บทที่ 180 จิตใจ

“เฉินเฉียง ข้านั้นมาจากครอบครัวธรรมดาที่อยู่ในเขตเมืองในการกำกับของตึกจอมพลภาคกลาง(ฮัวจ้ง) พ่อแม่ของข้านั้นอยู่ในระดับต่ำชั้นที่สุดในอาณานิคมด้วยซ้ำ”

“อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะข้าโชคดีที่สายเลือดของข้าได้ตื่นขึ้นมาเมื่อข้าอายุได้สิบห้าปี หลังจากนั้นข้าใช้เวลาเพียงหนึ่งปีครึ่งก็มีระดับการบ่มเพาะในขั้นทหารขั้นสูง และเป็นตอนนี้ที่ข้าถูกส่งเข้ามาศึกษายังสำนักมังกรอาชูร่า”

“ในตอนแรกนั้น กระบวนการเพิ่มระดับขั้นการบ่มเพราะของข้านั้นช้ามาก หลังจากผ่านไปสามเดือน จุดชีพจรของข้าเปิดได้เพียงหนึ่งจุดเพียงเท่านั้น นี่ทำให้ทุกคนต่างก็ไม่เห็นค่าในตัวข้า”

“จนกระทั่งวันหนึ่ง มีใครบางคนมายังสำนักและบอกออกมาว่าอาณานิคมที่ครอบครัวของข้าอาศัยอยู่นั้นถูกรุกรานโดยมนุษย์กลายพันธุ์”

“เมื่อข้ากลับไปถึง ข้าก็พบว่าไม่มีใครในอาณานิคมที่เหลือรอดออกมา”

“พ่อแม่ของข้าที่ไม่ได้แม้แต่ปลุกพลังสายเลือดขึ้นมาด้วยซ้ำ และด้วยการเป็นเพียงแค่เป็นคนธรรมดานั้น พวกเขาถูกหั่นร่างเป็นชิ้นๆด้วยไอ้พวกเลวระยำมนุษย์กลายพันธุ์พวกนั้น”

“พวกเขาเป็นมนุษย์ธรรมดาเองนะ”

หลังจากเผลอใส่อารมณ์กับคำพูดของตัวเองออกมาแล้ว เจิ้งยี่ในตอนนี้แสดงออกมาด้วยท่าทางใส่อารมณ์

เฉินเฉียงที่เห็นก็ไม่ได้คิดจะปลอบใจหรือขัดคำพูดของเจิ้งยี่ เขายังคงนิ่งรอให้อารมณ์ของเจิ้งยี่ผ่อนคลายลงไปเอง และนั่นทำให้เขาพูดต่อ

“หลังจากนั้น ระดับการบ่มเพาะของข้ากลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และนี่เองทำให้ข้าเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างช้าๆ”

“เฉินเฉียง เจ้ายังจำวันแรกที่เจ้ามาสำนักแล้วผอ.ซุนได้นำแผ่นพลังงานของพวกมนุษย์กลายพันธุ์ที่เจ้าได้มาหลังจากฆ่าพวกมันไปได้รึเปล่า”

“ในตอนนั้นที่ข้าท้าสู้กับเจ้านั้น ไม่ใช่เพราะว่าข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่มีฝีมือพอ แต่เป็นเพราะว่าข้าเองก็คิดเหมือนกันว่าหากข้าพบพวกมัน ข้าก็คิดจะฆ่าพวกมันอย่างไม่ปรานี ข้าเลยอยากรู้ว่าข้ามีฝีมือพอที่จะฆ่าพวกมันได้รึยัง”

“เอาล่ะ เรื่องของข้าก็มีเท่านี้แหละ”

“เฉินเฉียง เจ้ายังคิดอยู่รึเปล่าว่าข้าในตอนนี้ที่ถูกฝังแผ่นแก่นพลังงานไปแล้วยังสมควรจะเป็นพวกมันอยู่”

“หากไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าหยุดข้าในวันนี้ ข้าเองก็คิดจะยอมรับโทษทัณฑ์จากผอ.ซุนและท่านเว่ยอยู่แล้ว”

“แต่ข้าไม่คิดมาก่อนว่าเจ้านั้นจะช่วยข้าด้วยตัวเองแบบนี้ ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าทำไม แต่ข้าก็ต้องขอกล่าวขอบคุณเจ้าจากใจจริง”

“และนี่ทำให้ข้านั้นคิดว่าหากเรื่องนี้จบลง ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าคิดจะหาวิธีฆ่าล้างมนุษย์กลายพันธุ์ทุกตัวที่อยู่ตรงหน้าข้าให้หมดสิ้น”

เฉินเฉียงที่รับฟังเจิ้งยี่บอกเล่าเรื่องราวอยู่ตอนนี้ก็ได้ทำการสังเกตทุกอิริยาบถของเขาในทุกชั่วขณะโดยพลังจิตของเขา และในที่สุด เขาก็พยักหน้ารับออกมาอย่างพึงพอใจช้าๆ

“ศิษย์พี่เจิ้ง ดูเหมือนว่าที่ข้านั้นเลือกที่จะช่วยท่านเอาไว้จะไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาดแต่อย่างใด”

เจิ้งยี่ที่ได้ยินก็ไม่เข้าใจ เขามองไปที่ตามของเฉินเฉียงและถามออกมา “แล้ว…ทำไมเจ้าถึงช่วยข้ากัน ไหนจะองครักษ์หยานนั่นอีก เจ้าบอกว่าเธอเองก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไม่ใช่รึไง แล้วทำไมเจ้ายังบอกความลับของเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้อีกล่ะ”

“ที่ข้าช่วยท่านไว้นั้นเป็นเพราะว่าข้าได้เห็นสายตาที่เคียดแค้นของท่านที่มีต่อหลินฟานหลังจากออกจากมิติประลองนั่น แล้วท่านยังคิดจะท้าสู้เป็นตายกับหลินฟานทั้งๆที่ออกมาจากมิติประลองแล้วก็ตาม”

“และนี่เป็นเหตุผลหลักที่ข้านั้นได้เริ่มคิดที่จะช่วยท่านเอาไว้”

“และเรื่องนี้เองก็ทำให้ข้าพอจะเชื่อได้ว่าต่อให้ท่านกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แต่ท่านก็ไม่คิดร้ายกับเผ่าพันธุ์มนุษย์”

“ส่วนองครักษ์หยานนั่น ข้ามีความรู้สึกว่าเธอเองก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับท่าน ต่อให้เธอเป็นมนุษย์กลายพันธุ์แต่เธอไม่น่าจะคิดร้ายต่อมนุษย์”

“อย่างน้อยๆตั้งแต่ข้ารู้จักเธอมา เธอนั้นไม่เคยทำอันตรายข้าเลยด้วยซ้ำ กลับกัน เธอยังช่วยชีวิตข้าหลายครั้งหลายหนในช่วงเวลาวิกฤต”

“ตัวข้านั้นไม่อาจทำตัวแบบผอ.สำนักเต่าดำที่แบ่งแยกเฉพาะเผ่าพันธุ์เพียงเท่านั้นโดยไม่นึกถึงว่าอีกฝ่ายมีจิตใจดีหรือร้าย ไม่อย่างนั้นข้าเองคงจะฆ่าเธอเพื่อปิดบังเรื่องราวไปแล้ว”

“ส่วนเรื่องข้อมูลที่ท่านว่ามานั้น ข้าไม่เข้าใจว่าข้อมูลอะไรที่ท่านว่าเป็นความลับกันล่ะนั่น”

“อ้าว ไม่ใช่ว่าเจ้านั้นบอกองครักษ์หยานไปไม่ใช่เหรอว่าเจ้าได้ฆ่ากลุ่มสายลับของมนุษย์กลายพันธุ์และยังเรื่องที่จะเข้าไปยังเขตแดนจักรพรรดินั่นอีก”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ศิษย์พี่เจิ้ง ท่านลืมไปรึเปล่าว่าตอนที่ข้าเกือบจะพลาดท่าให้หลินฟานนั่นน่ะ องครักษ์หยานได้ออกมาช่วยข้าได้ทันเวลา”

“นั่นหมายความว่าเธอนั้นติดตามดูข้าตลอดเวลา และนี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าเธอนั้นรับรู้ว่าข้าพยายามเปิดโปงหลินฟานอยู่แล้ว”

“เอาจริงๆสำหรับเธอแล้วต่อให้บอกไปก็เท่านั้นเพราะเธอนั้นรู้อยู่แล้ว”

“ส่วนมิติจักรพรรดิอะไรนั่นบอกไปก็เท่านั้นแหละ”

“นั่นก็เพราะเท่าที่รู้มานั้น มิตินี้ไม่เพียงจะเปิดให้เผ่าพันธุ์ของเราเข้าไปได้เท่านั้น แม้แต่สัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์เองต่างก็รับรู้และเข้าไปในนั้นได้พร้อมๆกับพวกเรา”

“แล้วแบบนี้ท่านจะบอกว่ามันเป็นความลับได้ยังไงกัน”

“หรือจะให้พูดให้ถูกก็คือ ข้านั้นไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยด้วยซ้ำ”

เจิ้งยี่ที่ได้ยินก็หมดคำพูดในทันที

หลังจากพูดเรื่องตลกขั้นเวลาออกมาแล้ว เฉินเฉียงก็ได้เปลี่ยนท่าทีและพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง “ศิษย์พี่เจิ้ง หากว่าองครักษ์หยานไม่มาที่นี่ล่ะก็ ข้าเองก็คงจะทำตามที่ท่านกล่าวมาและฆ่าเธอให้เร็วที่สุดหากได้พบเจอเธออีกครั้ง”

“แต่ในตอนนี้ ข้ารับรู้แล้วจริงๆว่าไม่ใช่ว่ามนุษย์กลายพันธุ์ทุกตนที่สมควรตาย และไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคนที่ควรจะมีชีวิตอยู่”

“งั้น…..เจ้าจะบอกว่าในอนาคต หากพวกเราได้พบเจอมนุษย์กลายพันธุ์พวกเราสมควรจะตรวจสอบให้ดีก่อนอย่างนั้นเหรอว่าสมควรจะฆ่าพวกมันหรือไม่”

“ไม่ เป็นแบบเดิมดีแล้ว พวกเรานั้นจะต้องฆ่าพวกมันตั้งแต่แรกเห็น” เฉินเฉียงได้แสดงออกมาด้วยสายตาขึงขังและพูดออกมาต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เผ่าพันธุ์มนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์นั้นเปรียบได้ดั่งน้ำและไฟอยู่แล้ว ก่อนที่จะรับรู้ความจริงนั้น สิ่งแรกที่พวกเราควรทำคือการปกป้องตัวเองเอาไว้ก่อน ยิ่งไปกว่านั้นคือหากพวกเรามองผิดไป ข้าเกรงว่าอาจส่งผลต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ย่อยยับจนแม้แต่พวกมนุษย์ด้วยกันเองก็ไม่อาจที่จะให้อภัยพวกเราได้”

“จะว่าไป….เมื่อพูดถึงเรื่องนั้นแล้ว…”เฉินเฉียงได้พูดออกมาก่อนที่จะหันไปมองเจิ้งยี่และพูดต่อ “ศิษย์พี่เจิ้ง ถึงแม้ว่าข้านั้นจะเชื่อว่าท่านไม่มีทางทำอันตรายมนุษย์ได้ แต่ข้าเองก็ไม่อาจจะปล่อยวางความคิดที่ว่ามนุษย์กลายพันธุ์จะควบคุมท่านโดยใช้เรื่องแผ่นแก่นพลังงานที่ฝังไว้อยู่ในร่างท่านได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้เองก็อาจจะเป็นไปได้ในอนาคต ดังนั้นเพื่อความสบายใจของข้าและเพื่อความปลอดภัยของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ท่านหวังว่าท่านจะยอมให้ข้าคอยสอดส่องท่านอยู่ตลอดเวลานะ”

“ห้ะ เจ้าต้องการจะสอดแนมข้างั้นเหรอ” เจิ้งยี่รู้สึกปวดร้าวในใจในทันทีที่ได้ยินก่อนจะยืนขึ้นและพูดออกมาอย่างเย็นชา “เฉินเฉียง ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อใจข้า แล้วทำไมถึงไม่ฆ่าข้าซะเลยล่ะ”

เหมือนเห็นท่าทางที่แสดงออกมาอย่างเป็นตัวเองแบบนี้แล้ว เฉินเฉียงยิ่งชื่นชอบในตัวเจิ้งยี่และไม่ต้องการปล่อยเขาให้หลุดรอดเงื้อมมือของเขาได้มากกว่าเดิม

แต่หากเขานั้นใช้กำลังบังคับ ผลที่ออกมานั้นย่อมไม่ดีอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้ดังนั้น เฉินเฉียงก็รีบยิ้มออกมาโดยไว

“ศิษย์พี่เจิ้ง การที่ข้าช่วยท่านเอาไว้นั้น แน่นอนว่าเป็นเพราะข้านั้นเชื่อใจท่านอย่างหมดใจ”

“แต่ท่านไม่ลองคิดถึงมุมมองฝั่งข้าดูล่ะ หากอยู่ๆไอ้พวกนั้นมันมีวิธีควบคุมแผ่นแก่นพลังงานในหัวของท่านขึ้นมาได้ เมื่อถึงเวลานั้น ท่านคิดว่าข้าจะสามารถฆ่าท่านได้โดยง่ายรึยังไง”

“แล้วหากเกิดเรื่องแบบนั้นจริง ข้ายังมีหน้าไปสู้เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่อีกเหรอ”

“แต่จะว่าไป ข้าคิดว่าท่านเองก็เกลียดชังมนุษย์กลายพันธุ์อย่างหนักอยู่ เรื่องนี้ถูกต้องสินะ”

“แล้วท่านไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ดีและฆ่าล้างมนุษย์กลายพันธุ์เพื่อแก้แค้นให้พ่อแม่และตัวเองแล้วอย่างนั้นเหรอ”

คำพูดนี้ราวกับเป็นการจี้ตรงจุดของเจิ้งยี่ในทันที

นั่นก็เพราะเหตุผลที่เขานั้นยังคิดจะมีชีวิตอยู่นั้นมีเพียงการฆ่าล้างมนุษย์กลายพันธุ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อแก้แค้นให้กับตัวเขาและพ่อแม่จริงๆ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เจิ้งยี่ไม่มีทางเลือกอีก เขาได้ก้มหัวยอมรับแล้วพูดออกมา “ก็ได้ เฉินเฉียง ถือว่าเจ้านั้นกล่อมข้าสำเร็จ”

“บอกข้ามาว่าเจ้าจะสอดส่องข้าได้ยังไง”

เฉินเฉียงนั้นในตอนนี้ในใจเต็มไปด้วยความปรีดาแต่ภายนอกเขายังคงนิ่งเฉยและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ง่ายมาก ติดตามข้าและเข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ย”

“ห้ะ แต่ข้าเป็นคนของตึกจอมพลภาคกลางนะ”

“แล้วไงล่ะ” เฉินเฉียงยิ้มและพูดออกมา “ศิษย์พี่เจิ้ง หลังจากการประลองจบแล้ว พวกเรานั้นสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าร่วมกองกำลังไหนและเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิทำภารกิจที่ได้รับมา”

“แน่นอนว่าด้วยผลงานของท่านแล้วท่านจะเข้าร่วมกับใครก็ได้ตามที่ท่านต้องการ”

“และหากท่านยืนกรานจะเข้าร่วมกองกำลังของเข้า ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถรั้งไว้ได้”

“นี่คือทางเลือกของท่าน”

“ดี ข้าจะนั่งยันนอนยันเข้าร่วมกับเจ้าให้จงได้”