เวลานี้เหนียนซูหลานทั้งตกตะลึง ทั้งแปลกใจ
เพราะหลังเธอกลับมาที่นี่ ไม่เคยเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มข้างกายนี้เลย
เดิมคิดว่าเป็นเพราะนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กของชายหนุ่ม ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจ
แต่ตอนนี้เห็นชายหนุ่มอมยิ้ม เพราะขันทีน้อยตรงหน้า แม้รอยยิ้มนั้น จะเลือนรางอย่างมาก หากไม่มองให้ละเอียด เดิมทีไม่สังเกตเห็นได้ แต่เขากำลังยิ้มจริง!
สำหรับเรื่องนี้ ทำให้เหนียนซูหลานตะลึงในใจไม่หยุด
ดวงตาคู่งามจึงพลันเบือนไปมองคนฝั่งตรงข้าม แววตาแฝงความครุ่นคิด
สำหรับสายตาแปลกประหลาดที่หญิงสาวตรงหน้ามองตน ทำให้เล่อเหยาเหยาที่กำลังทะเลาะอยู่กับหนานกงจวิ้นซีมีสีหน้าตะลึงงัน พลันมองกลับไป
เห็นเพียงเหนียนซูหลาน แม้จะมีสีหน้าเช่นนี้ แต่ยังคงงดงามโดดเด่นเช่นเดิม สายตาเธอก็หันกลับมองไปยังเหลิ่งจวิ้นอวี๋อีก
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยากระพริบตาคู่งามอย่างสงสัยครู่หนึ่ง
หรือตนมองผิดไป!
ขณะคิดในใจอยู่ครู่หนึ่ง เล่อเหยาเหยาไม่คิดมากอีก
สายตามองหนานกงจวิ้นซีที่กำลังถูกตนยั่วโมโหด้านข้างอีกครั้ง
เห็นเพียงหนานกงจวิ้นซีคล้ายเด็กตัวโตที่กำลังโมโห บนใบหน้าดูหงุดหงิด ดูแล้วความจริงน่ารักอย่างยิ่ง!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาปรายตามองครู่หนึ่ง พลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ หัวเราะฮิฮิก่อนเอ่ยว่า
“ฮ่า ๆ องค์ชายเจ็ด ข้าทราบว่าท่านเฉลียวฉลาด เช่นนั้นให้ข้าทายปริศนาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าองค์ชายเจ็ดจะตอบได้หรือไม่นะ!”
“ฮึ ปริศนาอันใดพูดมา เจ้าบ่าวน่าตายผู้นี้ ภายในสมองมีแต่ความคิดแปลกประหลาด ไม่จริงจังสักนิด”
สำหรับเล่อเหยาเหยาที่กำลังหัวเราะฮิฮิ ความจริงเขาก็ไม่ได้โมโหจริงจัง
อีกทั้ง ในใจยังมีความสุข
เพราะตอนนี้ความสนใจของ ‘เขา’ ไม่อยู่ที่ศิษย์พี่ใหญ่อีกแล้ว และไม่ได้อยู่ที่ไป๋ ความรู้สึกเช่นนี้ ไม่เลวจริงๆ!
เมื่อไม่รู้ความคิดในใจของหนานกงจวิ้นซี สายตาเล่อเหยาเหยามองหนานกงจวิ้นซีอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ มองสีหน้ายุ่งยากใจของหนานกงจวิ้นซี พลันเบือนสายตากลับมา พร้อมเอ่ยปากขึ้นว่า
“เติบโตอยู่ตรงกลาง มีผิวหนังมีขน ยาวห้าถึงหกนิ้ว ทายาทถูกห่อไว้ด้านใน ทุกท่านลองเดาว่าคือสิ่งใด!”
น้ำเสียงใสไพเราะของเล่อเหยาเหยา ในคืนอันน่าหลงใหล จึงดังกังวานเป็นพิเศษ
แต่หลังเอ่ยจบ ทุกคนกลับไม่เอ่ยปากขึ้นมา
อีกทั้งสีหน้าดูขัดเขิน เห็นชัดว่าทุกคนคาดเดาว่าเป็นสิ่งใด แต่กลับละอายที่จะเปิดปากออกมา
เหนียนซูหลานที่นั่งอยู่ข้างเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หลังคิดไปแล้ว คล้ายนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ ทันใดนั้น สองแก้มแดงก่ำ ทำให้ดูสวยหยาดเยิ้มยิ่งขึ้น แต่กลับเพียงก้มหน้าหลุบสายตา สีหน้าดูเขินอาย
กระทั่งเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หลังได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา อดยิ้มที่มุมปากไม่ได้
เห็นชัดว่าเล่อเหยาเหยากระทั่งคำปริศนายังเอ่ยออกมาได้
ส่วนตงฟางไป๋ด้านข้างยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
เขาเป็นคนเดียวตรงนี้ที่รู้ว่าเล่อเหยาเหยาคือผู้หญิง เวลานี้เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาที่เป็นเด็กสาว กลับกล้าเอ่ยปริศนาเช่นนี้ออกมา ทันใดนั้น เขามีสีหน้าเก้อเขิน สองแก้มแดงเล็กน้อย
ส่วนหนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้าง เมื่อครู่ก่อนที่เล่อเหยาเหยาจะเอ่ยขึ้น ถูกเล่อเหยาเหยามองอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจจึงมองต่ำลง เวลานี้เขายังสับสนอยู่!
ตอนนี้หลังได้ยินคำพูดเล่อเหยาเหยาอีกครั้ง บนใบหน้าหล่อเหลาพลันทำอะไรไม่ถูก
เมื่อเห็นทุกคนตรงนั้น รวมทั้งเหนียนซูหลานที่เป็นสตรีเพียงคนเดียว เขาจึงเอ่ยตำหนิเล่อเหยาเหยาขึ้นว่า
“เจ้าบ่าวผู้นี้ มีสตรีอยู่ที่นี่ ปริศนาเช่นนี้เจ้ายังกล้าเอ่ยออกมา เจ้านี้มันจริงๆ เลย!”
“โอ้ องค์ชายเจ็ด ปริศนาของข้ามีสิ่งใดหรือ ปริศนานี้ของข้าก็ปกติ ท่านเดาไม่ออก ดังนั้นจึงพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่!”
เห็นท่าทางหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยารู้ว่าเขาต้องคิดไปไกลแน่ พลันรู้สึกน่าขัน
เมื่อเห็นสีหน้าเขินอายของทุกคน จากนั้นก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้
ฮ่าๆ เห็นชัดว่าทุกคนต่างบิดพลิ้ว! อีกทั้งยังหน้าแดง!
ล้วนเป็นคนที่ซื่อตรงเสียจริง…
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดเม้มปากแอบหัวเราะไม่ได้
เห็นทุกคนไม่เอ่ยปาก เล่อเหยาเหยาจึงกระพริบดวงตาคู่งามสดใสครู่หนึ่ง ใบหน้าปรากฏความน่าสงสารอย่างมากขึ้นมา เพียงเอ่ย พลางส่ายหน้าไปมาว่า
“เมื่อทุกคนเดาคำตอบไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะเฉลยคำตอบแล้วนะ”
น้ำเสียงเล่อเหยาเหยาดูจนใจอย่างมาก แต่ว่าเมื่อฟังประโยคนี้ของเธอ สีหน้าของทุกคนดูเขินอาย หนานกงจวิ้นซีมองเหนียนซูหลานอีกครั้ง กลัวเล่อเหยาเหยาจะเอ่ยคำตอบออกมา เหนียนซูหลานจะรู้สึกละอายใจ เพราะเธอเป็นสตรี หากมีเพียงพวกเขาเหล่าชายหนุ่มจะไม่มีปัญหาใด
ดังนั้น จึงคิดเอ่ยปากหยุดยั้งคำตอบของเล่อเหยาเหยา แต่กลับช้าไปก้าวหนึ่ง
อีกทั้ง หลังได้ยินคำตอบของเล่อเหยาเหยา ใบหน้าหล่อเหลาพลันตะลึงงัน และขวยเขิน
“เอ้อ เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ!”
ไม่เพียงหนานกงจวิ้นซีที่ตะลึงงัน คนอื่นที่เหลือต่างมีสีหน้าตะลึงเช่นกัน
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาอดยิ้มมุมปากไม่ได้ ก่อนเอ่ยว่า
“คำตอบคือข้าวโพด ปริศนาที่ง่ายดายเช่นนี้พวกท่านคาดเดาไม่ออก ฮ่าๆๆ หรือว่า…”
พูดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยากระพริบตา พลันปรายตามองไปยังทุกคน ก่อนแกล้งเอ่ยขึ้นว่า
“หรือพวกท่านคิดไปไกลถึงที่ใดกัน!”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ทุกคนพลันทำอะไรไม่ถูก เพราะเธอพูดไม่มีผิดแม้แต่นิดเดียว เมื่อครู่พวกเขาคิดไปไกลจริง
ตงฟางไป๋มีสีหน้าเก้อเขิน สองแก้มแดงก่ำขึ้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่อยู่ตรงข้าม บนใบหน้าแม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่าหากมองให้ละเอียด จะเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขา
ส่วนหนานกงจวิ้นซีที่นั่งอยู่ขวามือของเล่อเหยาเหยา หลังเห็นสายตาที่เล่อเหยาเหยาตั้งใจมองมา กลับอดทนไม่ไหว ยื่นมือลูบจมูก ด้วยท่าทางขวยเขิน
ทว่าเขายังอดพึมพำขึ้นอีกครั้งไม่ได้
“ไม่ต้องกล่าวโทษว่าคนอื่นคิดผิด ผู้ใดให้ปริศนาคำของเจ้าข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน อีกทั้งก่อนหน้านี้ เจ้ายังใช้สายตาแปลกประหลาดจ้องมองข้า พอข้ามอง โอ๊ย ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าตั้งใจทำให้ข้าเข้าใจผิด!”
เมื่อเอ่ยจบ หนานกงจวิ้นซีพลันตระหนักได้ทันที
ส่วนเล่อเหยาเหยาเมื่อเห็นเขาเข้าใจแล้ว ใบหน้าจิ้มลิ้มกลับเผยความงดงามออกมา ยิ้มสดใสอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ดวงตาคู่งามที่สดใสนั้น ก็เป็นประกายวิบวับ น่ามองอย่างยิ่ง!
“ฮ่าๆ ในที่สุดองค์ชายเจ็ดก็ฉลาดขึ้นมาแล้ว!”
“เอ่อ”
…
พระจันทร์คล้อยทางทิศตะวันตก ค่ำคืนค่อยมิดมืดลง
ทะเลสาบที่เดิมทีอึกทึกไม่หยุดก็ค่อยๆ เงียบสงัดลง เหลือเพียงร้านค้าแผงลอยริมฝั่งที่กำลังเก็บของ
เวลานี้ในยุคปัจจุบันประมาณตีสอง
มองสีท้องฟ้า เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงความง่วงเข้ามาเยือน จนอดยื่นมือปิดปากหาวออกมาไม่ได้
เธอง่วงนอนแล้ว
คิดดูแล้ว หลังเธอมาถึงที่นี่ เธอทำงานพักผ่อนตามปกติ เหมือนวันนี้จะเป็นครั้งแรกที่ดึกขนาดนี้แล้วเธอยังไม่ได้นอน
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นั่งตรงข้ามเธอเห็นเช่นนั้น ดวงตาเย็นชาอดเป็นประกายไม่ได้ พลันลุกยืนขึ้น พร้อมเอ่ยขึ้นว่า
“ดึกมากแล้ว พวกเรากลับกันเถิด!”
“ใช่แล้ว ดึกมากแล้ว ข้าเองก็เหนื่อยล้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างอดหาวไม่ได้ จากนั้นก็ลุกยืน บิดตัวยืดเส้นยืดสายอย่างคงความสง่างาม
คนที่เหลือเห็นเช่นนั้น ต่างลุกจากที่นั่ง
เล่อเหยาเหยาเวลานี้ ความจริงง่วงงุนอย่างหนัก เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ มิใช่ตรงกับความคิดของเธอหรือ!
เธออยากกลับไปนอนลงบนเตียงเล็กของตนให้เร็วที่สุด แล้วหลับสนิทไป เล่อเหยาเหยาคิดอย่างมีความสุขในใจ
แต่ว่าเล่อเหยาเหยาดีใจได้ไม่นาน หางตาเหลือบไปเห็นเหนียนซูหลานที่นั่งอยู่ตรงข้าม เวลานี้แนบชิดอยู่ข้างกายพญายม พลางทำปากยื่น ก่อนเอ่ยอย่างอ่อนหวานดุจเด็กสาวออกมา
“พี่อวี๋ ดึกขนาดนี้แล้ว ท่านต้องไปส่งข้านะ!”
สำหรับท่าทางออดอ้อนดุจสาวน้อยของเหนียนซูหลาน และน้ำเสียงไพเราะเพราะพริ้งของเธอ ทำให้คนฟังจิตใจฟุ้งซ่าน จนแทบอ่อนระทวยไปทั่วร่าง
สำหรับเรื่องพิทักษ์ดอกไม้ หากเป็นชายอื่นต้องไม่พูดพร่ำทำเพลง เอ่ยตกลงทันที
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจเล่อเหยาเหยาพลันกังวล มองเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างไม่ละสายตา
ในใจรู้สึกกังวล ไม่รู้ว่าพญายมจะตอบตกลงไปส่งเธอกลับไปหรือไม่!
จะตกลงหรือไม่!
ขณะที่เล่อเหยาเหยากังวลใจ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงขมวดคิ้วกับคำขอร้องของเหนียนซูหลาน หลังนิ่งเงียบไปชั่วขณะ จึงเอ่ยปากขึ้นว่า
“มีรถม้าอยู่แล้วมิใช่หรือ”
คำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เย็นชา ไม่ได้แฝงความรู้สึกใดในนั้นเลย
หลังได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ รอยยิ้มบนใบหน้าเหนียนซูหลานชะงักงัน แววตาปรากฏความผิดหวังและแปลกใจวาบขึ้นมา
เห็นชัดว่าเธอไม่คาดคิดว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋จะปฏิเสธคำขอร้องของตน
เพราะตั้งแต่เด็ก เธอมีไทเฮาสนับสนุน กิริยาจึงไม่ธรรมดา มากที่สุดคือคำเยินยอของบุรุษที่มีต่อเธอ
เธอเคยชินกับสถานการณ์ที่ห้อมล้อมจากทุกคน สำหรับชายหนุ่มที่ประจบประแจงเธอไม่หยุด แม้เธอจะได้รับการปฏิบัติจากผู้อื่นเป็นอย่างดี แต่กลับไม่น่าพิศวาสแม้แต่น้อย
แต่สำหรับชายหนุ่มตรงหน้า เธอทำสิ่งใดไม่ได้เลย
ทราบดีว่าชายหนุ่มนิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำให้คนยากที่จะเข้าใจ อีกทั้งนิสัยก็ยังเย็นชาดุจน้ำแข็ง แต่ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ เธอกลับยิ่งชื่นชอบ
หวังจริงๆ ว่าจะมีวันหนึ่งที่สามารถทำให้ชายหนุ่มที่เย็นชาดุจน้ำแข็งตรงหน้าเปลี่ยนแปลงเพื่อเธอได้
ขณะคิดในใจ แววตาเหนียนซูหลานปรากฏความแน่วแน่ออกมา
ทำได้แน่!
ชายหนุ่มที่เธอรัก ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด เธอต้องได้มา
ไม่เพียงร่างกายของเขา ยังมีหัวใจเขาด้วย!
แม้ใจเขาจะหนาวเหน็บ เธอก็ต้องทำให้ใจเขาอบอุ่นให้ได้!
ดังนั้น เธอจึงไม่สนใจ ใช้ใบหน้าอบอุ่นของตนแนบชิดความเย็นของเขา