บทที่ 96 เสมอกับเย่เซี่ยงโต่ว
กระบี่เงามืดสับอากาศแหวกให้เกิดเกลียวคลื่นระลอกหนึ่ง ทำให้องครักษ์เกราะเขียวที่เหลืออยู่สองคนสุดท้ายล้มลงบนพื้นสิ้นชีวิตไปทันที
ส่วนหลัวซิวนั้นได้ทิ้งเศษเงาเอาไว้ที่เดิม แล้วมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าจางช่าวไห่ทันที ใบหน้าที่เคลือบรอยยิ้มเย็นยะเยือกของเขาจ้องเขม็งไปที่หัวหน้าตระกูลจาง
จางช่าวไห่คิดจะร้องขอชีวิต ทว่าแสงกระบี่ได้ฝ่าพุ่งตรงเข้ามาถึงด้านหน้าของเขาเสียแล้ว
การลงมือของหลัวซิวประณีตไร้ที่ติ เด็ดขาดรุนแรงไร้ความลังเลใดๆ
“ไม่!……”
จางช่าวไห่ตะโกนสุดแรง แสงสว่างของปราณแท้ได้หมุนวนอยู่รอบตัวเขา ภายใต้สถานการณ์ที่เป็นตายเท่ากัน เขาได้ปล่อยศักยภาพทั้งหมดออกมาเพื่อปกป้องตัวเองเอาไว้
ทว่านาทีถัดมา จางช่าวไห่กุมลำคอของตัวเองแล้วทรุดลงบนพื้น เลือดทะลักออกมาจากปากของเขา ดวงตาของเขาเบิกกว้าง แต่กลับไม่สามารถกล่าวคำพูดใดออกมาได้
สีหน้าของหลัวซิวไร้อารมณ์ เขาเดินตรงไปยังทิศทางของสำนักยุทธ์ทันที ปล่อยร่างไร้วิญญาณขององครักษ์เกราะเขียว 30 นายและจางช่าวไห่เอาไว้ โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
จวงหนานเทียนและเจ้าสำนักชิงหยุนเดินออกมาจากแก๊งนักล่าอสูร เมื่อเห็นฉากเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยศพกราดเกลื่อนน่าหวาดผวา เขาจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
“นี่คือ……ฝีมือของหลัวซิวรึ” จวงหนานเทียนพูดราวกลับไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็นทั้งหมดนี้
“ฝึกถึงวิชาชี่ไห่ขั้น 3 แต่กลับมีพลังทำได้เช่นนี้ ความสามารถของเขาน่ากลัวยิ่ง วันข้างหน้าหากเขาเติบโตขึ้นจะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง”
แม้แต่เจ้าสำนักชิงหยุนยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวยกย่องหลัวซิว ทว่าเขาข้องใจว่า ผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้นับเป็นผู้ที่มีคุณค่าหาได้ยากยิ่งสำหรับทุกสำนัก แล้วทำไมเจ้านอกสำนักอย่างลู่เฟยเฉินถึงต้องการกำจัดเขาทิ้ง?
……
เย่เซี่ยงโต่วเดินตามอยู่ด้านหลังหลัวซิว จากประสบการณ์ของเขาพอเดาได้ว่าทำไมลู่เฟยเฉินถึงต้องการฆ่าหลัวซิวทิ้งให้ได้
การเป็นศัตรูกับผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ หากไม่อาจกำจัดให้ถึงรากถึงโคลนได้ หากวันหนึ่งเติบใหญ่จะต้องนำภัยพิบัติมาอย่างไม่จบไม่สิ้น
ในผืนแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่อย่างเขตการปกครองหยุนหลงนี้ เคยปรากฏบุคคลผู้มีพรสวรรค์มาแล้วหลายต่อหลายคน แต่เย่เซี่ยงโต่วรู้สึกว่าทุกคนที่ฝึกวิชาชี่ไห่ขั้น 3 กลับไม่มีพลังอย่างเช่นหลัวซิว
และเขายังสังเกตเห็นอีกว่า ตอนที่หลัวซิวต่อสู้กับพวกองครักษ์ชุดเกราะ เขามีท่าทีสบายๆ ราวกับว่าเขายังไม่ได้ใช้แรงที่มีทั้งหมดของตนออกมา
นี่มีความหมายว่าอย่างไร
ปลิดชีวิตองครักษ์เกราะเขียวไป 30 ราย ฝีมือเทียบเท่ากับจอมยุทธ์วิชาชี่ไห่ขั้น 7 ที่มีฝีมือโดดเด่น หากหลัวซิวแสดงพลังทั้งหมดของตัวเองออกมา เขาคงจะมีฝีมือทัดเทียมกับวิชาชี่ไห่ขั้น 8 หรืออาจถึงขั้น 9 เลยด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้เขากลับฝึกถึงวิชาชี่ไห่ขั้น 3 เท่านั้น!
ผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ขั้นสุดยอดนั้นหาได้ไม่ยาก แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ถึงขั้นสามารถกำจัดผู้ที่มีขั้นสูงกว่าหลายขั้นเช่นนี้ได้ หากเติบใหญ่ขึ้นจะต้องเปล่งประกายจนทุกคนไม่อาจละสายตาได้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าระดับความยากของเรื่องที่ท้าทายนั้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปตามกาลเวลาที่ฝึกฝน แต่หากหลัวซิวสามารถรักษามาตรฐานเช่นนี้ต่อไปได้ วันที่เขาเข้าถึงแดนฝึกจิตและเข้าสู่แดนราชายุทธ์ วันนั้นเขาจะอันตรายอย่างยากจะหาผู้ใดเปรียบ
“ตึกๆๆๆ……”
เสียงฝีเท้าและเสียงเกือกม้าดังกระหึ่มขึ้น ระหว่างทางที่หลัวซิวมุ่งหน้าไปยังสำนักยุทธ์ได้มีองครักษ์เกราะเขียวอีดชุดหนึ่งบุกเข้ามาโจมตีเข้าอีกครั้ง
ผู้ที่นำองครักษ์เกราะเขียวชุดนี้มาสองคนขี่ม้าศึก ผู้หนึ่งถือปืน ผู้หนึ่งถือดาบจันทราครึ่งเสี้ยว
“หลัวซิวบังอาจ ยังไม่ยอมมอบตัวแต่โดยดีอีก”
องครักษ์เกราะเขียวผู้ถือดาบจันทราครึ่งเสี้ยวแผดเสียงกร้าว ดวงตาของเขากลมโต คิ้วเข้ม ร่างกายกำยำบึกบึน ดูมีอำนาจน่าเกรงขามแผ่ซ่านออกมาอย่างไม่อาจจับต้อง
แต่หลัวซิวกลับทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด
“ฆ่ามัน!”
องครักษ์เกราะเขียวชายแผดเสียงตะโกน ขาทั้งสองเตะกระตุ้นม้า มือข้างหนึ่งกุมบังเหียนเอาไว้ ม้าสีดำส่งเสียงคำรามก่อนจะวิ่งทะยานเข้าใส่หลัวซิว
หลัวซิวจ้องมองม้าศึกตัวนั้นที่กำลังวิ่งเข้ามาหาตนโดยไม่มีทีท่าว่าจะหลบ ก่อนจะกระโดดทะยานขึ้นด้านบน
“ตายซะ!”
องครักษ์เกราะเขียวผู้นั้นแกว่งไกวดาบจันทราครึ่งเสี้ยว ดาบส่องประกายแสงดาบทิ่มแทงลูกตา เขาเป็นหัวหน้าใหญ่คนหนึ่งขององครักษ์เกราะเขียวที่มีวิชาชี่ไห่ขั้น 7
ม้าศึกวิ่งพุ่งทะยาน เงาร่างของหลัวซิวที่อยู่กลางอากาศถูกแสงดาบฟันขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ตึก!
หลังจากม้าสีดำวิ่งออกจากหอมาได้สิบเมตร ร่างขององครักษ์ชายผู้นั้นกลับตกลงกระแทกพื้นสิ้นชีพ
เงาร่างของหลัวซิวยังคงก้าวออกมาด้านหน้า มือของเขากุมกระบี่เงามืดอาบเลือดเอาไว้ ส่วนเงาร่างของเขาที่ถูกฟันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนั้น เป็นเพียงแค่เศษเงาเท่านั้น
วิชาเงาเศษสิบช่องที่เขาฝึกฝนมานั้นเป็นวิชายุทธ์ขั้นสุดยอดในระดับ 5 และเขายังฝึกตนจนถึงแดนบรรลุผลแล้วด้วย
จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ในแดนสวรรค์หลายๆ คน ยังชำนาญในวิชาท่าร่างน้อยกว่าหลัวซิวอยู่หลายระดับ
วิชายุทธ์ระดับ 6 ที่แข็งแกร่ง แม้ว่าเกณฑ์ต่ำสุดที่จะฝึกฝนได้คือวิชาชี่ไห่ระดับ 7 ขึ้นไป แต่ผู้มีคุณสมบัติที่จะสามารถฝึกฝนได้โดยแท้จริงมักจะเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์ของแดนฝึกจิตทั้งสิ้น
องครักษ์เกราะเขียวตกตะลึงและพากันสบตามองหน้ากันอย่างไร้คำพูดด้วยความหวาดผวา นั่นคือหัวหน้าใหญ่ที่อยู่แดนวิชาชี่ไห่ระดับ 7 เชียวนะ เข้าไปเผชิญหน้าเพียงชั่วครู่กลับโดนสังหารภายในพริบตาเดียว
แถมวิชาท่าร่างของหลัวซิวที่แสดงออกมาให้เห็นคือสามารถทิ้งเศษเงาเอาไว้ที่เดิม และจะเอาร่างไปโผล่ตรงไหนก็ได้ นับเป็นวิชาที่หวาดหวั่นอย่างยิ่ง……
“ดีมากเด็กน้อย แม้แต่วิชาชี่ไห่ระดับ 7 ยังปลิดชีพได้เพียงดาบเดียว”
เปลือกตาของเย่เซี่ยงโต่วกระตุก ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำชื่นชมในความสามารถของหลัวซิว
แม้ว่าจะอยู่ในขั้นวิชาชี่ไห่ระดับ 7 องครักษ์เกราะเขียวที่ถูกหลัวซิวฆ่าตายก็เป็นถึงผู้ที่เกิดมามีอำนาจและพรสวรรค์ แต่แม้ว่าจอมยุทธ์จะรวมปราณแท้ได้แต่เมื่อเทียบกับหลัวซิวแล้วยังนับว่าห่างกันอยู่ถึงสามระดับ
เมื่อเห็นหัวหน้าใหญ่ถูกฆ่าตายเพียงในชั่วพริบตา องครักษ์เกราะเขียวที่เหลือจึงพากันถอยกรูดไปข้างหลัง
เพราะไม่มีใครอยากตาย คำสั่งของสำนักยุทธ์กับชีวิตของตัวเอง อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญกว่ากัน
กลุ่มองครักษ์เกราะเขียวที่อยู่ตรงหน้าหลัวซิว เขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของคนคนหนึ่ง นั่นคือสวี่ชิวเซิง
สวี่ชิวเซิงเองก็สามารถบรรลุเข้ามาสู่แดนชี่ไห่ได้เช่นกัน แต่เนื่องจากความสามารถในการฝึกฝนไม่โดดเด่นจึงไม่มีวาสนาที่จะเข้าสู่นอกสำนักเซียวเหยาได้ ดังนั้นหลังจากที่ได้เป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่แล้วก็ได้เข้ามาเป็นองครักษ์เกราะเขียว
“ฉันไม่อยากฆ่าพวกแก หลบทางให้ฉันแต่โดยดีซะ” หลัวซิวกล่าวเสียงแข็ง
ตอนนี้ในใจของเขาเต็มไปด้วยความแค้น ดังนั้นหากลงมือจะไม่มีทางออมมือ ปราณแท้ที่รวมความอาฆาตเข้าไปสามารถทำให้ชีวิตคนดับสลายได้หากสัมผัสคมกระบี่ของเขาไปแล้วไม่ตายก็เจ็บสาหัส
อีกอย่างกระบี่ของเขารวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด จอมยุทธ์ชี่ไห่ธรรมดาไม่มีทางหลบพ้น หากได้รับบาดเจ็บอาจถึงตายกลางสนามรบทันที
“อย่าบังอาจนะ”
องครักษ์เกราะเขียวอีกคนที่ขี่ม้าอยู่ส่งเสียงตวาด “พวกเรามีกันตั้งหลายคนขนาดนี้ เขาตัวคนเดียว พวกเราช่วยกันบุกเข้าไปสิ สำนักยุทธ์มีคำสั่งมาแล้ว ผู้ใดฆ่าหลัวซิวจะตบรางวัลให้อย่างาม”
คำพูดนี้ถือเป็นการเรียกขวัญกำลังใจให้องครักษ์เกราะเขียวได้ ใช่แล้ว พวกเรามีคนมากกว่า เขาตัวคนเดียว ทำไมพวกเราต้องกลัวเขาด้วย
ทว่าคนกลุ่มนี้ไม่รู้เลยว่า ก่อนหน้านี้มีองครักษ์เกราะเขียวกองทัพหนึ่งต้องสังเวยชีวิตให้ดาบของหลัวซิวมาแล้ว
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ……”
องครักษ์เกราะเขียว 20 กว่านายเบียดเสียดตะโกนโห่ร้อง จากนั้นจึงพุ่งเข้าใส่หลัวซิวราวฝูงผึ้ง
องครักษ์เกราะเขียวที่ขี่ม้าผู้นั้นไม่ได้นำหน้ามา แต่ในมือของเขาถือปืนยาวเอาไว้แล้วเดินวนเวียนอยู่รอบๆ เพื่อหาจังหวะลงมือที่เหมาะสม
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝีมือการปลิดชีพหัวหน้าใหญ่ได้อย่างรวดเร็วของหลัวซิวนั้น ทำให้เขารู้สึกหวั่นเกรง
“ฟับ!”
เพียงแสงกระบี่สะท้อน องครักษ์เกราะเขียวนายหนึ่งถูกฟันเข้าที่คอ
ต่อเนื่องจากนั้นในทันที แสงกระบี่ยังคงไม่หยุดเปล่งประกาย ราวกับง้าวของยมราชที่กำลังจะมาพรากเอาชีวิตไป จากนั้นองครักษ์เกราะเขียวตายจึงถูกฟันตายคาที่ไปอีกสามนาย
การมีอาคมปราณแท้เป็นตาย 2 ระดับเช่นนี้ หากอีกฝ่ายไม่สวมเกราะนักยุทธ์ชั้นกลางขึ้นไปไม่มีทางรับมือคมกระบี่เงามืดได้อย่างแน่นอน