บทที่ 179 ต่างก็สงสัย
“เฉินเฉียง ข้าต้องการพูดกับเจ้า”
เจิ้งยี่ได้ยิงคำถามตรงๆในทันที
“ตอนนี้ข้ามีเรื่องต้องทำ ข้าต้องไปส่งองครักษ์หยานก่อน ทำไมเจ้าไม่ตามข้ามาล่ะ”
หยานเสวี่ยได้มองไปที่เจิ้งยี่อย่างระแวดระวังและถามออกมา “เฉินเฉียง เขาเป็นใคร”
“เพื่อนของข้าเอง ไม่ต้องกังวล”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้หันไปมองเจิ้งยี่และพูดออกมา “ตามข้ามาเร็วๆล่ะเดี๋ยวจะตามข้ามาไม่ทัน”
“ไม่ต้องห่วงข้าหรอกน่า ยังไงข้าก็สู้คนเจ็บได้อยู่แล้ว”
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย เขาที่พยุงหยานเสวี่ยไว้ได้หายวับลงดินไปราวกับโดนดินดูดลงไปก็ไม่ปาน
เจิ้งยี่ที่เห็นก็ยืนมองอย่างอึ้งๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินเฉียงต้องทำเป็นมีความลับถึงขนาดนี้
“อ้าวเฮ้ย นี่เจ้าจะยืนอยู่เฉยๆทำซากอะไรกัน หากเจ้าไม่ตามมางั้นข้าไปก่อนล่ะ”
เฉินเฉียงที่มุดหัวออกมาคุยก็ได้ผลุบหัวลงดินลงไปอีกครั้ง และนี่ทำให้เจิ้งยี่ลงดินตามเขาไป
และเมื่ออยู่ในดินแล้ว เจิ้งยี่ก็ต้องตกตะลึง
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะรู้อยู่ว่าเฉินเฉียงมีทักษะปฐพีที่ดีเยี่ยม แต่เขานั้นไม่คิดว่าทักษะของเฉินเฉียงจะดีถึงขนาดนี้ นั่นก็เพราะความเร็วของเฉินเฉียงในตอนนี้นั้นราวกับว่าเขานั้นกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ทั้งสามคนในที่สุดก็ได้ขึ้นไปสู่ผืนดิน
“พอแล้ว เฉินเฉียง ว่างข้าลงที่นี่แหละ”
หลังจากพูดจบ หยานเสวี่ยได้เปิดกำไลสื่อสารและส่งตำแหน่งของตนเองออกไป
“เจ้าไปได้แล้ว”
เฉินเฉียงได้มองไปรอบๆที่เป็นพื้นที่รกร้างด้วยคิ้วที่ขมวดแน่นและพูดขึ้นมา “ท่านจะรออยู่ที่นี่คนเดียวเนี่ยนะ แล้วหาเกิดอันตรายขึ้นล่ะ”
หยานเสวี่ยได้ตอบออกมาอย่างหยามเหยียด “เฉินเฉียง เจ้าเชื่อไหมว่าข้ายังมีแรงฆ่าเจ้าอยู่ในตอนนี้”
เฉินเฉียงที่พยายามใจดีกับหยานเสวี่ยทุกวิถีทางแต่กลับโดนตอกกลับมาซะขนาดนี้
นี่ทำให้เฉินเฉียงหมดความอดทนและลากเจิ้งยี่ไปในทันที
“หยุดก่อน”
หยานเสวี่ยได้หันหน้ามองเฉินเฉียงและถามออกมา “ช่วงนี้มีข้อมูลอะไรบ้างรึเปล่า”
“มี ข้าทำลายกลุ่มสายลับของมนุษย์กลายพันธุ์ไปหนึ่งกลุ่ม” เฉินเฉียงพูดออกมาด้วยท่าที่ไม่ค่อยจะอภิรมย์ “อ้อ แล้วก็หลังจากเสร็จการประลองนี้พวกข้าจะต้องเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิ ท่านรู้จักมันรึเปล่า”
“พอแล้ว ไปตายที่ไหนก็ไป”
หยานเสวี่ยมองไปที่เฉินเฉียงอย่างเย็นชา เธอนั้นยังจะกระโดดถีบขาคู่ใส่เขาคนนี้ซะจริงๆ
“เจิ้งยี่ ไปกันเถอะ”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ดึงเจิ้งยี่ไปก่อนที่จะใช้ก้าวย่างสวรรค์โจนทะยานไปอีกพันเมตรข้างหน้า หลังจากนั้นเขาก็ได้หยุดใช้ท่าเท้าและเดินไปอย่างช้าๆ
“เฉินเฉียง องครักษ์หยานนั่นเป็นใคร แล้วข้อมูลที่เจ้าพูดออกไปนั้นคืออะไรกัน”
เฉินเฉียงได้มองไปที่เจิ้งยี่และพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “องครักษ์หยานคนนั้นเป็นเหมือนเจ้านั่นแหละ เธอเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ ส่วนข้อมูลที่เธอต้องการนั้นแน่นอนว่าย่อมต้องเป็นข้อมูลของเผ่าพันธ์ุมนุษย์”
“เจ้า เจ้าเองก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ นี่เจ้าแฝงตัวเข้ามาอยู่กับมนุษย์อย่างนั้นรึ”
เจิ้งยี่ได้ดึงดาบของตนออกมาจากแหวนมิติในทันทีแล้วนำไปจ่อที่คอของเฉินเฉียง
“ไอ้ฉิบหาย ศิษย์พี่เจิ้ง นี่เจ้าทำอะไรเนี่ย”
เฉินเฉียงตกใจในทันที ก่อนที่จะใช้มือจับใบดาบแล้วดันออกไปจากคอของเขา
“อย่าขยยับ” เจิ้งยี่ไม่ได้สนใจคำล้อเล่นของเฉินเฉียงแต่อย่างใด เขาเปลี่ยนท่าทีของตนเป็นแข็งกร้าวอีกครั้ง เขาเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองพร้อมดวงตาที่แดงฉานและถามออกมาอย่างดุดัน “บอกข้ามาตามตรงเดี๋ยวนี้ เจ้าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์หรือไม่”
“เจิ้งยี่ นี่เจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าข้าช่วยเจ้าไว้นะ แล้วคิดจะตอบแทนข้าแบบนี้เนี่ยนะ”
“เลิกพูดไร้สาระ เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้า”
เฉินเฉียงเริ่มมีน้ำโหจึงได้พูดออกมาอย่างอารมณ์เสีย “เจิ้งยี่ นี่เจ้าโง่รึเปล่า ถ้าข้าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์แล้วข้าจะฆ่าหลินฟานและเปิดเผยตัวตนของจ้าวฮั่นและชุนเต๋าทำซากอะไร”
เจิ้งยี่เมื่อได้ยินก็ลังเล แต่เขายังปฏิเสธที่จะเลิกเอาดาบจ่อคอหอยของเฉินเฉียง “แต่เจ้าไม่ได้เปิดโปงข้า เจ้า เจ้าคงเห็นว่าระดับการบ่มเพาะของข้าสูงล้ำจนคิดจะเก็บไว้ใช้งานสินะ”
“ไอ้@$%!!!!! เจิ้งยี่ เจ้าไปเอาความมั่นใจผิดๆแบบนี้มาจากไหนวะ”
“อย่างเจ้าเนี่ยนะที่เรียกว่าระดับการบ่มเพาะสูงล้ำ”
“เจ้าเชื่อรึเปล่าว่าต่อให้ข้าไม่เอาดาบของเจ้าออกจากคอข้า ข้าก็ยังฆ่าเจ้าได้ทุกเมื่อ”
“ฆ่าข้าเรอะ ฝันไปเถอะเอ็ง นี่เจ้าคิดเหรอว่าข้านั้นไม่อาจทำอะไรไอ้ระยำหลินฟานนั่นไม่ได้น่ะ”
“เฮเฮเฮ้ เจิ้งยี่ เจ้าอยากจะลองเหรอ” เฉินเฉียงหัวเราะตัวโยนในทันที เป็นตอนนี้ที่ที่เสียงของเขานั้นนุ่มละมุนราวกับปุยเมฆจนทำให้ผู้คนที่ได้ยิ้มเคลิบเคลิ้ม ผ่อนคลาย ราวกับจะหลับใหลได้ในทันที
นี่คือทักษะสะกดจิตระดับสูงที่ทำให้เฉินเฉียงนั้นสามารถใช้เสียงอะไรก็ได้ทำให้ผู้คนลดการระแวดระวังลง
นี่เองก็เป็นหนึ่งในทักษะการโจมตีทางจิตวิญญาณที่ทรงพลัง
ไม่ว่าระดับการบ่มเพาะของอีกฝ่ายจะอยู่ในระดับไหนก็ตาม ตราบใดที่อีกฝ่ายนั้นยังเป็นสิ่งมีชีวิตและมีค่าพลังจิตที่ต่ำกว่าเขาอย่างมาก เมื่อใดก็ตามที่เขาใช้ทักษะนี้ สิ่งสิ่งนั้นก็ราวกับจะหมดทางสู้ไปโดยปริยาย
และก่อนที่เจิ้งยี่จะทันได้รู้ตัว เขาก็พบว่าเฉินเฉียงได้นั่งอยู่กับพื้นตรงหน้าเขา และมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
“สะกด…จิต….เหรอ” เจิ้งยี่ถามออกมาด้วยคิ้วขมวดแน่น
“แล้วไง ใครจะสนว่ามันเป็นทักษะอะไรกันล่ะ เอาล่ะ บอกข้ามา เจ้าคิดว่าข้านั้นมีความสามารถที่จะฆ่าเจ้าได้รึยัง”
เจิ้งยี่ถอนลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เฉินเฉียง ข้าไม่ใช่คู่มือของเจ้าจริงๆ แต่เจ้าเองอย่างน้อยๆก็ช่วยตอบคำถามข้าหน่อยก่อนที่จะฆ่าข้า”
“ในเมื่อเจ้านั้นไม่ใช่มนุษย์กลายพันธ์ุและเจ้าเองก็รู้สถานะของข้าแล้ว แล้วทำไมเจ้ายังช่วยข้า เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
เฉินเฉียงได้มองทางซ้ายขวาก่อนที่จะลากเจิ้งยี่มุดลงดินไป
ใต้พื้นดินประมาณสิบเมตร เฉินเฉียงก็ได้หยุดการดำดินลง
“ศิษย์พี่เจิ้งยี่ ที่นี่น่าจะปลอดภัยพอแล้ว ท่านนั่งลงก่อน”
เฉินเฉียงได้พาตนเองลงมายังช่องว่างในดินขนาดใหญ่ก่อนที่จะนั่งตรงข้ามกับเจิ้งยี่
“เฉินเฉียง เจ้าทำอะไรกัน” เจิ้งยี่ถามออกมาอย่างสงสัย “นี่เจ้ามีความลับด้วยเหรอ”
“ท่านก็มีความลับ แล้วทำไมข้าจะมีไม่ได้ล่ะ ข้าพูดถูกรึเปล่า” เฉินเฉียงได้มองไปยังเจิ้งยี่ด้วยท่าทางจริงจังและพูดออกมา “ศิษย์พี่เจิ้ง ข้าอยากจะรู้ว่าทำไมในมิติประลองนั่น ตอนที่ท่านสู้กับหลินฟานแล้วถูกฝังแผ่นแก่นพลังงานไปนั้น ทำไมทั้งๆที่ท่านรู้ตัวแล้วแต่ท่านยังคิดว่ามันเป็นศัตรูอยู่อีก แถมพอออกมาแล้วท่านยังคิดจะฆ่ามันอย่างไม่ลดละอีกล่ะ”
“ห้ะ เฉินเฉียง คำถามของเจ้าช่างแปลกประหลาดนัก…….อ้อ เจ้าจะบอกว่าข้า เจิ้งยี่ผู้นี้ แค่ถูกฝังแผ่นแก่นพลังงานนั่นแล้วก็ควรจะถูกควบคุมด้วยหลินฟานและคอยทำตามที่มันบอกอย่างนั้นน่ะเหรอ”
ยังไงซะเผ่าพันธุ์มนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์ก็ราวกับน้ำและไฟ ไม่ใช่ว่าพวกเราสมควรจะสังหารพวกมันในทันทีรึไงกัน
เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นคำพูดที่มุ่งมั่นและท่าทางที่ราวกับเป็นคำสัตย์อยู่ในใจเขานี้ยิ่งทำให้เฉินเฉียงนึกมั่นใจความคิดของเขาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในมิติประลองนั่นยิ่งกว่าเดิม
“ศิษย์พี่เจิ้ง แต่ท่านในตอนนี้คือมนุษย์หลายพันธุ์แล้วไม่ใช่รึไงกัน หากฟังจากที่ท่านพูดมา ท่านเองก็ควรจะพูดกับหลินฟานสิ”
“เอาอย่างนี้ ไอ้คำปฏิญาณบ้าบออะไรนั่นน่ะช่างหัวมัน ข้าต้องการฟังความคิดของท่านจริงๆ”
หลังจากเฉินเฉียงพูดจบ เจิ้งยี่ที่ได้ยินก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่
เฉินเฉียงนั้นไม่ได้คิดที่จะกดดันแต่อย่างใด กลับกัน เขาคอยปล่อยกระแสจิตของตนตรวจสอบพื้นที่โดยรอบเพื่อดูว่ามีใครสอดแนมพวกเขาอยู่รึเปล่า เขายอมรอที่จะฟังเพื่อที่จะตัดสินใจอีกที
นั่นก็เพราะตรงหน้าเขานั้นคือเจิ้งยี่ที่กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์แล้วจริงๆ หากเว่ยหยวนตี้ ซุนไค และคนอื่นๆรับรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาย่อมจะกำจัดเจิ้งยี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเฉินเฉียงยอมที่จะรอรับฟังความจริงจากปากของเจิ้งยี่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจทำอะไรลงไป
หลังจากผ่านไปอีกพักใหญ่ เจิ้งยี่ก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงและพูดออกมา
“เฉินเฉียง ข้าบอกเรื่องของข้าก็ได้ แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ข้าหวังว่าเจ้านั้นจะยอมบอกเรื่องของเจ้า”
เฉินเฉียงได้พยักหน้าในทันทีและพูดออกมา “ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่ท่านบอกสิ่งที่ข้าต้องการรู้อย่างจริงใจ ข้าเองก็จะทำกับท่านเช่นเดียวกัน”
“เฮ้อออออ ก็ได้ เฉินเฉียง ข้า เจิ้งยี่ผู้นี้ได้ศึกษาอยู่ในสำนักมังกรอาชูร่านี้มาได้สามปีแล้ว”
“ถ้าจะให้พูดตรงๆก็คือว่าข้านั้นไม่ใช่อัจฉริยะแต่อย่างใด”
“ถึงแม้ว่าจะถูกรับรู้ว่าเป็นอัจฉริยะแห่งรุ่นของสำนักมังกรอาชูร่า แต่ทุกสิ่งนั้นล้วนแล้วแต่มาจากการฝึกหนักของข้าทั้งหมดทั้งสิ้น”