บทที่ 135 การมาเยือนของเหล่าตระกูลเก่าแก่

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

จะว่าไปแล้ว ซ่งชูอีก็เพียงยั่วโมโหหลงกู่ปู้วั่งเท่านั้น มิได้สอนกระไรอย่างจริงจัง มีไมตรีจิตแห่งอาจารย์และศิษย์มากเพียงใดก็ไม่อาจทราบได้

ความเป็นจริงจะขัดเกลาคนได้ดีที่สุด ประสบการณ์ในรัฐฉู่จะทำให้หลงกู่ปู้วั่งเป็นผู้ใหญ่ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ระหว่างความฝันกับความเป็นจริง บัณฑิตจะต้องเลือกทำทุกอย่างที่ตัวเองทำได้เพื่อวิ่งตามความฝัน นี่คือเรื่องที่ธรรมดาที่สุด อีกทั้งด้วยกำลังของหลงกู่ปู้วั่งก็ยากที่จะโดดเด่นอยู่ในรัฐฉู่ภายในระยะเวลาปีครึ่ง

“คอยเฝ้าข่าวของเขาต่อไป” ซ่งชูอีกล่าว

จี้ฮ่วนกล่าว “ขอรับ”

ซ่งชูอีเดินเล่นอยู่ในลานรอบหนึ่ง จากนั้นก็สั่งคนให้เตรียมน้ำร้อนเพื่อชำระล้างกลิ่นสุราบนตัว แล้วก็กลับไปนอนหลับสบาย

จนกระทั่งเมื่อนางตื่นขึ้นก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว หนิงยาที่กำลังจะมาปลุกซ่งชูอีเห็นว่านางลืมตาแล้ว จึงรีบเอ่ย “ท่าน มีแขกหลายคนมารอพบเจ้าค่ะ”

ซ่งชูอีเกาๆ ศีรษะ อ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “มีผู้ใดบ้าง?”

“เห็นฮ่วนบอกว่า เป็นคนจากตระกูลเก่าแก่แห่งรัฐฉินเจ้าค่ะ” หนิงยาเอ่ย

เมื่อคืนซ่งชูอีสนทนากับอิ๋งซื่ออย่างอิสระ อีกทั้งยังค้างแรมในพระราชวัง นี่คือการปฏิบัติเช่นใดกัน? อิ๋งซื่อให้ความสำคัญต่อซ่งชูอีมากเพียงนี้ ทำให้บรรดาตระกูลเก่าแก่จำต้องเข้ามาทำการสำรวจ

ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน จัดแจงผมเผ้าลวกๆ “พวกเขายังอยู่หรือ?”

“ยังอยู่ในห้องรับรองเจ้าค่ะ” หนิงยากล่าว

ซ่งชูอีเพียงคว้าเสื้อนอกตัวหนึ่งแล้วเดินออกไปข้างนอก หนิงยามิกล้าส่งเสียงเกลี้ยกล่อม รีบก้มหน้าตามหลังซ่งชูอีไป

แขกเหรื่อจากตระกูลเก่าแก่ที่อยู่ในห้องรับรองดื่มน้ำชาหมดไปหลายกาแล้ว ทว่ายังไม่มีใครจากไป บัดนี้เป็นช่วงเวลาวิกฤตที่สุดสำหรับพวกเขาในการล้มล้างกฎหมายใหม่ ต่อให้มีโอกาสเพียงเล็กน้อยก็ไม่สามารถปล่อยไปได้ สำหรับท่าทีคลุมเครือของ “ขุนนางคนโปรด” เช่นซ่งชูอีนั้น จำต้องค้นหาตำแหน่งของมันให้ชัดเจน หากใช้ประโยชน์ได้ก็ต้องใช้เสีย หากเป็นอุปสรรคก็ต้องกำจัดออกไปทันที

“ปล่อยให้ทุกท่านรอนานแล้ว”

ขณะที่ทุกคนกำลังกระซิบกระซาบอยู่นั้น เสียงสดใสของคนหนึ่งก็ลอยมาจากประตูด้านนอก

สายตาของทุกคนต่างมองไปตามต้นเสียง เห็นเพียงเด็กหนุ่มวัยสิบหกสิบเจ็ดในชุดดำผู้หนึ่งเดินเข้ามา เสื้อคลุมและผมเผ้ายุ่งเล็กน้อย ดูท่าทางผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง

คนเหล่านี้เพิ่งเคยเห็นซ่งชูอีเป็นครั้งแรก แม้นก่อนหน้านี้จะได้ยินมาหลายต่อหลายครั้งกว่านางอ่อนเยาว์เป็นอย่างมาก ทว่าเมื่อได้มาเจอกับตัวจริงก็ยังคงประหลาดใจอยู่บ้าง

อึ้งไปครู่หนึ่งก็มีคนตอบสนอง รีบค้อมคำนับเอ่ย “คารวะท่านซ่ง”

คนที่เหลือค่อยๆ ดึงสติกลับมา หลังจากจัดแจงเครื่องแต่งกายเรียบร้อยแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อเล็กน้อยแล้วโค้งคำนับซ่งชูอี “คารวะท่านซ่ง”

ซ่งชูอีประสานมือคำนับกลับ

“ข้าปล่อยปละละเลยทุกท่านแล้ว” ซ่งชูอีผายมือเชิญพวกเขาออกไปข้างนอก “เชิญไปนั่งที่ห้องโถงเถิด”

ทุกคนพูดคุยต่อกันอย่างสุภาพ เดินเข้าไปนั่งในห้องโถงด้วยกัน

สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามาแล้ว ซ่งชูอีเอ่ยถาม “ทุกท่านมากันโดยพร้อมเพรียง มิทราบว่ามีเรื่องอันใด?”

“พวกข้าเป็นคนของสามสกุลเมิ่ง ซีและไป๋ ข้าน้อยมีนามว่าเมิ่งเซิง” ชายชราผอมแห้งอายุห้าสิบกว่าผู้หนึ่งยืดตัวตรงพร้อมคำนับเอ่ย “ได้ยินมาว่าท่านเป็นผู้รอบรู้หาผู้ใดเปรียบ คิดว่าคงสามารถเดาได้ว่าพวกข้ามาด้วยเรื่องใด”

“ผู้อาวุโสเมิ่งกล่าวเกินไปแล้ว หวยจินมิคู่ควร” ซ่งชูอีเอ่ยเรียบๆ การปฏิรูปกฏหมายเกิดความโกลาหลภายใน ทว่าในเมื่อไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ ท่าทีขององค์จวินก็ไม่ชัดเจน ผู้อาวุโสเหล่านี้คงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เป็นลำดับแรก

เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งเหล่าตระกูลเก่าแก่กระสับกระส่ายเล็กน้อย ซ่งชูอีจึงจิบชาคำหนึ่ง เอ่ยอย่างเชื่องช้า “ข้าน้อยก็ได้ทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของรัฐฉินโดยเฉพาะ กฎหมายใหม่ของซางจวินนั้นทำให้บ้านเมืองมั่งคั่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งของราษฏร…”

ใบหน้าของทุกคนสงบนิ่ง ทว่ากลับมีความร้อนใจเล็กน้อย ซ่งชูอีกล่าวต่อ “ทว่ามิใช่กฎหมายที่คงอยู่ถาวร”

ทุกคนจึงถอนหายใจโล่งอก ซ่งชูอีพูดขึ้น “แต่ว่า”

ดวงตาแต่ละคู่จ้องเขม็งอยู่ที่นาง ภายในห้องเงียบสงัด

“บัดนี้ชาวฉินเริ่มปรับตัวกับกฎหมายใหม่ได้แล้ว อีกทั้งกฎหมายใหม่มีประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมต่อเหล่า

พลเรือนและทาส พวกเขาจึงเงยหน้าอ้าปากได้ นี่คือหลุมที่ซางจวินขุดเอาไว้ให้ทุกท่าน เชื่อว่าทุกท่านคงไม่ใจร้อนที่จะกระโดดเข้าไปดอกกระมัง” ซ่งชูอีเอนตัวพิงอยู่บนที่พักแขน

มีคนกล่าวด้วยเสียงเย้ยหยันทันที “นั่นมันเหล่าพลเรือนสถุน”

“หากน้ำสามารถประคองเรือได้ก็สามารถทำให้มันล่มได้เช่นกัน” ซ่งชูอีกล่าว

เมิ่งเซิงขมวดคิ้วเอ่ย “ความหมายของท่านก็คือเรื่องนี้กำลังเป็นไปอย่างเชื่องช้าเช่นนั้นหรือ?”

“มิใช่” ซ่งชูอีปฏิเสธทันควัน “ล้มล้างกฎหมายใหม่ก่อน ยิ่งเร็วยิ่งดี ทว่าก่อนที่จะล้มล้างกฎหมายใหม่ ทุกท่านจำต้องรู้ไว้ว่าพลังของพลเรือนนั้นเป็นสิ่งที่มิอาจดูถูกได้ ในขณะที่ฟื้นฟูกฎหมายเดิมจะต้องมีการประนีประนอมส่วนหนึ่ง มิฉะนั้นจะเป็นการยากที่จะฟื้นฟูกฎหมายเดิม และบางทีมันอาจกลายเป็นเพียงบทสนทนาที่ว่างเปล่าในท้ายที่สุด”

ภายในห้องเงียบสงัด ผู้คนเหล่านี้เคยเป็นชนชั้นสูงอันมีมาตรฐานก่อนการปฏิรูป ในสายตาของพวกเขาบรรดาบ่าวไพร่ไม่มีสิ่งใดที่แตกต่างจากสัตว์เดียรัจฉานเลย ทว่าก็ปฏิเสธมิได้ว่าคำพูดของซ่งชูอีนั้นจริงใจและมีเหตุผลมากทีเดียว

“หากกล่าวเช่นนี้ ท่านสนับสนุนกฎหมายเก่าหรือ?” เมิ่งเซิงยืนยันอีกด้วยด้วยความเหลือเชื่อ

ซ่งชูอียิ้มแต่มิได้ตอบ

อย่างไรก็ดีท่าทีของนางเช่นนี้กลับทำให้ทุกคนต่างรู้สึกว่านางยอมรับมุมมองของเมิ่งเซิงอย่างเงียบๆ

“ฝ่าบาทปฏิบัติต่อท่านอย่างดี ไม่ทราบว่าท่านรู้เจตนาของฝ่าบาทหรือไม่?” มีคนถามขึ้น

ซ่งชูอีกล่าว “ต้องขอบพระทัยฝ่าบาทที่เห็นความสำคัญ ข้าน้อยจึงสามารถรับใช้อยู่ในรัฐฉินได้ ทว่าข้าน้อยเพิ่งมาถึง มีบางเรื่องยังมิเข้าใจถึงแก่นแท้ ภายภาคหน้าได้โปรดทุกท่านชี้แนะด้วย”

คำพูดนี้มิใช่การตอบคำถามโดยตรง ทว่าก็นับว่าเป็นการตอบคำถามแล้ว มันไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าท่านจวินให้

ความสำคัญต่อนางมากจริงๆ แต่ยังเป็นการอธิบายว่านางยังเป็นคนใหม่ ไม่ใคร่เข้าใจรัฐฉินนัก

“ได้ยินว่าท่านเป็นศิษย์สำนักเต๋ารึ?” เมิ่งเซิงเอ่ยถาม

“ถูกต้อง” ซ่งชูอีกล่าว

ไมมีผู้ใดสงสัยในท่าทีตามสบายและผ่อนคลายของนาง คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้จริงๆ

“ท้องฟ้ามืดแล้ว ไว้พวกข้ามาแวะคารวะท่านวันหน้าเถิด” เมิ่งเซิงประสานมือเอ่ย

“หวยจินรอต้อนรับทุกท่าน” ซ่งชูอียืดตัวตรงพร้อมคำนับกลับ

หลังจากซ่งชูอีส่งพวกเขาแล้วก็กลับมาสั่งให้คนยกอาหาร นางกัดน่องไก่พลางคิดในใจ เหล่าตระกูลเก่าแก่นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ สามารถมีปฏิริยาตอบสนองภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ นี่ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติอันแน่วแน่ที่พวกเขามีต่อเรื่องนี้

ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะยุ่งยากกว่าที่จินตนาการไว้เสียแล้ว

“ท่านเจ้าคะ มีราชโองการเจ้าค่ะ” หนิงยาวิ่งรุดเข้ามา

ซ่งชูอีโยนกระดูกทิ้ง หยิบผ้าเช็ดหน้าที่สาวใช้ยื่นให้เช็ดๆ มือ ลุกขึ้นแล้วออกไปต้อนรับ

บุรุษวัยกลางคนใบหน้าขาวใสผู้หนึ่งก้าวฉับๆ เข้ามา ผู้นั้นมองดูซ่งชูอี หยุดเดินแล้วสำรวจนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า “ข้าน้อยจิ่งเจียน ได้รับราชโองการจากฝ่าบาทให้มาส่งข่าว”

“คารวะจิ่งเจียน” ซ่งชูอีประสานมือกล่าว

จิ่งเจียน มิใช่นามของเขา จิ่งคือสกุล ส่วนเจียนเป็นตำแหน่ง

“ท่านไม่ต้องมากพิธี” จิ่งเจียนยื่นมือประคองซ่งชูอี ยื่นสมุดไผ่ในมือให้นาง “นี่เป็นการแต่งตั้งท่านจากฝ่าบาท”

“ขอบพระทัย” ซ่งชูอีรับมันด้วยสองมือ

นี่คือตำแหน่งที่อิ๋งซื่อมอบให้ซ่งชูอีอย่างแท้จริง

ซ่งชูอีคาดเดาไม่ได้จริงๆ ว่าตนจะได้รับตำแหน่งใด ด้วยอายุและภารกิจของนางล้วนไม่เหมาะที่จะอยู่ในตำแหน่งสูง