลังปรานสวรรค์กำลังไหลเวียนไปทั่วร่าง ทุกครั้งที่กระแสพลังปรานสวรรค์ที่มีสถานะเป็นของเหลวเคลื่อนผ่านหลุมดำพลังปราณแต่ละแห่ง มันก็จะเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อยทำให้การไหลเวียนทั้งหมดเร็วขึ้นอย่างช้าๆ ดังนั้นการดูดกลืนพลังปรานเพิ่มอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสมดุลให้กับความเร็วที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้จึงทำให้ระดับพลังปราณของเขาค่อยๆ คงที่

ทุกลมหายใจของโจวเหว่ยชิงนั้นใช้เวลายาวนาน คล้ายกับว่านั่นคือจังหวะลมหายใจที่แปลกประหลาด…บ่งบอกถึงความนัยบางอย่างที่ลึกล้ำและมหัศจรรย์ ทุกครั้งที่เขาหายใจ พลังปราณสวรรค์ก็จะไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเขาในครั้งเดียว วิชาเทพอมตะนั้นน่าประทับใจมาก แม้ว่ามันจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดและเป็นอันตรายต่อผู้ฝึก แต่มันก็ยังมีประโยชน์มากมาย ตอนนี้วิชาเทพอมตะของเขามาถึงขั้นสุดท้ายของส่วนที่ 2 แล้ว ทันทีที่เขาสามารถรวบรวมพลังปราณและใช้มันได้อย่างเชี่ยวชาญเต็มที่ เขาก็จะสามารถทะลวงมันได้สำเร็จอีกขั้น

เวลาที่ใช้ไปกับการฝึกปราณผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ดูเหมือนว่าผิวหนังของโจวเหว่ยชิงจะปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวสลัวที่กำลังหมุนวนอยู่รอบตัวเขา นี่เป็นสัญญาณว่าในที่สุดระดับพลังปราณสวรรค์ของเขาก็เข้าสู่ขั้นทะลวงพิภพ หากสามารถไปถึงระดับสูงสุดของขั้นทะลวงพิภพได้ เวลาเขาเริ่มหมุนเวียนพลัง โล่แสงสีขาวก็จะโผล่ขึ้นมาล้อมรอบตัวเขาโดยอัตโนมัติ แต่แน่นอนว่าในขณะนี้โจวเหว่ยชิงยังอยู่ห่างจากระดับดังกล่าวมาก

เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงกลางดึก ทั่วทั้งเมืองต่างเริ่มเงียบสงบและแสงไฟด้านนอกก็หรี่ลงเช่นกัน

ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเบิกขึ้นเพราะถูกปลุกด้วยความตื่นตระหนก ประสาทสัมผัสของเขาเฉียบคมมากขึ้นเมื่อพลังของเขาขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง ดวงตาพลันเปล่งแสงสว่างจ้าออกมา คล้ายกับสายฟ้าขนาดเล็กที่ทำให้ห้องสว่างขึ้นในเสี้ยววินาที สายตาอันเฉียบแหลมของเขาจดจ่อไปที่หน้าต่างห้องฝั่งตรงข้ามซึ่งค่อยๆ เปิดอ้าออก

*วูบ* ร่างหนึ่งกระโจนเข้ามาจากทางหน้าต่างพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยเข้ามา

“นี่มันดึกดื่นแล้ว เจ้ายังฝึกปราณอยู่อีกหรือนี่ แท้จริงแล้วความสำเร็จทุกอย่างไม่ได้เกิดมาจากอัจฉริยะหรือพร สวรรค์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฝึกฝนอย่างหนักด้วยสินะ” คนที่เข้ามาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหมิงฮัว

ขณะนี้หมิงฮัวสวมชุดสีดำรัดรูป ขับเน้นส่วนที่โค้งเว้าที่สมบูรณ์แบบของเธอ ไม่ใช่แค่ขนาดหน้าอกที่ดูเย้ายวนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงส่วนโค้งเว้าที่สวยงามของเธอด้วย ทั้งหมดนี้รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นเสน่ห์ที่น่าตกใจ

อย่างไรก็ตาม หมิงฮัวรู้สึกประหลาดใจที่เห็นโจวเหว่ยชิงผู้ซึ่งมองเธออย่างหื่นกระหายเมื่อตอนกลางวันกำลังนั่งมองเธอด้วยดวงตาใสสะอาดและมีกระทั่งความเย็นชาแฝงอยู่ในนั้น ในตอนนี้บุคลิกและกลิ่นอายของเขาดูเหมือนจะผิด แผกไปจากตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้ดูเย่อหยิ่งหรือหื่นกระหายอีกต่อไปเนื่องจากตอนนี้อีกฝ่ายดูสุขุมและเยือกเย็นมาก แม้ว่าเขาจะแต่งตัวด้วยชุดเสื้อผ้าที่เรียบง่าย แต่เมื่อเขานั่งอยู่ตรงนั้น เขาก็ดูเหมือนจะกลายเป็นจุดศูนย์กลางของห้องนั้นไปโดยปริยาย

หมิงฮัวไม่รู้ว่านี่เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่น่าทึ่งของวิชาเทพอมตะ โจวเหว่ยชิงเข้าสู่กระบวนการฝึกปราณมาเป็นเวลาระยะหนึ่งและยังคงจมอยู่กับความนิ่งสงบนั้น แน่นอนว่าหมิงฮัวเป็นคนที่น่าดึงดูดอย่างยิ่งสำหรับเขา แต่อย่าลืมว่าเจ้าอ้วนน้อยของเราเป็นคนที่กลัวความตายมาก เมื่อหมิงฮัวกลายเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของเขา แม้ว่าเธอจะสวยกว่านี้อีกสิบเท่า ต่อหน้าเขาเธอก็เหมือนกับโครงกระดูกของคนตาย! เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหมิงฮัวจะมาตามหาเขาจริงๆ ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายโผล่มาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้ เขาจึงระแวดระวังมากและไม่ตกหลุมพรางเสน่ห์ของเธอง่ายๆ

“นี่ก็ดึกแล้ว อาจารย์มาที่นี่ทำไม?” ไม่ใช่แค่หมิงฮัว โจวเหว่ยชิงเองก็ลดเสียงลงด้วย เมื่อรวมกับพลังปราณสวรรค์ที่พวกเขาใช้สะกัดกั้นเสียงเอาไว้ แม้ว่าคนข้างนอกจะพยายามแอบฟัง คนๆ นั้นก็ไม่มีทางได้ยินอะไรได้

หมิงฮัวปรายตามองเขาด้วยความขมขื่นเล็กน้อย “ข้าถึงกับมาหาเจ้าที่นี่ตอนดึก แต่นี่คือวิธีที่เจ้าปฏิบัติกับข้างั้นหรือ?”

………………………………