หลังคิดถึงตรงนี้ เหนียนซูหลานได้สติอย่างรวดเร็ว
ยกมุมปากขึ้น ก่อนบนใบหน้างดงามนั้นจะปรากฏรอยยิ้มอีกครั้ง ความงอนง้อในน้ำเสียงเข้มข้นขึ้น
“ไม่นะ พี่อวี๋ เมื่อครู่ตอนออกจากวังหลวงท่านรับปากเสด็จป้าว่าจะดูแลข้าเป็นอย่างดี อีกทั้งตอนนี้ดึกขนาดนี้แล้ว หากระหว่างเดินทางพบเจออันธพาลเข้าจะทำเช่นไร พี่อวี๋ ข้ากลัว”
เอ่ยจบ เหนียนซูหลานแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา
แววตาคู่งามก็ปกคลุมด้วยหมอกชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอดูน่าสงสารยิ่งขึ้น
และทำให้เล่อเหยาเหยาเห็นแล้ว ต้องร้องตะโกนในใจ
เดิมทีคิดว่าเธอมีพรสวรรค์ในการแสดงไม่เลว แต่ตอนนี้เธอจึงรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน! เหนียนซูหลานแสดงละครได้อย่างสมบูรณ์ยอดเยี่ยม ทำให้เธอเห็นแล้ว รู้สึกฝีมือห่างชั้นกันเกินไปทีเดียว!
ไม่รู้ว่าพญายมเห็นแล้วจะหวั่นไหวหรือไม่
เพราะสำนวนที่ยอดเยี่ยมกล่าวไว้ว่า ชายหนุ่มจีบหญิงสาว เหมือนกั้นด้วยภูเขา หญิงสาวจีบชายหนุ่ม เหมือนกั้นด้วยผ้าแพร
ยิ่งกว่านั้นหญิงสาวที่งดงามเช่นเหนียนซูหลานนี้ รู้จักคุ้นเคยกับเขามาตั้งแต่เด็ก ย่อมมีความรู้สึกเกิดขึ้นบ้างแน่
ยิ่งคิด ในใจเล่อเหยาเหยายิ่งอึดอัด
เพียงนึกถึงว่าพญายมรู้จักกับผู้หญิงคนนี้มาตั้งแต่เด็ก ต้องมีความทรงจำที่สวยงามร่วมกันแน่!
ตอนเด็กสองคนมิอาจคาดเดา ทว่าหลังเติบโตขึ้นไม่รู้จะกลายเป็น…
เพียงนึกถึงว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋อาจแต่งงานกับเหนียนซูหลาน เล่อเหยาเหยายิ่งอึดอัดใจ
ขณะที่ล่อเหยาเหยาคิดในใจ เธอก็เดินตามพวกหนานกงจวิ้นซีไปด้านหน้า กลับกันไม่คาดคิดว่าจะต้องเจอกับคำขอร้องของสาวงามเช่นนี้ พญายมต้องส่งเธอกลับเหมือนเช่นที่ทำเมื่อคืนอีกแน่นอน
คิดไม่ถึง ขณะที่เล่อเหยาเหยาเพิ่งเดินไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำแหบพร่ามีเสน่ห์ของชายหนุ่มด้านหลัง
“อืม เช่นนั้นไปกันเถิด”
“ฮ่าๆ ข้ารู้ว่า พี่อวี๋ดีกับข้าที่สุด”
จากคำพูดดีใจของเหนียนซูหลาน ภายในน้ำเสียงของเธอ แม้เล่อเหยาเหยาจะไม่หันกลับไปมอง เธอก็รู้ว่าในใจเหนียนซูหลานเวลานี้ต้องดีใจแน่!
พญายมล่ะ!
ความจริง เขาก็ไม่ได้ไร้ความรู้สึกกับเหนียนซูหลานสินะ! มิฉะนั้นจากนิสัยของพญายม จะไปส่งเธอกลับได้เช่นไร!
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจเล่อเหยาเหยาพลันหึงหวง ศีรษะเล็กเพราะผิดหวังเสียใจจึงก้มต่ำลง
เธอเดินตามตงฟางไป๋เช่นนี้ไปทีละก้าว คิดลงจากเรือ คิดไม่ถึง ทันใดนั้นเรือสำราญที่มั่นคงพลันถูกบางสิ่งกระแทกเข้า โคลงเคลงอย่างรุนแรง
เรื่องกะทันหันนี้เกิดขึ้น ทำให้คนตั้งตัวรับมือไม่ทัน และเล่อเหยาเหยาที่ก่อนหน้านี้เอาแต่ก้มหน้าเดินอย่างไร้ชีวิตชีวา
จึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ เธอเป็นคนหนึ่งที่ตั้งตัวไม่ทัน ร่างกายจึงสูญเสียการทรงตัว เอนตัวล้มไปทางด้านข้าง
ส่วนข้างกายเธอคือขอบเรือที่ต่ำมาก
เสียง ‘อา’ ดังขึ้นพร้อมร่างกายเธอที่สูญเสียการทรงตัว เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงท้องฟ้าหมุนวนผืนดินพลิกกลับ พลันรู้สึกตกจากที่สูง
เธอรู้ว่าตนต้องตกจากเรือ
แม้เธอจะว่ายน้ำได้ แต่ตอนนี้ดึกมากแล้ว ด้านล่างเรือมืดมิด มองไปแล้วคล้ายปีศาจดุร้ายที่มีปากกว้างใหญ่ ทำให้คนที่เห็นตกตะลึง
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาตกใจจนหัวใจแทบกระดอนออกมา สุดท้ายเพราะหวาดกลัวเกินไป จึงหลับตาลง รอให้ถึงเวลาที่ตนตกลงไปในน้ำ
แต่ทันใดนั้น เธอกลับรู้สึกว่ามือคู่นั้นถูกคนจับไว้แน่น
รู้สึกถึงน้ำหนักบนข้อมือ ทำให้เล่อเหยาเหยาตกใจ เพราะเธอรู้ว่ามีคนดึงเธอเอาไว้
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจค่อยๆ สงบลง พลันลืมตาคู่งามขึ้นอย่างช้าๆ เงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาตะลึงขึ้นอีกครั้ง
เมื่อครู่เธอรู้สึกเพียงถูกคนดึงมือตนไว้ กลับไม่คิดว่าคนที่จับดึงข้อมือเธอไว้ จะเป็นพญายมและตงฟางไป๋
เห็นเพียงพวกเขาสองคน ต่างคนต่างดึงมือเธอไว้คนละข้าง เธอจึงรอดพ้นจากการตกน้ำ
ตรงข้ามกับความตกตะลึงของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋และตงฟางไป๋บนเรือก็ต่างตกใจเช่นกัน
ทันใดนั้น พวกเขาสองคนมองหน้ากัน อาจเพราะต่างรับรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามต่างดึงข้อมือเล่อเหยาเหยาไว้พร้อมกัน
จากนั้น พวกเขาเพียงตะลึงงันชั่วขณะ พลันเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยพูดกับตงฟางไป๋ว่า
“ข้าเองดีกว่า”
“อืม”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ตงฟางไป๋เพียงตอบรับเบาๆ ก่อนปล่อยมือจากมือของเล่อเหยาเหยา
ขณะที่เขาปล่อยมือจากเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ออกแรงดึงเล่อเหยาเหยาขึ้นมา
อีกทั้ง บนใบหน้าดุจภูเขาน้ำแข็งนั้นของเขา ยังคงไร้ความรู้สึกเช่นเดิม ท่าทางดูผ่อนคลายอย่างยิ่ง ดุจเขาดึงสิ่งที่ไร้น้ำหนักอยู่
หากมองให้ละเอียด ยังจะสังเกตเห็นได้ว่าแววตาของเขาพลันมีความกังวลวาบขึ้น
น่าเสียดาย เวลานี้เล่อเหยาเหยาตกใจ จึงไม่สังเกตถึงเรื่องนี้
ในที่สุดสองเท้าก็เหยียบลงบนสิ่งที่มีอยู่จริง ใจเล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกมั่นคงลง
ทว่าใบหน้าเล็กที่ในใจยังหวาดกลัวอยู่ กลับซีดขาวดุจกระดาษ ทำให้คนที่เห็นกังวลไม่หยุด
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่!”
เห็นเช่นนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดขมวดคิ้วน่ามองไม่ได้ แววตากังวลสุดจะบรรยาย
แม้น้ำเสียงของเขาจะยังเย็นชาเช่นเดิม แต่หากฟังให้ดีจะฟังออกถึงความห่วงใยในคำพูดของเขา
ส่วนเล่อเหยาเหยาหลังได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ค่อยๆ เงยใบหน้าเล็กซีดขาวขึ้น หมายยิ้มให้เขา เพื่อให้เขาวางใจ
แต่เธอกลับไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของตน ดูน่าเกลียดกว่าร้องไห้เสียอีก
“บ่าวไม่เป็นไร”
เอ่ยจบ เล่อเหยาเหยาคิดลุกยืนขึ้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้น ก็ปล่อยมือใหญ่จากข้อมือเธอ
คิดไม่ถึง เล่อเหยาเหยาเพิ่งยืนได้ไม่นาน กำลังจะเดินไปข้างหน้า ทว่าอาจเป็นเพราะเมื่อครู่ตกใจเกินไป จึงทำให้ขาอ่อนแรง
เพียงคิดร่างกายของเล่อเหยาเหยาก็อ่อนยวบลง ก่อนล้มหงายหลังไป
ทว่าครั้งนี้ เธอไม่ได้ล้มลงบนดาดฟ้าที่เย็นยะเยือกนั้น แต่กลับล้มลงสู่หน้าอกที่แข็งแกร่งอบอุ่น
เมื่อสูดดมจะได้กลิ่นหอมของอำพันทะเลอันคุ้นเคยนั้น
หลังรับรู้ว่าตนล้มสู่อ้อมกอดของผู้ใด เล่อเหยาเหยาตกใจอย่างหนัก คิดปีนป่ายขึ้นมาจากอ้อมกอดนั้นทันที คิดไม่ถึง เธอเพียงขยับตัว กลับมีคนเคลื่อนไหวเร็วกว่าเธอหนึ่งก้าว
เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงแน่นที่เอว ก่อนร่างกายพลันถูกคนยกตัวอุ้มขึ้น
เพราะการกระทำของชายหนุ่มกะทันหันเกินไป เล่อเหยาเหยาจึงไม่ได้เตรียมใจแม้แต่นิดเดียว หลังตกใจร้อง ‘อา’ ออกมา สองมือยกคล้องที่คอของชายหนุ่มโดยอัติโนมัติ
การกระทำนี้ของเธอ ความจริงคือไม่ได้ตั้งใจ
คล้ายกับคนที่กำลังจมน้ำ ต้องจับขอนไม้เพื่อเอาชีวิตรอด
คิดไม่ถึง สำหรับการกระทำนี้ของเธอ กลับมีเสียงหัวเราะเบาๆ ของชายหนุ่มดังขึ้นมา
เสียงหัวเราะของชายหนุ่มเบาอย่างยิ่ง แต่ในกลางดึกที่เงียบสงัด กลับดังกังวานและน่าหลงใหลที่สุดเป็นพิเศษ
คล้ายสุราชั้นดีที่เพิ่งถูดเปิดขึ้น เมื่อเปิดฝานั้นออกกลิ่นสุราหอมหวนก็โชยออกมา ทำให้คนที่ได้กลิ่นเมามายโดยที่ยังไม่ได้ดื่ม
ส่วนเล่อเหยาเหยาเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่มีเสน่ห์ของชายหนุ่ม พลันมีสีหน้าเก้อเขิน คิดปล่อยมือออก คิดไม่ถึง ชายหนุ่มคล้ายล่วงรู้ความคิดในใจของเธอ ขณะที่เธอปล่อยมือ เขาก็ปล่อยมือเช่นเดียวกัน
จนเล่อเหยาเหยาต้องตกใจ พลันกอดคอชายหนุ่มไว้แน่นอีกครั้ง
หัวใจจึงเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง เพราะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
ในใจรู้ว่าเมื่อครู่ชายหนุ่มตรงหน้าจงใจ ทำให้เล่อเหยาเหยาทั้งเขินอายและโมโห
เมื่อนึกได้ว่าเวลานี้ตนยังอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ถูกชายหนุ่มโอบกอด อีกทั้งยังอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน ทำให้ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาเขินอาย พลันเงยดวงตาคู่งามที่เต็มไปด้วยความโมโหและเขินอาย มองไปยังสายตาเย็นชาแคบยาวล้ำลึกของชายหนุ่ม
เพราะเวลานี้ชายหนุ่มหันหลังให้กับแสง จึงทำให้ร่างกายแข็งแกร่งของเขาจมหายเข้าไปในความมืดมิด มองไม่เห็นใบหน้าและสีหน้าของเขา
แม้จะเป็นเช่นนี้ เล่อเหยาเหยายังรู้สึกเช่นเดิมว่าดวงตาเย็นชาเต็มไปด้วยความเย้าแหย่คู่นั้น กำลังจ้องมองมาที่เธอ
สายตาร้อนแรงแฝงความขี้เล่นเช่นนี้ของเขา ทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงมีความอบอุ่นทะลักขึ้นมาจากใจก่อนพุ่งขึ้นไปเหนือศีรษะ
หลังคิดอยู่นาน เล่อเหยาเหยาจึงหลุบดวงตาคู่งามลง ก้มศีรษะเอ่ยอย่างเหนียมอายว่า
“ท่านอ๋อง บ่าวไม่เป็นแล้ว เดินเองน่าจะดีกว่า”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยพูดความจริง
เมื่อครู่เธอเพียงยังไม่ได้สติ รวมทั้งยังคงหวาดกลัวจึงแข้งขาอ่อนแรง
แต่เธอกลับไม่ได้อ่อนแอ ตอนนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว
รวมทั้งถึงแม้ตอนนี้จะดึกจนไร้ผู้คน รอบด้านเงียบสงัด แต่ข้างกายพวกเขาตอนนี้ยังมีพวกตงฟางไป๋หลายคนอยู่ตรงนี้!
ท่านอ๋องผู้สง่างาม กลับโอบกอดขันทีน้อยผู้หนึ่งท่ามกลางสายตาของทุกคน ในสายตาคนอื่น พวกเขาจะคิดเช่นไร!
สำหรับความคิดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่เคยล่วงรู้เลย แต่เขากลับไม่สนใจเลยสักนิด
เพราะด้านนอกมีข่าวลือเกี่ยวกับเขามากมาย ทั้งจริงและไม่จริง เหตุใดเขาต้องสนใจสายตาของผู้อื่นเช่นนั้นด้วย!
อีกทั้งคนในอ้อมกอดบอบบางเช่นนี้ คล้ายสวรรค์สร้างขึ้นมาเพื่อเขา เหมาะสมกับร่างกายของเขาอย่างยิ่ง
เมื่อโอบกอด ‘เขา’ ทำให้เขารู้สึกว่าใจที่เดิมทีหนาวเหน็บ ค่อยๆ อบอุ่นขึ้นอย่างมาก
และทำให้เขาเวลานี้ ตัดใจปล่อยมือไปไม่ได้
พอคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันหนาวเหน็บ ก่อนจะกลับมาไร้ความรู้สึกเช่นเดิม ก่อนเผยอริมฝีปากแดง เอ่ยขึ้นว่า
“ข้าไม่อยากต้องออกแรงดึงเจ้าขึ้นมาจากน้ำอีกแล้ว”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาพลันพูดไม่ออกและเขินอาย
พร้อมก่นด่าในใจ เธออ่อนแอขนาดนั้นหรือ!
ขณะกำลังคิดในใจ เล่อเหยาเหยาพลันรู้สึกว่ามีสายตาคมกริบคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมายังตน
หลังรับรู้ถึงสายตานั้น เล่อเหยาเหยาตกใจในใจ พลันหันกลับไปมองที่มาของสายตาคมกริบนั้น ก่อนเห็นใบหน้าดูเคร่งขรึมลงของเหนียนซูหลาน
เห็นเพียงเหนียนซูหลานเวลานี้ ยืนอยู่ด้านหลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋ บนใบหน้างดงามนั้นเวลานี้ปกคลุมด้วยความหมองคล้ำและไม่เชื่อสายตา สายตาที่มองเล่อเหยาเหยาแฝงด้วยการหยั่งเชิงและคมกริบที่แทงเข้าอย่างตรงจุด
คล้ายรับรู้ถึงบางอย่างระหว่างเล่อเหยาเหยาและเหลิ่งจวิ้นอวี๋
เพราะภาพตอนนี้ ความจริงทำให้เธอตกตะลึงอย่างหนัก
ชายหนุ่มคล้ายไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตาสมัยก่อน ใส่ใจคนผู้หนึ่งเช่นนี้!
อีกทั้งคนผู้นี้ กลับยังเป็นเพียงขันทีน้อยผู้หนึ่ง!
นี่…นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเสียจริง
……………………………………………