บทที่ 86 เทพอสูร
ใช่แล้ว ซูเฉินพูดมาทั้งหมดนี่เพื่อหลอกเจียงซีสุ่ยให้ไปเป็นผู้บัญชาการกองกำลังสามสายธาร
สถานการณ์ปัจจุบันในบึงหลิงหยวนนั้นซับซ้อนมาก
หลังเกิดศึกใหญ่ที่บึงหลิงหยวน กลุ่มโจรสลัดใหญ่ ๆ ก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก มีเพียงกองกำลังสามสายธารที่ยังรักษากำลังไว้ได้ จึงเหมาะสมแก่เวลาสับเปลี่ยนอำนาจอีกคราหนึ่ง
หากแต่ซูเฉินยังไม่ให้กองกำลังสามสายธารเผยตัว ยังคงเร้นกาย แสร้งว่าสูญเสียใหญ่หลวงและหวาดกลัวคนด่านสู่พิสดารจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง ด้วยถึงแม้พวกตาแก่ด่านสู่พิสดารอาจไม่สนการเสียประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หากมาแตะถึงรากฐานของตระกูลละก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้
บึงหลิงหยวนเกี่ยวพันกับการขนส่งสินค้าทางน้ำ แม้ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเมืองธารน้ำใสไม่อาจควบคุมมันได้แต่เพียงผู้เดียว แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมันให้หลุดมือไปได้แน่
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซูเฉินก็ได้แต่จ้องบึงหลิงหยวนที่คล้ายกับเนื้อชิ้นโต แต่ไม่อาจกลืนมันลงคอได้
อีกด้านหนึ่ง การจากไปของถังหมิงและคนอื่น ๆ ก็ทำให้กองกำลังสามสายธารอ่อนแอลงมาก
แม้อู๋เสี่ยวจะรั้งอยู่ แต่ให้เขาจัดการดูแลคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่หากเจียงซีสุ่ยเต็มใจรับมือเรื่องนี้ให้ ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
แม้จะทำตัวประจบประแจงต่อหน้าจีหานเยี่ยน แต่เขาก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ แรงรักของเขาเพียงกดข่มพลังทุกอย่างของเขาไว้ต่างหาก รวมถึงสติปัญญาของเจ้าตัวด้วย แต่หากเขายอมจากจีหานเยี่ยนมาเข้าร่วมกองกำลังสามสายธาร เขาก็มีความสามารถคุมกองกำลังได้ด้วยเป็นลูกหลานจากตระกูลสูง อีกทั้งทำเช่นนี้ยังทำให้ตระกูลของเขาวางใจ ด้วยรู้ว่าเจียงซีสุ่ยไม่คิดกลับไปชิงอำนาจ
สุดท้ายคือสายเลือดของเจียงซีสุ่ยนั้น นอกจากใช้สู้ในน่านน้ำได้แล้วยังต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารได้ นับเป็นคนไม่กี่คนที่ไม่ต้องเกรงกลัวคนด่านสู่พิสดาร
เมื่อมีเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ จึงไม่แปลกที่ซูเฉินจะมีรายชื่อเจียงซีสุ่ยไว้ในแผนการ ทำการคิดคำนวณมากก่อนที่อีกฝ่ายจะมาถึงเสียอีก และที่เขากำลังรอก็คือจังหวะนี้
เมื่อได้ยินซูเฉินเล่าเรื่องกองกำลังสามสายธาร เจียงซีสุ่ยก็ดูสร่างเมาไม่น้อย ชี้หน้าซูเฉินพลางเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องโจรสลัดบึงหลิงหยวนน่ะสิ ? เจ้าหนูนี่ เจ้าคงจะคิดคำนวณวางแผนจะดึงข้าไปช่วยแทนถังหมิงใช่หรือไม่ ?”
ซูเฉินหัวเราะ “เห็นไหมเล่า ? พอไม่ได้อยู่ข้างกายจีหานเยี่ยนแล้วสติปัญญาก็เฉียบแหลมขึ้นมาทันใด ? เจ้าฉลาดทั้งยังช่างสังเกตเช่นตอนนี้คงไม่ต้องให้บอกว่าที่ข้าแนะนำไปมันดีหรือแน่กับตัวเจ้าเอง”
“ข้าย่อมรู้ว่ามันดีหรือไม่ แต่เรื่องของเรื่องคือเจ้าควรเป็นฝ่ายถามข้าพร้อมเสนอเงินให้ แต่พอเจ้าว่ามาเช่นนี้ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าต้องทำงานให้เจ้าเปล่าเล่า ?”
ซูเฉินตะลึงไป ด้วยดูเหมือนว่าสติปัญญาอีกฝ่ายจะกลับคืนมามากเกินไปแล้ว
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ยังเอ่ยเสียงไม่สะเทือนออกไป “หากเจ้าไม่เต็มใจก็ช่างเถอะ เจ้ากลับไปไล่ตามจีหานเยี่ยนต่อก็ได้ ไม่จำเป็นต้องคุมกองกำลังสามสายธาร”
“อย่า !” เจียงซีสุ่ยรีบเอ่ย “ข้าก็แค่ต่อรองเอาผลประโยชน์ เข้าใจข้าบ้างสิ ? หากเจ้าไม่ให้ก็ย่อมได้ ด้วยอย่างไรข้าก็จะไป เท่านั้นก็พอแล้วนี่ !”
จีหานเยี่ยนเป็นจุดอ่อนของเขาจริง ๆ เอ่ยถึงนางขึ้นมาอีกฝ่ายก็อ่อนปวกเปียกไปเลย
ซูเฉินเอ่ยเสียงแห้ง “หากเจ้าเข้ากองกำลังสามสายธารย่อมได้ผลประโยชน์มากมาย เหตุใดจึงต้องมาขูดรีดเอากับข้า ?”
“มันไม่เหมือนกัน มีเรื่องบางอย่างที่มีแต่เจ้าที่ทำได้”
“อะไรงั้นหรือ ?”
“หานเยี่ยนท้าสู้ผู้บัญชาการเมืองปาโจวไว้เมื่อหลายวันก่อน แต่กลับพ่ายแพ้ นับแต่นั้นมาก็อารมณ์ไม่ดีมาตลอด ข้ากำลังคิดว่าในเมื่อเจ้าสร้างวิชาขึ้นมาเองได้ เจ้าจะช่วยข้าสร้างอีกสักวิชาที่เหมาะกับนางหน่อยได้หรือไม่……”
ซูเฉินพลันรู้สึกโกรธขึ้นมา “เจ้าบ้านี่ ทำเพื่อนางอีกแล้ว ! คิดถึงนางให้น้อยลง คิดถึงตนให้มากหน่อย แล้วไม่นานจีหานเยี่ยนก็จะเป็นของเจ้า ! เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? บางครั้งยิ่งเจ้าให้ไปมากยิ่งได้รับกลับมาน้อย !”
เขาหมายจะซัดท้ายทอยเจียงซีสุ่ย จะได้ปลุกเจ้านี่ให้ตื่นจากความรักงมงายเสียหน่อย
เจียงซีสุ่ยรีบหลบ ซูเฉินรีบประชิดตัว ทั้งสองเริ่มแลกกระบวนท่ากันในสวนด้านหลัง
ผัวะ ผัวะ ผัวะ ! เสียงการต่อสู้กันดึงอวิ๋นเป้ากับจีหานเยี่ยนมา ทั้งสองเดินมาดู เมื่อเห็นว่าคนตีกันจีหานเยี่ยนเอ่ยขึ้นเสียงตกใจ “เหตุใดจึงตีกันได้ ? หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ !”
ซูเฉินหัวเราะ “พวกเราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ”
แสงหลากสีพลันเปล่งออกจากฝ่ามือ คลุมร่างเจียงซีสุ่ยไว้
เจียงซีสุ่ยโบกพัดในมือ พลังลมไร้ร่างซัดมือซูเฉินสะบัดไป กำลังจะเอ่ยคำก็พลันได้ยินเสียงซูเฉินที่ส่งตรงมาถึงในสมอง “อย่าเผยความอ่อนแอ !”
เจียงซีสุ่ยสะดุ้งเฮือก รีบเอ่ยว่า “หานเยี่ยน เจ้าอย่ายุ่ง วันนี้ข้าต้องสั่งสอนเจ้านี่ให้ได้ !”
จีหานเยี่ยนชะงักไป
นับตั้งแต่ที่เจียงซีสุ่ยคอยตามเกี้ยวพานาง นางยังไม่เคยได้ยินคำเช่น ‘อย่ามายุ่ง’ ออกจากปากเขามาก่อน ดังนั้นจึงไม่คิดว่าวันนี้จู่ ๆ เขาจะมีความกล้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น หรือจะดื่มมากไปเลยมีความกล้าขึ้นมากัน ?
จีหานเยี่ยนเห็นแล้วก็ไม่พอใจ แต่กลับรู้สึกว่าในที่สุดเจียงซีสุ่ยก็ดูเผยด้านที่ดูสมบุรุษออกมาบ้างแล้ว
จีหานเยี่ยนหัวแข็งนัก เกลียดบุรุษใจอ่อนลังเล ดังนั้นจึงไม่เคยชายตามองเจียงซีสุ่ย วันนี้เขาเผยความกล้าหาญแข็งแกร่งออกมานางค่อนข้างพอใจนัก แต่ก็ยังเอ่ยว่า “เจ้าจะชอบหรือไม่ข้าก็จะยุ่ง !”
พูดจบก็โบกมือ ฝ่ามือเหมันต์พุ่งออกมาจากฝ่ามือนางทันที
เจียงซีสุ่ยคิดหลบ ทว่าซูเฉินกลับส่งเสียงมาหาเขาอีกครา “อย่าหลบ โต้กลับไปเสีย หากวันนี้เจ้าเอาชนะนางไม่ได้ก็อย่าคิดจะอยู่เคียงข้างนางอีก”
“ว่าไงนะ ?”
“พวกเราจะรวมพลังกันโจมตี !” ซูเฉินว่าแล้วก็สร้างระเบิดพญาเหยี่ยวเพลิงและเปิดใช้ค่ายกลสิบอสูรพันร่างเพื่อป้องกันแรงซัดกระจายออกนอกพื้นที่ จากนั้นเอ่ยเสียงเข้ม “เจียงซีสุ่ย เผยพลังที่แท้จริงของเจ้าออกมาเสีย หากข้ากับนางร่วมมือกันแล้วเจ้าเอาชนะไม่ได้จะเสียชื่อเสียงตระกูลเจ้าเอาเปล่า ๆ”
อวิ๋นเป้าได้ยินแล้วก็ตกตะลึงไป เขามีพื้นฐานตระกูลสูงส่งเพียงไหนถึงทำให้ซูเฉินกับจีหานเยี่ยนยังต้องรวมพลังกันเข้าโจมตี ?
หากแต่คนอีกสามคนกลับรู้สึกว่าเช่นนี้สมเหตุสมผลดี
เจียงซีสุ่ยหัวเราะ “ในเมื่อพี่ซูอยากเห็นมาก ข้าก็จะแสดงให้ดูเป็นไร ? ลั่วโหยว จิตวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ !”
ว่าแล้วน้ำในบ่อก็พลันพุ่งขึ้นมา
มันพุ่งขึ้นสูง กระจายตัวไปในอากาศ ก่อร่างขึ้นเป็นศรวารีนับไม่ถ้วน ยิงเข้าใส่ซูเฉินและจีหานเยี่ยน
จีหานเยี่ยนคำราม ส่งฝ่ามือเหมันต์ปะทะเข้ากับศรวารี
เหยี่ยวเพลิงของซูเฉินก็ถูกปล่อยเข้าปะทะเช่นกัน
น้ำพุที่พุ่งขึ้นเริ่มเปลี่ยนรูปร่างอีก กลายเป็นเกราะวารีป้องกันอยู่ด้านหน้าเจียงซีสุ่ย เหยี่ยวเพลิงอันทรงพลังถูกเกราะ ทำลายมันจนแตกกระจาย แต่ยังไม่ทันได้มุ่งโจมตีต่อ เกราะวารีอีกเกราะก็เสริมขึ้นมาที่ด้านหลังเกราะเดิม ระเบิดพญาเหยี่ยวเพลิงทะลวงเกราะเข้าไป 7-8 ชั้นในคราเดียว ทว่าเกราะวารีเองก็ดูไร้ที่สิ้นสุด สุดท้ายก็สกัดการโจมตีของซูเฉินเอาไว้ได้
อึดใจต่อมา หมัดหิมะขาวของจีหานเยี่ยนก็ถูกซัดออกไป ห่อหุ้มทุกอย่างรอบกายไว้ด้วยพลังเยือกแข็ง ก่อนจะปล่อยพลังทำลายล้างรุนแรงกระจายไปทั่วสวนดอกไม้
เจียงซีสุ่ยยังไม่ขยับกาย น้ำพุที่พุ่งขึ้นจากบ่อเปลี่ยนรูปเป็นดอกบัวน้ำ ชะลอหมัดของจีหานเยี่ยนจนนางไม่อาจใช้มันโจมตีได้อีกต่อไป
อวิ๋นเป้าเห็นแล้วได้แต่ตกตะลึงไป
เขาเคยเห็นฝีมือเจียงซีสุ่ยมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นวิชาเช่นนี้เลย เจียงซีสุ่ยในตอนนั้นใช้พัดและการโจมตีระยะประชิดเข้าสู้ ใช้พลังต้นกำเนิดไม่บ่อยนัก หากแต่ตอนนี้กลับใช้วิชามากมายต่อกรกับซูเฉินและจีหานเยี่ยน
แต่มันยังไม่หมดเท่านั้น !
พริบตาหลังจากนั้น เจียงซีสุ่ยก็เปลี่ยนกลยุทธ์ น้ำพุที่พุ่งสูงเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อย เป็นศรวารี เป็นดอกบัว เป็นเกราะวารี เป็นหอกวารี เป็นดาบวารี กระทั่งเป็นร่างวิญญาณวารีและยักษ์วารีขึ้นมา รูปร่างประหลาดทั้งหลายมันเป็นได้ทั้งสิ้น
ซูเฉินเป็นคนที่อวิ๋นเป้ารู้จักทักษะต้นกำเนิดมากที่สุด ทว่าเจียงซีสุ่ยใช้ทักษะต้นกำเนิดประเภทน้ำมากกว่าสิบวิชาภายในเวลาอันสั้น อีกทั้งยังใช้มันได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วนัก ดูแล้วเป็นวิชาที่ใช้จนชินมือ
ซูเฉินและจีหานเยี่ยน ผู้เชี่ยวชาญสองคนรวมพลังกันยังไม่อาจทำให้เขาตกเป็นรองได้ ไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรก็จะถูกอีกฝ่ายสกัดไว้อย่างไม่ยากเย็น
เกิดอะไรขึ้นกัน ?
อวิ๋นเป้าเห็นภาพเหล่านั้นแล้วก็ได้แต่นึกประหลาดใจ
ประเดี๋ยวก่อน เมื่อครู่เขาพูดไว้ว่าอะไรนะ ?
ลั่วโหยว จิตวิญญาณวารีศักดิ์สิทธิ์ !
อวิ๋นเป้าเริ่มเข้าใจบางอย่าง
เพลิงเงายักษ์ก่อร่างขึ้นในมือซ้ายซูเฉิน มือขวาใช้สว่านทะลวงเกราะ พร้อมกันนั้นจีหานเยี่ยนก็ใช้วิชาเยือกแข็ง ปล่อยพลังเย็นออกมาเป็นระลอกคลื่นน่าเกรงขาม ก่อนที่คลื่นพลังนั้นจะเริ่มก่อร่างขึ้นเป็นรูปสกุณาเหมันต์
คนทั้งคู่ยังคงใช้วิชาที่แกร่งที่สุดของตนซัดใส่เจียงซีสุ่ยไม่ยั้งมือราวกับโกรธแค้นกันปานจะสังหารให้ตาย
เจียงซีสุ่ยนัยน์ตาประกายวาบ พลังหนั่นแน่นในร่างเริ่มแผ่ออกมาจากร่างกาย รอบข้างเริ่มมีคลื่นลมหมุนเวียน ด้านหลังพลันมีแสงสว่างและเงามืดปรากฏ
ไม่อาจมองเห็นตัวคนได้อีกต่อไป เห็นเพียงความมืดมิดที่เข้าปกคลุม นัยน์ตาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนฟ้า ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เผยความสง่างามน่าเกรงขามอย่างไม่น่าเชื่อออกมา
เมื่อนัยน์ตาคู่นี้ก็ปรากฏขึ้นมา เสียงฟ้าลั่นดังสนั่น คลื่นพลังผันผวนรุนแรง ภาพมายาอสูรและเพลิงลุกโชนทั้งหลายต่างก็พลันสลายหายไปทันที
ราวกับมีพายุซัดผ่าน พัดพาเอาทุกสิ่งทุกอย่างหายไปสิ้นไม่ทิ้งรอย
พริบตาต่อมาก็บังเกิดลมเบาพัดผ่าน
ราวกับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ปล่อยลมหายใจออกมา
ซูเฉินกับจีหานเยี่ยนกระเด็นไปราวกับกระดาษแผ่นหนึ่ง……
“เทพอสูร !”
อวิ๋นเป้าร้องเสียงดัง “สายเลือดเทพอสูร !”