บทที่ 94 เวลาสิบปี

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 94 เวลาสิบปี

 

จวงหนานเทียนกับเจ้าสำนักชิงหยุนรีบทำความเคารพ จากนั้นจึงถอยออกจากห้องไป

หลัวซิวเองก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยพร้อมทำความเคารพ “ผู้น้อยหลัวซิว คารวะท่านหัวหน้าแก๊ง”

“ข้าคือเย่เซี่ยงโต่ว”

น้ำเสียงของหัวหน้าแก๊งผู้นี้ไม่แหบแห้งอย่างคนชรา แต่กลับลึกซึ้งและมีพลัง

สายตาของเขาจ้องไปที่หลัวซิวก่อนจะเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ารู้เรื่องของเจ้าแล้ว”

“ข้าสามารถช่วยครอบครัวของเจ้าออกมาจากสำนักยุทธ์ได้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับหลายอย่าง ดังนั้นของที่ข้าต้องการ เจ้าเตรียมเอาไว้แล้วหรือไม่” เย่เซี่ยงโต่วกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา

หลัวซิวก็ไม่พูดอะไรมากความ แล้วหยิบคัมภีร์วิชายุทธ์ออกมาไว้บนโต๊ะ

“นี่คือพลังชิงหยวน กำลังภายในวิชายุทธ์ระดับ 6”

อันที่จริงในใจของหลัวซิวเองก็อดที่จะกังวลไม่ได้ หากท่านหัวหน้าแก๊งคนนี้เอาวรยุทธ์ไปโดยไม่ช่วยเขา เขาจะทำอย่างไร”

อันที่จริงแล้วก็เป็นเพราะว่าตัวเขามีพลังไม่แข็งแกร่งมากพอ ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะเอาชะตาชีวิตของตัวเองไปฝากไว้ที่คนอื่นทำไม

ตอนนั้นเองหลัวซิวจึงเกิดความรู้สึกปรารถนาในพลังที่แข็งแกร่งขึ้นมา

สายตาของเย่เซี่ยงโต่วสามารถมองทะลุถึงจิตใจคน เขาหยิบพลังชิงหยวนที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาพลิกดูแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป แก๊งนักล่าอสูรอย่างพวกเราเมื่อรับภารกิจมาแล้ว ชื่อเสียงคือสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ข้ารับของของเจ้ามาแล้ว แน่นอนว่าต้องจัดการเรื่องของเจ้าจนสำเร็จ”

“ผู้น้อยเชื่อมั่นในตัวผู้อาวุโส” หลัวซิวกล่าวตอบ

เย่เซี่ยงโต่วพยักหน้า จากนั้นจึงวางพลังชิงหยวนลงแล้วเอ่ยว่า “นี่คือวรยุทธ์ระดับ 6 อย่างแท้จริง นอกจากจะให้เราช่วยครอบครัวของเจ้าออกมาแล้ว เจ้ายังต้องการให้เราช่วยอะไรอีกหรือไม่”

กล่าวถึงตรงนี้ เย่เซี่ยงโต่วจึงจ้องไปที่หลัวซิว “หากเป็นเรื่องราวอื่นๆ ที่นอกเหนือจากภารกิจ เราไม่อาจยื่นมือช่วยเจ้าได้”

แก๊งนักล่าอสูรมีศักดิ์ศรีและยังมีกฎกติกาที่ชัดเจน การรับภารกิจต่างๆ ต้องทำผิดต่อผู้แข็งแกร่งและขัดกลุ่มอำนาจมากมาย ดังนั้นในเรื่องนี้ เมื่อผู้แข็งแกร่งของแก๊งนักล่าอสูรรับภารกิจมาแล้วจึงต้องขีดเส้นจำกัดขอบเขตให้ชัดเจน

อย่างเช่นหากหลัวซิวบอกภารกิจที่ต้องการให้ไปกำจัดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ แก๊งนักล่าอสูรจะไม่ยอมรับภารกิจนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วไม่ว่าแก๊งนักล่าอสูรจะยิ่งใหญ่มากเพียงใดก็ไม่อาจดำรงอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้

“หากมีคนต้องการปลิดชีพผม ผมหวังว่าผู้อาวุโสจะช่วยปกป้องผมและคนในครอบครัวได้” หลัวซิวบอกความต้องการข้อแรกของตัวเองออกไป

“เรื่องนี้เราทำได้” เย่เซี่ยงโต่วพยักหน้ารับปาก

“หลังจากช่วยครอบครัวของผมออกมาแล้ว ผมอยากให้ผู้อาวุโสช่วยคุ้มครองครอบครัวของผมออกจากเขตการปกครองหยุนหลง” หลัวซิวกล่าวอีกครั้ง

เย่เซี่ยงโต่วขมวดคิ้ว “ข้อนี้เราไม่อาจรับปากเจ้าได้ หากเป็นตัวเจ้า เราสามารถใช้ค่ายวาร์ปส่งตัวเจ้าออกไปอยู่ที่แก๊งนักล่าอสูรเขตอื่นได้ แต่การจะใช้ค่ายวาร์ปได้อย่างน้อยๆ จะต้องเป็นผู้ที่ฝึกฝนแดนชี่ไห่”

ได้ยินดังนี้ สีหน้าของหลัวซิวจึงเปลี่ยนไป

เขารู้ดีว่าต่อให้ช่วยพ่อแม่และพี่สาวของเขาออกไปได้ แต่ออกไปจากเขตปกครองหยุนหลงไม่ได้ ก็ถือว่ายังอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของสำนักเซียวเหยา ไม่ว่าจะเป็นลู่เฟยเฉินหรือจางลู่เหลียงต่างสามารถกำจัดเขาให้ถึงแก่ความตายได้ง่ายๆ

“แต่เราสามารถรับปากเจ้าได้อย่างหนึ่ง ในเขตเมืองชิงหยุนนี้ เราจะใช้ชื่อแก๊งนักล่าอสูรคุ้มครองความปลอดภัยของพวกเขา แต่เงื่อนไขนี้ไม่อยู่ในภารกิจ เจ้าต้องตอบแทนเราด้วยอย่างอื่น”

เย่เซี่ยงโต่วเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “คุ้มครองครอบครัวของเจ้าหนึ่งปี เจ้าต้องจ่ายหินพลังจิตชั้นล่างหนึ่งพันก้อน”

หลัวซิวชะงัก เพราะหินพลังจิตชั้นล่างหนึ่งพันก้อนเท่ากับนักยุทธ์ชั้นกลางหนึ่งชิ้น

แต่สำหรับหลัวซิวแล้ว ความปลอดภัยของพ่อแม่และพี่สาวนั้นหาค่าไม่ได้ ดังนั้นต่อให้แพงแค่ไหน เขาก็ต้องยอมรับ

“ผมต้องการให้ผู้อาวุโสคุ้มครองครอบครัวของผมสิบปี” หลัวซิวกล่าว

เวลาสิบปีเท่ากับต้องใช้หินพลังจิตชั้นล่างหนึ่งหมื่นก้อน ตอนที่หลัวซิวกล่าวคำพูดนี้ออกมา อาการของปรมาจารย์โลกยุทธ์อย่างเย่เซี่ยงโต่วเริ่มเปลี่ยนไป เพราะขนาดตัวเขาเองยังมีหินพลังจิตชั้นล่างสะสมไว้เพียงสามพันก้อนเท่านั้น

เขาไม่ได้เป็นคนโลภในสมบัติ คนฝึกยุทธ์บนโลกใบนี้มีมากมาย บางคนโลภจนไม่เลือกวิธีให้ได้ซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ และมีบางคนที่ชอบของล้ำค่าที่ได้มาอย่างชอบธรรม

ลู่เฟยเฉินเป็นประเภทแรก ส่วนเย่เซี่ยงโต่วเป็นประเภทที่สองอย่างไม่ต้องสงสัย

การได้พบคนอย่างเจ้าสำนักชิงหยุน จวงหนานเทียนและเย่เซี่ยงโต่ว หลัวซิวคิดว่าถือเป็นโชคดีของเขา ไม่เช่นนั้นจอมยุทธ์ชี่ไห่ตัวเล็กๆ อย่างเขาที่ครอบครองของล้ำค่ามากมายหากพบเจอกับคนแบบแรก เขาจะต้องถูกกลืนกินเข้าไปทั้งกระดูกจนไม่เหลือแม้แต่เศษซากอย่างแน่นอน

“ผู้อาวุโส ที่จริงผมไม่มีหินพลังจิตมากขนาดนั้น ผมสามารถใช้ของวิเศษอย่างอื่นที่มีค่าเท่ากันมาชดเชยได้หรือไม่” หลัวซิวกล่าวต่อเนื่องออกมา

หินพลังจิตชั้นล่างหนึ่งหมื่นก้อน มีค่าเท่ากับหินพลังจิตชั้นกลางหนึ่งร้อยก้อน แม้ว่าหลัวซิวจะมี แต่เขายังต้องใช้หินพลังจิตช่วยในการฝึกตน ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บเอาไว้สำหรับใช้ในการฝึกวันหลังด้วย

“ตกลง” เย่เซี่ยงโต่วตอบตกลงทันที ขอแค่เป็นของที่มีคุณค่าเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นหินพลังจิตหรือของวิเศษอย่างอื่นก็ทดแทนกันได้ทั้งนั้น

หลัวซิวหยิบกระบี่ยุทธ์เล่มหนึ่งออกมาจากกล่องเครื่องประดับและวางลงบนโต๊ะก่อนเอ่ยว่า “นี่คือกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่าง มีคุณค่ามากกว่าหินพลังจิตหนึ่งหมื่นก้อนอย่างแน่นอน”

เย่เซี่ยงโต่วพยักหน้า เมื่อดูจากของที่หลัวซิวหยิบออกมา เขาก็พอเดาได้ว่าหนุ่มน้อยอายุสิบสี่ผู้นี้โชคดีนักที่ได้รับสมบัติมาจากปรมาจารย์โลกยุทธ์ผู้ใดสักท่านหนึ่ง อีกอย่างปรมาจารย์โลกยุทธ์ที่ครอบครองกระบี่ยุทธ์ระดับชั้นล่างจะต้องไม่ใช่ปรมาจารย์โลกยุทธ์ธรรมดาๆ อย่างแน่นอน

เนื่องจากตัวเย่เซี่ยงโต่วเองก็เป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์เช่นกัน แต่เขาเพียงใช้นักยุทธ์ชั้นยอดเท่านั้น แต่สำหรับเขาแล้วกระบี่ยุทธ์ชั้นล่างถือว่ามีคุณค่าสูงมากเกินเอื้อมสำหรับเขาแล้ว

ส่วนความเป็นไปได้ที่จะเป็นคลังสมบัติที่ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งทิ้งเอาไว้ เย่เซี่ยวโต่วกลับไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะในเขตการปกครองหยุนหลงนี้ หาราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งได้น้อยมาก

เมื่อทำข้อตกลงร่วมกับเย่เซี่ยงโต่วลงตัวแล้ว ผู้อาวุโสคนหนึ่งกับผู้น้อยคนหนึ่งก็เดินออกมาจากกลางห้อง

จวงหนานเทียนกับเจ้าสำนักชิงหยุนเฝ้าอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นหัวหน้าแก๊งเย่เซี่ยงโต่วเดินตามหลังหลัวซิวออกมาราวกับเป็นองครักษ์ คนทั้งสองจึงหันไปสบตากันและรู้ในทันทีว่าท่านหัวหน้าแก๊งยอมตกลงช่วยเหลือหลัวซิว

เมื่อกลับไปถึงห้องโถงใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูร ตอนนี้หลัวซิวจึงกลับมาใส่หมวกสานเอาไว้อีกครั้ง

สาวงามที่คอยต้อนรับอยู่ที่เคาน์เตอร์อย่างเจียงชานชานคล้ายนึกเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนได้ ใบหน้าของเธอจึงปรากฏความเขินอายออกมา

แต่เมื่อเธอสังเกตเห็นผู้อาวุโสเคราขาวที่เดินตามหลังหลัวซิวออกมา ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง”

“คุณพระ นั่นไม่ใช่ท่านหัวหน้าแก๊งหรอกหรือ” แววตาของเจียงชานชานเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

เธอโชคดีเคยเจอหัวหน้าแก๊งมาแล้ว คราวนี้เธอจึงจำได้ ส่วนนักล่าอสูรในห้องโถงหลายคนนี้กลับยังไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่านหัวหน้าแก๊งมาก่อน จึงไม่รู้ฐานะของผู้อาวุโสเคราขาวท่านนี้ว่าสูงส่งเพียงใด

“ท่านหัวหน้าแก๊งถึงกับเดินตามหลังหลัวซิว เจ้าเด็กคนนี้เป็นใครกันแน่นะ”

เจียงชานชานรู้สึกว่าฐานะของหนุ่มชุดดำคนนี้เต็มไปด้วยความลึกลับ