บทที่ 134 ข่าวคราวของปู้วั่ง

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

อิ๋งซื่อหลุบตาลงมองใบหน้าที่เข้าสู่ห้วงนิทราของซ่งชูอี แม้นผิวพรรณคล้ำอยู่บ้าง ทว่าความละเอียดอ่อนของผิวนั้นไม่เหมือนกับผู้ชายคนอื่นที่เขาเคยเจอมาก่อนเลย

จะต้องพูดว่า ลักษณะการนอนของซ่งชูอีนั้นไม่น่ามองเลยสักนิด อย่างไรก็ดีทุกการเคลื่อนไหวและทุกรอยยิ้มขณะที่นางตื่นทำให้เกิดความรู้สึกต่างออกไป

อิ๋งซื่อถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตัวเองเพื่อห่มให้ซ่งชูอี

เขานั่งมองโลกภายนอกที่ไร้ขอบเขตเพียงลำพังในศาลาอันหนาวเหน็บ คนข้างกายนอนได้อย่างมีชีวิตชีวายิ่ง สายลมยามค่ำคืนพริ้วไหว กลายเป็นภาพที่ดูแปลกตาเป็นพิเศษ

เช้าวันรุ่งขึ้น

ครั้นซ่งชูอีตื่นขึ้นก็รู้สึกปวดศีรษะราวกับมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ยังไม่ทันลืมตาก็รู้สึกว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มนิ่ม กลิ่นหอมหวานจางๆ ลอยมาแตะจมูก

สถานที่แปลกตา! ซ่งชูอีเบิกตาโพลง มองเห็นกระโจมสีแดงอ่อนเป็นอย่างแรก หันศีรษะไปก็เห็นโครงหน้าที่ทั้งคุ้นเคยและงดงาม ดวงตาของสาวงามบวมแดงเล็กน้อย ราวกับว่าร้องไห้มาก่อนหน้านี้

“ท่าน” จื่อเฉาเรียกเสียงเบา น้ำตากำลังจะร่วงหล่นอีกครั้ง

ซ่งชูอีลูบคลำทั่วร่างกายตนเองรอบหนึ่ง พบว่ายังคงใส่เสื้อของตัวเองเมื่อคืนก็แอบถอนหายใจโล่งอก ก่อนถามขึ้น “ไม่เจอกันนาน สบายดีหรือ?”

“ดีมากเจ้าค่ะ” จื่อเฉาอยู่ในพระราชวังไม่เคยพบฉินจวินเลย ทว่าก็ใช้ชิวิตราวกับนกขมิ้น มีอาหารเสื้อผ้าเหลือใช้อย่างไร้ที่ติ

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ซ่งชูอีลุกขึ้น จื่อเฉายื่นเสื้อผ้าให้เขา “ที่บ่าวตรงนี้ไม่มีเสื้อผ้าผู้ชาย ขันทีที่ส่งท่านเข้ามากล่าวว่าให้ท่านทนไปคืนหนึ่งก่อน เช้านี้ก็จะส่งเสื้อผ้ามาให้ อีกทั้งท่านก็เมาหัวราน้ำ บ่าวก็ไม่เคยปรนนิบัติท่าน…”

เสียงของจื่อเฉายิ่งอ่อนลงเรื่อยๆ จนในที่สุดซ่งชูอีที่กำลังก้มศีรษะสวมเสื้อผ้าก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เงยหน้าขึ้นถาม “ปรนนิบัติข้า? เพราะเหตุใด?”

จื่อเฉาหน้าแดงระเรื่อ เอ่ยว่า “ฝ่าบาทมอบบ่าวให้ท่านแล้ว”

ซ่งชูอีมองนางครู่หนึ่ง ลอบถอนหายใจอยู่ในใจ ‘จื่อเฉา หากเจ้ารู้ว่าข้าเป็นสตรีเพศ หากเจ้ารู้ว่าข้าฆ่าน้องสาวแท้ๆ ของเจ้า เจ้าจะยังแสดงออกอย่างเช่นตอนนี้อีกหรือไม่?’

แม้นซ่งชูอีจะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองทำผิดและมิเคยรู้สึกเสียใจ ทว่าจื่อเฉาเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง สมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้

“เฉา เจ้าอย่าโทษข้าเลย ด้วยกำลังของข้าในตอนนี้ข้าปกป้องเจ้ามิได้จริงๆ” บัดนี้ซ่งชูอีทั้งยากจนและว่างเปล่า ไร้ซึ่งทรัพย์สินไร้ซึ่งกำลัง สามารถทำได้เพียงธุรกิจสีเทาที่จับเสือมือเปล่าไปวันๆ คนที่เหลือไว้ข้างกายล้วนแต่เป็นผู้ที่ใช้ประโยชน์ได้เท่านั้น

จื่อเฉาก็มีประโยชน์ ทว่าประโยชน์นี้บังเอิญว่าเป็นสิ่งที่ซ่งชูอีไม่ต้องการ ซ่งชูอีจะไม่มีวันเพิ่มภาระให้ตัวเองอย่างเด็ดขาด

“บ่าวเข้าใจเจ้าค่ะ” จื่อเฉาหลุบตาลง ทว่าน้ำตาจากขนตางุ้มงอนกลับไหลอาบใบหน้าที่ขาวสะอาด

ซ่งชูอีขยี้ศีรษะที่บวมเป่ง ถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “จื่อเฉา เจ้าจงอย่าใช้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดไปกับการรอคอยเลย คนบางคนต้องใช้พลังงานทั้งหมดที่มีเพื่อสัมผัสกับโลกใบนี้ ทว่าบางคนกลับต้องใช้ชั่วชีวิตเพื่อสัมผัสกับหัวใจของตัวเอง”

ชีวิตแบบไหนกันนะที่มีสีสันมากกว่า? มันเป็นเรื่องของนานาจิตตัง ทว่าคนส่วนใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของตัวเองมักจะขยายความรักโลภโกรธหลงออกไปอย่างไร้ขอบเขตโดยไม่รู้ตัว ชีวิตเช่นนั้นเหน็ดเหนื่อยมากเหลือเกิน และผู้หญิงส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนอย่างหลังอย่างไม่ต้องสงสัย ซ่งชูอีกล่าวอย่างเรียบง่ายเพราะนางไม่หวังว่าจะสามารถเปลี่ยนจื่อเฉาได้

“ข้าจะกลับแล้ว” ซ่งชูอีจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย มองดูจื่อเฉาที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่หน้าเตียง “ใต้หล้านี้ไม่มีที่ใดที่เหมาะสมกับเจ้าไปกว่าพระราชวังฉินอีกแล้ว หากเจ้าเชื่อในคำพูดของข้า”

“บ่าวเชื่อท่าน” น้ำเสียงของจื่อเฉาอ่อนแรงเล็กน้อย

ซ่งชูอีเม้มริมฝีปากเบาๆ ครั้นมองดูสาวงามที่น้ำตานองหน้าดุจดอกสาลี่ที่เปื้อนสายฝน แม้แต่นางเองก็อดใจอ่อนมิได้ ความรู้สึกของจื่อเฉานี้ไม่ควรใช้กับนางอย่างผิดๆ

“ฝ่าบาทเสด็จ!”

ซ่งชูอีกำลังจะหมุนตัวจากไปก็ได้ยินขันทีรายงานเสียงสูงมาจากข้างนอก เพิ่งจะสิ้นเสียง แสงสว่างที่หน้าประตูพลันมืดลง อิ๋งซื่อในชุดจีนสีดำเดินก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา ดวงตาดุจนกอินทรีขยับเล็กน้อยเพื่อจับจ้องใบหน้าของจื่อเฉาซึ่งยังคงเปียกชื้นอยู่ แล้วมองซ่งชูอีที่มีท่าทีจะจากไป เอ่ยถามเสียงต่ำ “มิได้ปรนริบัติท่านอย่างดีรึ?”

คำพูดนี้ไม่รู้ว่าถามจื่อเฉาหรือว่าถามซ่งชูอี จื่อเฉารีบค้อมตัวต่ำ “บ่าวสมควรตาย”

“ถวายบังคมฝ่าบาท” ซ่งชูอีค้อมคำนับ

จื่อเฉาหมอบตัวอยู่บนพื้น

“ไม่ต้องมากพิธี” อิ๋งซื่อกล่าว

ซ่งชูอีไอแห้งทีหนึ่ง เอ่ยถาม “ฝ่าบาทไม่พอพระทัยในสาวงามที่กระหม่อมทูลถวายหรือพะย่ะค่ะ? เหตุใดจึงได้ส่งคืนมา?”

อิ๋งซื่อมิได้คิดมากขนาดนั้น เพียงแต่เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “วังหลังก็มีนางที่พอไปวัดไปวาได้”

ครั้นได้ยินเช่นนี้ ซ่งชูอีก็รู้สึกยินดียิ่ง นี่เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ารูปลักษณ์ของจื่อเฉายังพอเข้าตาอิ๋งซื่ออยู่บ้าง แม้นอาจเพียงรู้สึกว่านางหน้าตาไม่เลว ทว่าการได้สร้างเศษเสี้ยวความประทับใจอยู่ในใจขององค์จวินที่ต้องง่วนอยู่กับกิจการทางบ้านเมืองอยู่ทุกวันนั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย

นี่เป็นครั้งแรกที่จื่อเฉาสามารถมองเห็นอิ๋งซื่อในระยะใกล้ ในแง่ของรูปลักษณ์เพียงอย่างเดียวนั้น แม้ว่าซ่งชูอีที่ยืนอยู่ข้างอิ๋งซื่อจะไม่ถึงกับรู้สึกอับอายในรูปลักษณ์ของตัวเองทว่าก็ต่างกับเขาอยู่มากโข

ซ่งชูอีไอแห้งทีหนึ่ง “กระหม่อมมิได้มีเจตนายุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของฝ่าบาท ทว่าฝ่าบาทอายุก็ไม่น้อยแล้ว”

อิ๋งซื่อพยักหน้า เดิมทีด้วยอายุของเขาควรจะมีพระชายาได้แล้ว ทว่าทุกคนกำลังหารือเกี่ยวกับกฎหมายใหม่ จะมีกะใจใส่ใจเรื่องมงคลของเขาได้เยี่ยงไรกัน? แม้นจะมีหนึ่งหรือสองเสียงก็ถูกกลืนหายไปในคลื่นของการยกเลิกใช้กฎหมายใหม่ และตัวเขาเองก็ไม่มีความคิดนี้

“กระหม่อมขอทูลลา” ซ่งชูอีค้อมคำนับ

“กว่าเหรินได้สั่งให้คนเตรียมจวนรับรองให้ท่านแล้ว ประเดี๋ยวจะมีคนนำทางไป” อิ๋งซื่อกล่าว

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซ่งชูอีคำนับอีกครั้ง แล้วถอยออกไป

อากาศข้างนอกดีมาก บัดนี้สามารถรู้สึกได้ถึงความร้อนแห่งฤดูร้อนได้อย่างชัดเจน ซ่งชูอีติดตามขันทีมาถึงหน้าประตูของพระราชวังและมีคนอยู่รอรับตามคาด

จวนรับรองของซ่งชูอีอยู่ในตรอกที่ยื่นออกไปทางใต้จากถนนสายหลักของเสียนหยาง และอยู่ใกล้กับพระราชวังฉินมาก พื้นที่ในลานไม่ใหญ่นักทว่ามีความวิจิตรยิ่ง มีทั้งศาลาพลับพลาเท่าที่จะสามารถจินตนาการได้ ต้นหลี่และต้นซิ่งในสวนออกลูกดกเต็มต้น ลมเอื่อยพัดโชยกลิ่นหอมของผลไม้ ชวนให้รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง

ในจวนมีทั้งหมดแปดห้องซึ่งจัดสรรปันส่วนได้อย่างลงตัว

“ท่าน” จี้ฮ่วนดูเจียนและหนิงยาตากผ้านวมอยู่ในลานบ้าน ครั้นเห็นซ่งชูอีเข้ามา ก็ลุกขึ้นต้อนรับ “ข้าได้ข่าวของปู้วั่งแล้ว”

“อืม รวดเร็วดีจริง” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย

จี้ฮ่วนตอบ “ข้าก็เอาอย่างท่าน ไปซื้อข่าวในชมรมป๋ออี้”

ซ่งชูอีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ

“ปู้วั่งออกจากบ้านไปยังรัฐฉู่” จี้ฮ่วนขมวดคิ้ว

ทว่าซ่งชูอีกลับไม่ประหลาดใจนัก หากนางเป็นหลงกู่ปู้วั่งก็คงจะเลือกรัฐเว่ยไม่ก็รัฐฉู่ แต่เนื่องด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐเว่ยกับรัฐเว่ย์ตึงเครียดและเพื่อไม่ให้ตระกูลปู้วั่งได้รับความกดดันจากรัฐเว่ย์ การเขาไปรัฐฉู่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

“ท่าน รัฐฉู่…” จี้ฮ่วนถอนหายใจ รัฐฉู่มีอาณาเขตติดกับรัฐฉิน อนาคตย่อมมีความระหองระแหงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นคู่ต่อสู้กันในสักวันหนึ่ง

“อย่าได้กังวลไป” ซ่งชูอียื่นมือออกมาตบๆ ไหล่ของเขา “ปู้วั่งเลือกที่จะไปแล้ว คิดว่าก็คงจะเตรียมใจในการเผชิญหน้ากับข้าได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว แต่ละคนก็แค่เป็นของตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์และอาจารย์นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”