ภาคที่ 3 บทที่ 87 ลั่วโหยว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 87 ลั่วโหยว

สายเลือดที่ทรงพลังที่สุดของเผ่ามนุษย์นั้นมาจากเทพอสูรบรรพกาลมังกรสุริยะ ในเรื่องนี้ไม่มีใครหาข้อโต้แย้งได้

ซึ่งรองจากเทพอสูรบรรพกาลแล้ว ที่แกร่งรองลงมาก็ไม่ใช่สายเลือดจักรพรรดิอสูร หากแต่เป็นสายเลือดเทพอสูรต่างหาก

เหล่าอสูรดึกดำบรรพ์กลายเป็นผู้ถือครองทวีปต้นกำเนิดหลังจากสิ้นเทพอสูรบรรพกาล พวกมันเป็นฝันร้ายของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะต่าง ๆ มาเป็นเวลานาน เมื่อพลังต้นกำเนิดยังคงลดน้อยลง ใต้หล้าจึงไม่อาจหล่อเลี้ยงเทพอสูรได้อีก ทวีปต้นกำเนิดก้าวเข้าสู่ยุคที่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะเรืองอำนาจ

ในช่วงเส้นเวลาที่กำลังเปลี่ยนขั้วอำนาจนั่นเอง เทพอสูรที่เหลือจึงเริ่มต่อสู้กับเผ่าที่กำลังขึ้นเรืองอำนาจ

ซึ่งแตกต่างจากเทพอสูรบรรพกาลที่กวาดล้างอาณาจักรอาร์คาน่าได้อย่างไม่ยากเย็น เผ่าพันธุ์อัจฉริยะนั้นไม่ได้พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ แต่ถึงกระนั้นกล่าวได้ว่าเผ่าสัตว์อสูรสุดท้ายแล้วก็ยังเป็นผู้กำชัยไปอยู่ดี

ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ซึ่งมีสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลได้ส่งคนที่ทรงพลังที่สุด ใช้สายเลือดเทพอสูรบรรพกาลและผู้กล้าอีกจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อต่อกรกับเทพอสูรทั้งหลายที่พากันเข้าโจมตีหลายระลอก

ก่อนที่ในปีที่ 1 หมื่นของราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ พวกเขาก็ได้สายเลือดเทพอสูรมาถึง 9 สายเลือด จากนั้นจึงนำมาสร้างตระกูลจากสายเลือดเทพอสูรขึ้นมา 9 ตระกูล

ซึ่งก็คือตระกูลหม้อหลอมทั้งเก้านั่นเอง

เมื่อเวลาผ่านไป ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ก็ล่มสลายลง ตระกูลหม้อหลอมทั้งเก้าผงาดขึ้นเรืองอำนาจแทนที่

สายเลือดเทพอสูร 2 สายเลือดได้หายไปพร้อมกับกาลเวลาที่หมุนเปลี่ยน ตอนนี้จึงเหลือเพียง 7 ตระกูล ที่รู้จักกันในนามตระกูลหม้อหลอมทั้งเจ็ด

พวกเขาต่างจากเผ่าพันธุ์อัจฉริยะต่าง ๆ นัก ด้วยพลังที่ส่งต่อผ่านทางสายเลือด ทำให้ตระกูลสายเลือดชั้นสูงสามารถส่งต่อความรุ่งเรืองและฐานะอันไม่ธรรมดาของตนเองต่อไปยังลูกหลานได้

เมื่อราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ล่มสลายจนเกือบสิ้นสุด ตระกูลหม้อหลอมทั้งเจ็ดที่เคยเป็นแรงสนับสนุนอันแข็งขันของราชวงศ์ก็บุกเข้าโจมตีหนักหน่วง กลายเป็นตัวหายนะทำการสับเปลี่ยนราชวงศ์ไป

หลังจากกำจัดราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์จนสิ้นแล้ว ตระกูลหม้อหลอมทั้งเจ็ดก็แบ่งแยกดินแดน กลายเป็น 7 อาณาจักรในปัจจุบัน เข้าสู่ยุคแห่ง 7 อาณาจักรนับแต่บัดนั้น

ด้วยเหตุนี้ ชนชั้นปกครองของ 7 อาณาจักรจึงเกิดมาเพื่อเป็นผู้ครองแคว้นโดยแท้ เนื่องจากในกายมีสายเลือดจากเทพอสูรไหลเวียนอยู่ ด้อยกว่าเพียงสายเลือดจากเทพอสูรบรรพกาลเท่านั้น

ไม่เช่นนั้น คนธรรมดาคงไม่อาจมีโอกาสโค่นล้มคนที่มีสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลลงได้

อวิ๋นเป้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเจียงซีสุ่ยจะมีสายเลือดเทพอสูร

เขารู้เพียงว่าอีกฝ่ายแซ่เจียง ดังนั้นจึงคิดว่าน่าจะมาจากคนตระกูลหลิน ทว่าอวิ๋นเป้าไม่นานก็ล่วงรู้ความจริง พลันตะโกนขึ้นมา “เจ้ามาจากอาณาจักรประกายวารีนี่เอง !”

หนึ่งในตระกูลหม้อหลอมทั้งเจ็ด หลินเซี่ยนอวี๋แห่งตระกูลหลินได้ก่อตั้งอาณาจักรหลงซางขึ้น ส่วนเจียงจิ้งเฉาแห่งตระกูลเจียงก็ก่อตั้งอาณาจักรประกายวารี ตั้งเมืองหลวงไว้ที่เมิ่งเซียง สายเลือดของพวกเขาคืออสูรดึกดำบรรพ์ลั่วโหยว

ลั่วโหยวเป็นอสูรดึกดำบรรพ์ตัวยาวเกือบพันลี้ มีอำนาจทรงพลังนัก มันสามารถควบคุมจิตวิญญาณวารีทั่วทั้งใต้หล้าได้ เปลี่ยนรูปร่างพวกมันให้กลายเป็นสิ่งต่าง ๆ ได้ดั่งใจหมาย

ในปีที่ 8,400 แห่งยุคดาราใหม่ ลั่วโหยวก็ปรากฏตัวขึ้นจากทะเลลึก มาถึงยังใจกลางทวีปต้นกำเนิด และด้วยมีร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์จึงเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้น ลมหายใจเพียงครั้งดั่งลมพายุ เปลี่ยนสภาพอากาศในพริบตา

ทว่าลั่วโหยวนั้นค่อนข้างอ่อนโยน แต่เพราะทรงพลังเกินไปจึงได้เปลี่ยนใจกลางทวีปต้นกำเนิดให้กลายเป็นบึงน้ำไปแม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตามแต่

เพื่อจัดการกับลั่วโหยว ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ร่วมมือกับเผ่าท้องสมุทรและเผ่าปักษาเพื่อเข้าโจมตีลั่วโหยวพร้อมกัน จักรพรรดิองค์ที่สามของราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ กู่ถิงเซวียน เป็นคนนำทัพไปสังหารลั่วโหยวด้วยตนเอง สายเลือดของลั่วโหยวจึงถูกตกรางวัลให้กับคนที่ได้อุทิศตนให้แว่นแคว้นสูงสุด ซึ่งก็เป็นหนึ่งในพี่น้องเจ็ดคน เจียงติ้งเทาที่เกือบตายในสนามรบเป็นคนที่ได้รับมันไป

ด้วยลั่วโหยวที่ร่างใหญ่มโหฬาร ภาพมายาสายเลือดของเจียงซีสุ่ยจึงไม่อาจเผยให้เห็นร่างเต็มของมันได้ สิ่งที่ปรากฏขึ้นคือนัยน์ตาข้างหนึ่งและลมหายใจหอบหนึ่งเท่านั้น

ถึงกระนั้นนัยน์ตาและลมหายใจเดียวนี้ก็มีพลังมหาศาล อวิ๋นเป้าไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าหากเป็นลั่วโหยวตัวเป็น ๆ จะมีพลังน่าเกรงขามถึงเพียงไหน

อีกทั้งยังรู้ว่าหนทางที่ซูเฉินเลือกเดินนั้นยากลำบากและยาวไกลเพียงไร

แม้ว่าเส้นทางนี้จะลำบากสักเพียงไหน แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้

หลังจากร่วงลงมาแล้ว ซูเฉินก็รู้สึกถึงรสชาติหวานปะแล่มที่อยู่ในปาก จากนั้นก็กระอักเลือดออกมา

“พี่ซู !” เจียงซีสุ่ยรุดเข้าไปหา

ซูเฉินยกมือขึ้น “ไม่ต้องให้เจ้าช่วยหรอก !”

เขาจ้องเจียงซีสุ่ยด้วยนัยน์ตาตื่นเต้น “นี่น่ะหรือคือพลังของเทพอสูร ? ดี ทรงพลังอย่างแท้จริง ! ใครจะรู้ว่ามันทรงพลังกว่าสายเลือดจักรพรรดิอสูรสักกี่เท่า !”

ซูเฉินเคยแลกกระบวนท่ากับถังหมิงมาก่อน ทั้งสองคนแข็งแกร่งพอ ๆ กัน

และแม้ว่าชายหนุ่มจะใช้เพลิงเงายักษ์ แต่ก็ยังไม่อาจเอาชนะถังหมิงได้ พลังของสายเลือดจักรพรรดิอสูรนั้นสำแดงให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่ง

แน่นอนว่าในฐานะคนไร้สายเลือด การที่สามารถประมือกับคนสายเลือดจักรพรรดิอสูรได้อย่างทัดเทียมนั้นก็นับว่าทำให้คนมากมายตะลึงได้แล้ว อันที่จริง… มันออกจะน่าประหลาดใจกว่าที่ซูเฉินสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณเสียอีก

หากแต่เมื่อเผชิญหน้ากับเจียงซีสุ่ยและการปรากฏขึ้นของลั่วโหยว ซูเฉินกลับไม่อาจแม้แต่จะป้องกันการโจมตีของอีกฝ่ายได้เลย

ความแตกต่างระหว่างพวกเขานั้นคล้ายกับคนด่านสู่พิสดารกับตัวซูเฉินนั่นเอง

“ก็ไม่แปลกหรอก เทพอสูรและอสูรกายมีความต่างพลังอยู่มาก” จีหานเยี่ยนกล่าวพลางลุกขึ้นยืน

บาดแผลของนางเบากว่าของซูเฉินเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะนางแข็งแกร่งกว่า แต่เพราะเจียงซีสุ่ยพยายามปกป้องนาง ไม่อยากให้นางต้องบาดเจ็บจนเกินไปต่างหาก

เทพอสูรบรรพกาล เทพอสูร อสูรกาย และอสูรร้ายนั้นเป็นระดับขั้นของเผ่าสัตว์อสูร แม้จักรพรรดิอสูรกายจะทรงพลังนัก แต่ก็เป็นเพียงสัตว์อสูรระดับกลาง ด้อยกว่าอสูรดึกดำบรรพ์ถึงหนึ่งระดับเต็ม

สิ่งที่เจียงซีสุ่ยแสดงนั้นยังไม่ได้หนึ่งในเสี้ยวของพลังที่แท้จริงของอสูรดึกดำบรรพ์เลยด้วยซ้ำ แต่ก็ยังทำให้เขาสามารถกระทำการใดตามใจตนไม่สนใครในเมืองธารน้ำใสได้แล้ว

นี่คือพลังของสายเลือดระดับสูง

เมื่อต้องเจอกับพลังเช่นนี้ ซูเฉินกลับไม่ได้คิดล่าถอย เขายิ่งเอ่ยด้วยเสียงตื่นเต้นมากขึ้น “พี่เจียง ข้ามีเรื่องที่อยากให้ช่วยอยู่เรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอะไรหรือ ?” เจียงซีสุ่ยยังไม่ทันได้ตอบ

“ขอข้ายืมเลือดหน่อย !” จีหานเยี่ยนกับอวิ๋นเป้าที่ได้ยินพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที

ส่วนเจียงซีสุ่ยชะงักไป ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงชื่อเสียงอันโด่งดังของซูเฉิน เมื่อครั้งอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้น คนผู้นี้ได้ดูดเอาเลือดของทุกคนไปนั่นเอง

เขาอดหัวเราะขื่นออกมาไม่ได้ “เอาไปแล้วใช้ประโยชน์อะไรได้ ? เอาไปก็ไม่ได้อะไรหรอก”

คำพูดประโยคนี้ซัดถูกจุดเจ็บซูเฉินนัก

แม้ว่าชายหนุ่มจะวิจัยโทเทมโลหิตสลายมาได้มากแล้ว แต่การวิจัยเรื่องสายเลือดนั้นยังไม่ได้ไปไกลมากเท่าไร ต่อให้สร้างทักษะต้นกำเนิดทรงพลังอย่างเพลิงเงายักษ์ขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่ได้สร้างขึ้นมาโดยมีพื้นฐานมาจากจากวิเคราะห์สายเลือด ทว่ากลับมาจากการนำเอาสสารต้นกำเนิดในหินดำมารวมกับพลังต้นกำเนิดของเขาเองต่างหาก

แต่แม้จะถูกเจียงซีสุ่ยเอ่ยเย้า ซูเฉินก็ไม่โกรธ เขากลับหัวเราะ “การค้นคว้าวิจัยก็คล้ายการว่านเมล็ดพืชไปทั่วทุกแห่ง ไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อไหร่เมล็ดพันธุ์ที่หว่านลงไปจะแตกหน่อเติบโตและให้ผล แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน นั่นคือหากเจ้าไม่คิดหว่านอะไรลงดิน เช่นนั้นก็จะไม่มีความสำเร็จใดบังเกิด”

“เช่นนั้นก็ได้ ก็แค่เลือดขวดหนึ่งเท่านั้น หากเจ้าต้องการก็เอาไปเถอะ แต่เรื่องที่ข้าขอไว้นั้น….. ” เจียงซีสุ่ยเอ่ยไม่จบประโยค

ซูเฉินยกสองนิ้ว “สองชนิด เจ้าจะต้องพอใจกับมันอย่างแน่นอน”

เจียงซีสุ่ยขอให้เขาช่วยสร้างทักษะต้นกำเนิดใหม่ให้จีหานเยี่ยน กระทั่งใช้เลือดตนเองมาต่อรอง ดังนั้นซูเฉินจึงตอบตกลงไปอย่างใจใหญ่ว่าจะสร้างทักษะต้นกำเนิดถึง 2 วิชาให้

หลอกเจียงซีสุ่ยมาเสริมกำลังได้แล้วเช่นนี้ หากไม่ให้ผลประโยชน์อีกฝ่ายมากหน่อยก็คงไม่ยุติธรรมเท่าไรนัก