บทที่ 95 หนีไม่พ้น

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 95 หนีไม่พ้น

 

“หลัวซิว!”

ในตอนนั้นเอง มีชายวัยกลางคนใส่ชุดผ้าฝ้ายเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูร สายตาของเขามองกวาดไปยังผู้คนที่ห้อมล้อมราวกับมีเปลวเพลิงในดวงตาก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หลัวซิว

หลัวซิวมองตามต้นเสียง คิ้วขมวดแน่น เขาไม่รู้จักชายวัยกลางคนชุดผ้าฝ้ายผู้นี้ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นจางช่าวฉง หัวหน้าตระกูลจางคนก่อนเพราะมีบางส่วนที่ดูใกล้เคียงกัน

“เจ้าคือคนของตระกูลจางใช่หรือไม่” หลัวซิวถามขึ้น

ชายวัยกลางคนชุดผ้าฝ้ายอมยิ้มพลางเดินเข้ามา “ไม่เลว ฉันคือจางช่าวไห่ หัวหน้าตระกูลจางคนปัจจุบัน”

“จะว่าไปแล้ว พี่ชายของฉันตายเพราะแกก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าไม่ใช่เพราะแก ฉันคงไม่มีทางได้ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลนี้มาได้”

จางช่าวไห่เดินไปหยุดอยู่ต่อหน้าหลัวซิวแล้วลดเสียงลงกล่าวว่า “ฉันจะบอกอะไรแกให้อย่างหนึ่ง ตอนนั้นคนที่สั่งให้จับตัวพ่อแม่และพี่สาวของแกเอาไว้ไม่ใช่ฝีมือพี่ฉัน แต่เป็นฉันเองต่างหาก”

“แก?” หลัวซิวได้ยินเช่นนั้น แววตาก็เริ่มปรากฏความอาฆาต

เห็นได้ชัดเจนว่า จางช่าวไห่ผู้นี้ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเอง เพื่อให้ได้ตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ถึงขั้นทำร้ายพี่ชายของตัวเองถึงแก่ความตายอย่างไร้ปรานี

ตอนแรกหลัวซิวไม่ได้มีความคิดจะฆ่าจางช่าวฉง แต่เมื่อได้ยินว่าตระกูลจางออกคำสั่งให้จับตัวพ่อแม่และพี่สาวของตัวเองไป เขาก็เข้าใจไปโดยอัตโนมัติว่าจางช่าวฉงเป็นคนสั่งการ ด้วยโทสะตนจึงขอให้เจ้าสำนักยุทธ์ปลิดชีวิตของเขา

หากเหตุการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนี้ เขาคงไม่ต้องระแวงนายท่านตระกูลจางผู้นั้น และต้องเผชิญอันตรายรอบด้านมานับครั้งไม่ถ้วนแบบนี้

“ในเมื่อฉันฆ่าจางช่าวฉงตายได้ แกมาบอกฉันเรื่องนี้ แกไม่กลัวหรือว่าฉันจะฆ่าแกตายไปอีกคน” หลัวซิวเอ่ยอย่างเย็นชา

จางช่าวไห่หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ และกล่าวหยาม “ความตายมารอแกอยู่ตรงหน้าแล้ว ยังจะกล้าพูดจาโอหังแบบนี้อีกรึ”

เขากล้าพูดคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าหลัวซิว แน่นอนว่าเขามีคนหนุนหลังอยู่

“อย่าคิดนะว่าการซ่อนตัวอยู่ที่แก๊งนักล่าอสูรจะทำให้แกใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข ถ้าแกยังไม่ยอมโผล่หัวออกมา ฉันจะส่งคนไปฆ่าพ่อแม่และพี่สาวของแกซะ ดูซิว่าแกจะยอมออกมาไหม” จางช่าวไห่กล่าวอย่างอำมหิต

หลัวซิวได้ยินดังนั้นจึงหรี่ตาลง ในอกของเขาโมโหจนอารมณ์เดือดปุดๆ

เขากัดฟันยิ้มออกมาอย่างเลือดเย็น “แกอยากให้ฉันออกไปรึ ได้ ฉันจะออกไป”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง หลัวซิวพลันก้าวอาดๆ เดินออกมาจากประตูใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูร ปรมาจารย์โลกยุทธ์อย่างเย่เซี่ยงโต่วเดินตามหลังเขาออกไปเป็นเงาตามตัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใด

การตัดสินใจของหลัวซิวทำให้จางช่าวไห่ตกใจ แต่เพียงชั่วครู่สีหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา “วัยรุ่นก็ใจร้อนแบบนี้ แค่พูดยุแหย่นิดหน่อยก็โมโหจนวิ่งออกมาหาที่ตายซะแล้ว”

ด้านนอกห้องโถงของแก๊งนักล่าอสูร มีองครักษ์เกราะเขียวกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้วยท่าทางน่าหวาดกลัว มือของพวกเขากุมดาบ รังสีที่ออกมาจากตัวพวกเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตหมายเอาชีวิต

บริเวณนั้นมีกลุ่มคนยืนออกันอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้คนต่างพากันถกเถียงว่าเพราะเหตุใดองครักษ์เกราะเขียวถึงมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ และเป็นเพราะใครที่ทำให้องครักษ์เกราะเขียวสามสิบกว่านายมายืนรออย่างแน่นขนัดอยู่เช่นนี้

ทันใดนั้นเองหลัวซิวจึงเดินออกมาจากแก๊งนักล่าอสูร

“องครักษ์เกราะเขียวรับคำสั่งการ เอาตัวหลัวซิวมาให้ได้ หากแข็งขืนฆ่าทิ้งทันที!” น้ำเสียงของจางช่าวไห่ที่แฝงความเคียดแค้นดังก้องไปทั่วบริเวณ

“ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!”

เสียงดึงกระบี่ออกจากฝักดังสะท้อน องครักษ์เกราะเขียวทั้งสามสิบนายส่งเสียงอื้ออึงขึ้นมาพร้อมกันแล้วเข้าไปล้อมหลัวซิวเอาไว้จากทุกทิศทุกทาง

ส่วนจางช่าวไห่ยืนเฝ้าอยู่ตรงด้านหน้าประตูใหญ่ด้วยตัวเอง เพื่อปิดหนทางหนีของหลัวซิวไม่ให้เขาหนีกลับเข้าไปที่แก๊งนักล่าอสูรอีก

หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจ ด้านหลังของเขามีปรมาจารย์โลกยุทธ์อย่างเย่เซี่ยงโต่วอยู่ หากจางช่าวไห่บุกโจมตีเขาจากทางด้านหลัง นั่นก็เท่ากับว่าเขารนหาที่ตายเอง

บรรยากาศแห่งความอาฆาตพยาบาทแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณหน้าประตูใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูร

องครักษ์เกราะเขียวทุกนายฝึกตนที่แดนฝึกชี่ไห่ ทว่าล้วนฝึกตนต่ำกว่าชี่ไห่ขั้นห้า มีเพียงผู้เป็นหัวหน้าคนเดียวเท่านั้นที่ฝึกได้ชี่ไห่ขั้นหกแล้ว

องครักษ์เกราะเขียวนายหนึ่งถือกระบี่ยาวพลางวิ่งเข้าใส่หลัวซิวด้วยสีหน้าเย็นชากระหายเลือด

ทว่าในขณะที่เขาวิ่งเข้ามาใกล้หลัวซิวกลับมีแสงกระบี่สีดำสว่างวาบขึ้นตรงหน้า เขายังไม่ทันจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น หัวของเขาก็หลุดกระเด็นและกลิ้งตกลงไปบนพื้นเสียแล้ว

เลือดสดพุ่งกระฉูดราวน้ำพุ ในมือของหลัวซิวปรากฏกระบี่ยุทธ์สีดำเปื้อนเลือดเล่มหนึ่ง

ดวงตาของเย่เซี่ยงโต่วที่ยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิวหรี่เล็กลง ในฐานะของปรมาจารย์โลกยุทธ์ ดวงตาของเขาหลักแหลมมากจึงมองออกว่าวิชาดาบของหลัวซิวใกล้ถึงขั้นสุดยอดแล้วความแม่นยำสูงแถมเวลาลงมือยังเด็ดขาดและไม่ปรานี เวลาเสี้ยวเดียวกลับตัดคอจอมยุทธ์ชี่ไห่เช่นเดียวกับตนไปได้หนึ่งราย

แม้ว่าสำหรับปรมาจารย์โลกยุทธ์ วิธีการลงมือเช่นนี้จะไม่ได้วิเศษอะไรมาก แต่สำหรับจอมยุทธ์แดนวิชาชี่ไห่ขั้น 3 ที่มีอายุเพียง 14 ปีผู้นี้กลับทำได้ นับได้ว่าเขาไม่ใช่คนที่มีเพียงพรสวรรค์ธรรมดาๆ แล้ว

หลังจากใช้กระบี่ตัดคอองครักษ์เกราะเขียวไปคนหนึ่งแล้ว หลัวซิวยังคงไม่หยุด ในอกของเขาคุกรุ่นไปด้วยโทสะแล่นพล่าน เวลานี้จึงอัดอั้นจนต้องรีบระบายออกมา

ทุกครั้งที่เขากวัดแกว่งกระบี่จะต้องมีเลือดพวยพุ่ง ต่อจากนั้นร่างไร้วิญญาณก็จะล้มลงไปนอนในกองเลือด

องครักษ์พวกนี้ฝึกตนอย่างมากไม่เกินแดนวิชาชี่ไห่ขั้น 7 แต่กลับไม่มีใครสักคนที่สามารถต้านทานเขาได้

กระบี่ของเขาว่องไวมากราวกับสายฟ้าฟาด ถ้าไม่ใช่ยอดฝีมือที่ว่องไวในการต่อสู้ แต่เป็นเพียงจอมยุทธ์ทั่วๆ ไปคงไม่มีทางหนีเขาพ้น

“ฟับ ฟับ ฟับ……”

องครักษ์เกราะเขียวสามนายถอยออกห่างแล้วง้างคันธนูขึ้น ลูกธนูพุ่งทะยานออกมา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ศีรษะของหลัวซิว

“ไปตายซะ”

องครักษ์เกราะเขียวคนอื่นลงมือเช่นเดียวกัน เวลานี้หลัวซิวจึงไม่มีทางหลบพ้น

“วิชากระบี่สะท้อนแสง”

หลัวซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จากนั้นใช้กระบวนท่ากระบี่แสงเหนือ ลำแสงกระบี่สีดำแผ่ออกไปกลางอากาศตัดลูกธนูทั้งสามดอกที่พุ่งทะยานเข้ามา

จากนั้น ร่างของเขาก็เริ่มบิดเบี้ยวปัดป้องการโจมตีขององครักษ์เกราะเขียวที่มาจากทุกทางให้เหลือเพียงเศษเงา

“วิชากระบี่พรากชีวี”

น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นราวกับยมราชตะโกนอยู่ข้างใบหู ปราณกระบี่สีดำพุ่งทะยานออกจากกระบี่เงามืดที่อยู่ในมือของหลัวซิว

เสียงฉึกๆ สะท้อนดังเข้าหูติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า ชั่วพริบตาองครักษ์เกราะเขียวโดนกำจัดไปทั้งหมด 4 นาย เลือดสีแดงสดพวยพุ่ง

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดไร้ความเมตตาปรานี

วิชาท่าร่างทั้งหมดถูกนำมาใช้เต็มที่ เงาเศษ 7 สายแผ่ซ่าน หลัวซิวตกอยู่ในห้วงของความอาฆาตแค้น ความพยาบาทในอกระเบิดทะลักล้นออกมา

หนึ่งก้าวปลิดหนึ่งชีวี กระบี่กวัดแกว่งโชคไปด้วยเลือด ชั่วเวลาพริบตา ด้านหน้าประตูใหญ่ของแก๊งนักล่าอสูรแดงฉานไปด้วยเลือดสด ศพร่างขาดครึ่งกลาดเกลื่อนไปทั่วราวแดนชำระอสุรา

ฝูงชนที่ยืนห้อมล้อมเพื่อต้องการจะดูความคึกคักบัดนี้ต่างพากันถอยกรูดไปลิบ สีหน้าของฝูงชนปรากฏความสยดสยอง

องครักษ์เกราะเขียว 30 นาย ไม่มีสักคนที่ต้านทานเขาได้

ส่วนหลัวซิวผู้ที่ลงมือทั้งหมดนี้เอง มีอายุได้เพียงสิบสี่ปี

จางช่าวไห่เห็นองครักษ์เกราะเขียวถูกตัดคอไปทีละคนสองคน ร่างของเขาพลันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างยากควบคุม

แม้ว่านายท่านตระกูลจางอย่างจางหลู่เหลียงจะเป็นยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์ถึงแดนขั้น 9 แต่ตระกูลจางในเมืองชิงหยุนกลับไม่มีผู้ใดสืบทอด แม้แต่จางช่าวฉงที่รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลจาง ตอนที่เขาอายุได้ 40 กว่าปีก็ฝึกตนได้เพียงชี่ไห่ขั้น 6 เท่านั้น

ทว่าชี่ไห่ขั้น 6 กลับถูกหลัวซิวกำจัดราวผักหญ้าด้วยกระบี่เพียงเล่มเดียว นี่ทำให้จางช่าวไห่ที่คิดเอาไว้ว่าหลัวซิวต้องตายแน่ๆ เริ่มหวาดผวาขึ้นมา

“หนี!”

เมื่อเห็นองครักษ์เกราะเขียวตายไปเกือบหมดเหลือเพียง 3 นาย เมื่อจางช่าวไห่ได้สติกลับมาจากความตกใจสุดขีด ในหัวของเขาก็เหลือเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น นั่นก็คือหนีไปให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นหลัวซิวคงฆ่าเขาตายไปอีกคน

จางช่าวไห่มั่นใจว่า ขอเพียงเขาหนีไปให้พ้นจากสำนักยุทธ์แห่งนี้ ผู้ที่ฝึกตนนอกสำนักอย่างเซินกาวเจี้ยน จะต้องปลิดชีพหลัวซิวได้อย่างง่ายดายแน่นอน

“จางช่าวไห่ แกไม่มีทางหนีพ้น!”