ภาคที่ 3 บทที่ 85 เกลี้ยกล่อม

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 85 เกลี้ยกล่อม

มือซูเฉินชะงักค้างไปขณะที่กำลังวางถ้วยชาก่อนจะถอนใจออกมา “ถือว่าเจ้าแวะมาได้ถูกที่แล้ว”

จีหานเยี่ยนเอ่ยเสียงฉงน “หมายความว่าอย่างไร ?”

ซูเฉินเล่าเรื่องที่เขาพบกับเว่ยเหลียนเฉิงให้นางฟัง

นางฟังซูเฉินเล่าจบ จีหานเยี่ยนก็นิ่งไปนาน “หากดูจากสิ่งที่เจ้าเล่ามา เขาพบเผ่าวิญญาณเข้าจริง ๆ”

“น่าเสียดายที่กลายเป็นหุ่นเชิดให้พวกนั้นไป” ซูเฉินถอนใจ “รองเจ้ากรมถูกพวกเผ่าวิญญาณคุมทั้งจิตและร่างกายไว้แล้ว น่าเศร้านัก !”

เผ่าวิญญาณมีร่างกายไร้ตัวตน ดังนั้นจึงเชี่ยวชาญซุ่มโจมตีจิต มีหลากหลายวิชาในการเอาเป้าหมายมาเป็นทาสรับใช้ อาจกล่าวว่าเผ่าวิญญาณทุกคนนั้นเป็นจินหลิงเอ้อร์ โจวจวินเจีย หรือจะเป็นจูเซียนเหยา หรืออาจจะแกร่งกว่าพวกนางด้วยซ้ำไป

เพราะสิ่งมีชีวิตที่ถูกเผ่าวิญญาณควบคุมจะยังมีสตินึกคิด เพียงแต่จะยอมตายเพื่อนายตนได้เท่านั้น

“ซูเฉิน เจ้าต้องช่วยข้าจับไอ้เผ่าวิญญาณนี่ให้ได้ !” จีหานเยี่ยนตบโต๊ะดังปัง ใบหน้าโกรธขึ้ง

ไม่แปลกที่นางจะโกรธ การถูกเผ่าวิญญาณจับไปเป็นทาสนับเป็นสิ่งที่ทุกเผ่ารังเกียจนัก

“ย่อมได้ หากเจ้ามีเบาะแสก็มาหาข้าได้ตลอด” ซูเฉินพยักหน้ารับ

ระหว่างสหายไม่จำเป็นต้องมากพิธี หากช่วยได้ ซูเฉินก็ไม่คิดปฏิเสธ

เย็นวันนั้น อวิ๋นเป้าก็ถูกเรียกตัวมา คนทั้งสี่ดื่มกินกันจนหนำใจ

หลังดื่มกันจนเมาไปบ้างแล้ว ซูเฉินก็ลอบถามเจียงซีสุ่ย “เจ้ากับนาง…… เป็นอย่างไรแล้ว ?”

เจียงซีสุ่ยรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงตนกับจีหานเยี่ยน ได้แต่ส่ายหน้าหัวเราะขื่นออกมา “ถึงข้าจะชอบนาง แต่รักของข้ากลับคล้ายกลีบดอกร่วงโรยที่ถูกคลื่นน้ำบ้าคลั่งซัดจนหายไป”

เป็นน้ำเสียงอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวนัก

นับตั้งแต่เขาเป็นศิษย์สถาบัน เขาก็ปักใจอยู่แต่กับจีหานเยี่ยน ทว่าจีหานเยี่ยนกลับไม่เคยมองเขาดี เมินเฉยเย็นชาต่อเขาตลอดมา

ถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น แม้เจียงซีสุ่ยจะออกเดินทางไกลมาหาจีหานเยี่ยน แต่นางก็ยังปฏิบัติราวกับเขาเป็นคนใช้

คนอื่น ๆ ต่างริษยาใจของเจียงซีสุ่ย แต่ไม่เคยรู้เลยว่าใจจริงเขารู้สึกขื่นขมเพียงไหน

ซูเฉินถามเช่นนี้ทำให้เจียงซีสุ่ยเริ่มเผยความขมขื่นภายในออกมา

เห็นเช่นนี้ ซูเฉินก็ส่ายหน้าเบา ๆ “มีสตรีใดที่เกี้ยวไม่ได้บ้างเล่า ? เจ้าอาจกำลังใช้ผิดวิธีก็เท่านั้น”

“ผิดวิธีหรือ ?” เจียงซีสุ่ยตกตะลึงไป

ซูเฉินเดินไปพูดไป มุ่งหน้าไปยังสวนด้านหลัง

เจียงซีสุ่ยเข้าใจ รีบเดินตามไปทันที

หลังเดินมาถึงสวนดอกไม้ที่ด้านหลัง ซูเฉินก็พลันเอย “เจ้ารู้นิสัยจีหานเยี่ยนดี หัวแข็ง เย่อหยิ่ง ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้โดยง่าย สตรีเช่นนางเกลียดบุรุษอ่อนแอนุ่มนวลเป็นที่สุด ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าอ่อนแอหรอกนะ แต่จะสยบนางได้ เจ้าต้องเผยความแกร่งเหนือนางให้ได้ก่อน”

“แล้วข้าต้องทำเช่นไร ? ต้องสู้กับนางหรือ ? ต้องเอาชนะนาง ?” เจียงซีสุ่ยถาม

ซูเฉินโบกมือหัวเราะ “เช่นนั้นไม่เรียกเผยความแกร่ง นั่นเรียกรนหาที่ตาย หลาย ๆ คนอยากแสดงให้สตรีเห็นว่าตนเองทรงพลัง แต่นับเป็นความผิดขนานใหญ่ พลังของบุรุษไม่ได้มาจากการเอาชนะพวกนางได้ แต่มาจากความสำเร็จทั้งหลายและความกล้าหาญทางด้านการต่อสู้ต่างหาก”

“ความสำเร็จทั้งหลายและความกล้าหาญทางด้านการต่อสู้ ?” เจียงซีสุ่ยชะงักไป

ซูเฉินถอนใจ “เจ้าไม่ได้เข้าสำรวจซากโบราณลุ่มน้ำทอง คงจะเป็นเพราะฐานะเบื้องหลังเจ้า โชคร้ายนักที่เจ้าพลาดโอกาสดีที่จะเผยความแกร่งให้นางเห็น ซีสุ่ยเจ้าเคยถามตัวเองบ้างไหมว่าเจ้ามีความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไรบ้างนับแต่จบจากสถาบันมา ?”

เจียงซีสุ่ยอ้าปาก แต่ไม่รู้จะพูดอะไร

ซูเฉินว่าต่อ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีพื้นเพไม่ธรรมดา แต่คนอย่างจีหานเยี่ยนไม่สนพื้นเพหรอก เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าเป็นคนไร้สายเลือด แต่กู่ชิงลั่วก็ยอมเคียงข้างข้า แต่หากข้าคิดชิงจีหานเยี่ยนจากเจ้า ข้าก็มั่นใจว่านางจะยอมเป็นภรรยารองให้คนไร้สายเลือดอย่างข้า ดีกว่าไปเป็นสตรีของเจ้า ? นั่นก็เพราะจนถึงตอนนี้ เจ้ายังไม่มีความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน อีกทั้งความรุดหน้าของเจ้าในห้องโถงกลั่นร้อยวิชาเจ้ายังต้องคอยควบคุมเลย ใช่หรือไม่ ?”

เจียงซีสุ่ยเหม่อลอยไปไม่รู้จะตอบอย่างไร

ซูเฉินถอนใจพลางตบไหล่อีกฝ่าย “รู้จักซ่อนตนก็เป็นเรื่องดี แต่นั่นจะเหมาะกับคนที่ทำอะไรสำเร็จแล้ว หากเจ้ายังไม่เคยประสบความสำเร็จใด เจ้าจะซ่อนตัวไปไย ? เช่นนั้นไม่เรียกซ่อนตัว เขาเรียกวางท่า !”

หลายปีในสถาบัน เจียงซีสุ่ยไม่ทำสิ่งใด มีเพียงอันดับ 3 ในห้องโถงกลั่นร้อยวิชาเท่านั้น กระทั่งเรื่องนี้เขายังทำโดยข่มพลังที่แท้จริงเอาไว้ สำหรับเขามองว่ามันคือการวางตัวไม่โดดเด่นไม่เผยตน แต่สำหรับซูเฉินคือการทำตัวคล้ายคนโง่

จีหานเยี่ยนชื่นชมบุรุษแกร่ง แต่เขากลับเอาแต่ลอยไปลอยมา พอมีโอกาสได้เผยความแกร่งตนก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เช่นนี้สนุกมากนักหรือ ?

ซูเฉินเองก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องชื่อเสียง แต่เขามีเป้าหมายให้ไล่ตามเป็นของตนเอง เป็นคนที่อยากทำการใหญ่ให้สำเร็จ

แม้ทั้งสองจะมีปูมหลังแตกต่าง แต่พื้นฐานการกระทำกลับแตกต่างกันยิ่งกว่า

หรือก็คือสิ่งที่เจียงซีสุ่ยทำคือสิ่งที่จีหานเยี่ยนเกลียดนั่นเอง

หากจู่ ๆ จีหานเยี่ยนเกิดสนใจเขาขึ้นมาสิจึงจะแปลก

เจียงซีสุ่ยไม่เคยรู้มาก่อน แต่เมื่อซูเฉินกล่าวให้ฟังเช่นนี้เขาก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ทั่วร่างชาไปหมด

เดิมทีเขาคิดเพียงว่าหากติดตามจีหานเยี่ยนไปไหนมาไหนก็จะทำให้นางชอบพอเขาได้ แต่กลับไม่คิดว่านางจะเกลียดการกระทำเช่นนี้ที่สุด

“บุรุษก็ควรมีความฝัน มีความกล้าหาญเป็นแบบฉบับของตน ถึงเจ้าจะเป็นลูกนอกสมรส ไม่อาจสืบทอดอำนาจตำแหน่งใดก็ตาม เจ้าก็ควรเลือกหนทางเป็นของตนเองสักทางหนึ่ง ในสายตาจีหานเยี่ยน ถึงเจ้าจะตัดสินใจผิด แต่นั่นก็ดีกว่าการไม่ตัดสินใจทำอะไรเลย! นางไม่ใช้คนที่ชอบคนที่เจอทางแยกสามทางแล้วมัวแต่ยืนลังเลหรอก !” ซูเฉินเอ่ยตามตรง

เจียงซีสุ่ยได้ยินก็ถอนใจยาว ก้มหัวให้ซูเฉิน “พี่ซูรู้ตัวตนข้าแล้วนี่เอง ขอบคุณที่ชี้แนะ ซีสุ่ยเข้าใจแล้ว”

ซูเฉินตบไหล่อีกฝ่ายอีก “เจ้าเข้าใจก็ดี”

“เช่นนั้นพี่ซูคิดว่าข้าควรทำอย่างไรต่อ ?” เจียงซีสุ่ยถามต่อ

ซูเฉินตอบ “อย่างแรก ออกห่างจากจีหานเยี่ยน อย่าทำตัวเป็นสัตว์เลี้ยงที่เดินตามนางต้อย ๆ ในเมื่อตอนนี้นางเกลียดเจ้า เจ้าทำอะไรก็ไร้ประโยชน์ ใช้กลยุทธ์ถอยเพื่อรุกก็ไม่เลว”

“แต่ข้ากลัวว่าหากข้าจากไปตอนนี้ หานเยี่ยนอาจจะลืมข้าได้ เกิดมีใครเข้ามายามข้าไม่อยู่……” เจียงซีสุ่ยลังเล

ซูเฉินเอ่ยเสียงเหยียด “จะรักษาภาพลักษณ์แย่ ๆ ในสายตานางไปทำไมกัน ? เวลาทำให้คนลืมเลือน กระทั่งภาพจำแย่ ๆ ก็หายไปได้ ตอนนี้นางตัดสินเจ้าว่าเป็นคนอ่อนแอ หากเป็นข้า ให้นางลืมข้าไปเสียดีกว่า จากนั้นกลับมาลองใหม่อีกครั้ง ส่วนเรื่องจะมีคนเข้ามาตอนเจ้าไม่อยู่…… เชื่อข้าเถอะ จีหานเยี่ยนนิสัยเช่นนี้ ไม่มีใครสยบนางได้หรอก อีกทั้งหากมีคนเข้ามาจริงก็ไม่ต่างกับตอนที่มีเจ้าอยู่ อีกทั้งถ้ารั้งอยู่ยังจะเป็นผลร้ายเสียอีก”

เจียงซีสุ่ยตะลึงไป “คงไม่แย่ขนาดนั้นกระมัง ?”

“ที่น่ากลัวที่สุดคือแม้จะตกอยู่ในอันตรายใกล้ตาย แต่กลับไม่รู้สึกถึงอันตรายนั้น…… พี่เจียง เจ้าไม่รู้จักสถานการณ์ตนเอาเสียเลย”

“……” เจียงซีสุ่ยได้แต่พยักหน้า “แล้วเรื่องที่สองเล่า ?”

“ไปสร้างความสำเร็จยิ่งใหญ่เสีย ต้องเป็นสิ่งที่ทำให้นางเปลี่ยนมุมมองต่อเจ้าได้ ไปสร้างชื่อในใต้หล้า เผยด้านที่เป็นบุรุษของเจ้าออกมาเสีย ! พี่เจียง ข้าเชื่อว่าเจ้าเป็นคนฉลาดและกล้าหาญ แต่ความชอบที่มีต่อจีหานเยี่ยนกดข่มพรสวรรค์ตนเองเอาไว้ จากจีหานเยี่ยนไปเสีย ออกไปสำแดงพลังให้ถึงขีดสุดในสถานที่กว้างใหญ่ นับเป็นหนทางเดียวที่เจ้าจะได้เปล่งประกาย ให้นางได้เห็นว่าเจ้าไม่ธรรมดา”

“แต่เจ้าก็รู้พื้นเพข้าดี หากข้าทำตัวเสนอหน้าเกินไป ข้าเกรงว่า……” เจียงซีสุ่ยลังเล

“ก็ต้องดูว่าเสนอหน้าในด้านใด ไม่ใช่พวกเขากลัวว่าเจ้าจะมีความทะเยอทะยาน คิดชิงอำนาจหรือ ? หากสิ่งที่เจ้าทำไม่ช่วยเรื่องชิงอำนาจ อีกทั้งยังส่งผลลบต่อเรื่องนั้น ยิ่งเจ้าเสนอหน้าโดดเด่น พวกเขาสิต้องยิ่งยินดี”

“เจ้าหมายความว่า……”

“ไปเป็นโจรสลัดเสียสิ !” ซูเฉินตอบ

มาถึงตอนนี้ ซูเฉินก็เผยหางจิ้งจอกออกมาแล้ว